อริยสัจจากพระโอษฐ์ .. ผู้ประกอบด้วยอวิชชา คือผู้ไม่มีความรู้สี่อย่าง
.
"พระองค์ผู้เจริญ ! พระองค์กล่าวว่า "อวิชชา อวิชชา" ดังนี้. ก็อวิชชานั้นเป็นอย่างไร ? และด้วยเหตุเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งอวิชชา ?"
แน่ะภิกษุ ท ! ความไม่รู้อันใด .. - เป็นความไม่รู้ในทุกข์, - เป็นความไม่รู้ในเหตุให้เกิดทุกข์, - เป็นความไม่รู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์, - และเป็นความไม่รู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ :
นี้เราเรียกว่า อวิชชา; และบุคคลชื่อว่าถึงแล้วซึ่งอวิชชา ก็เพราะเหตุไม่รู้ความจริงมีประมาณเท่านี้แล.
"พระองค์ผู้เจริญ ! พระองค์กล่าวว่า 'วิชชา วิชชา' ดังนี้. ก็วิชชานั้นเป็นอย่างไร? และด้วยเหตุเท่าไร บุคคลจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงแล้วซึ่งวิชชา ?"
แน่ะภิกษุ ! ความรู้อันใด .. - เป็นความรู้ในทุกข์, - เป็นความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์, - เป็นความรู้ในความดับไม่เหลือของทุกข์, - และเป็นความรู้ในทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ :
นี้เราเรียกว่า วิชชา; และบุคคลชื่อว่าถึงแล้วซึ่งวิชชา ก็เพราะเหตุรู้ความจริงมีประมาณเท่านี้แล
ภิกษุ ท. ! เพราะเหตุนั้น ในกรณีนี้ พวกเธอพึง ทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า .. - นี้เป็นทุกข์. - นี้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์, - นี้เป็นความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, - นี้เป็นทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, ดังนี้เถิด. . . . มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๓๘-๕๓๙/๑๖๙๔๑๖๙๕.
หมายเหตุ จขบ.
สำหรับคนในยุคปัจจุบันอาจมีคำถามว่า .. ทุกข์ .. เหตุแห่งทุกข์ .. ความดับสนิทแห่งทุกข์ .. ทางให้ถึงความดับสนิทแห่งทุกข์ นั้น .. เราจะแยกแยะได้อย่างไร ?
จากเหตุที่ว่า ทุกขณะของความรู้ตัวทั่วพร้อม หรือ ความมีสติสัมปชัญญะ นั้นภาวะรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัวมันแนบแน่นอยู่กับความรู้สึกว่า "ตัวเรา" ตลอดเวลาอย่างแยกไม่ออก ..
ด้วยการมองโลกที่แวดล้อมอยู่ผ่าน"ตัวเรา-ตัวกู"นี้เอง .. ทุกอย่างจึงอยู่บนการ"ตัดสินให้คุณค่า" โดยมี"ตัวกู" เป็นที่สิ้นสุดของเรื่องราวเสมอไป ไม่ว่าด้านชอบหรือด้านชัง .. จึงแยกย่อยโลกออกไม่ได้ .. จึงมองไม่เห็นตัวเรา-ตัวกู ว่ากำลังเป็นดารานำที่เกี่ยวข้องตัดสินโลกรอบตัวอยู่
ทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น .. แยกแยะไม่ได้ .. ด้วยความเป็นตัวเรา-ตัวกู บดบังอยู่จนมืดมิด
ในสาย ปฎิจจสมุปบาท นั้นแยกแยะละเอียดออกได้ว่า ..
ทุกข์ เกิดจาก ชาติ - การเกิดของสังขาร (สิ่งปรุงแต่งทั้งปวง) ชาติ เกิดจาก ภพ - ภาวะชีวิตของสัตว์ - หมายเอาภาวะทางจิตเป็นสำคัญ ภพ เกิดจาก อุปาทาน - ความยึดมั่น, ความถือมั่นด้วยอำนาจความพึงพอใจของตน อุปาทาน เกิดจาก ตัณหา - ความทะยานอยาก, ความดิ้นรน, ความปรารถนา, ความเสน่หา ตัณหา เกิดจาก เวทนา - การเสวยอารมณ์ (ทั้งต่อใจและกาย), ความรู้สึก,ความรู้สึกในรสของอารมณ์ (Feeling) เวทนา เกิดจาก ผัสสะ - การประจวบกันของอายตนะภายใน๑ และอายตนะภายนอก๑ และวิญญาณ๑ ผัสสะ เกิดจาก สฬายตนะ - อายตนะภายใน ๖ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สฬายตนะ เกิดจาก นามรูป เมื่อ: - นาม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยใจ ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ; - รูป หมายถึงสิ่งที่มีรูป สิ่งที่เป็นรูป ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด นามรูป เกิดจาก วิญญาณ - การรับรู้จากอายตนะ หรือความรู้แจ้งอารมณ์ วิญญาณ เกิดจาก สังขาร - อำนาจแห่งการปรุงแต่งทางใจตามที่ได้สั่งสม, อบรมไว้แต่อดีต สังขาร เกิดจาก อวิชชา - สภาพที่ปราศจากความรู้ในอริยสัจ ๔
ต้นตอ คือ อวิชชา ดังนั้น คนในโลกที่ถูกทุกข์กัดกินทุกวันมากน้อยต่างกันไป ก็ด้วยความรู้ในอริยสัจจ์ 4 ที่มากน้อยต่างกันไป ..
ที่รู้มาก เข้าใจโลกได้มาก ทุกข์ก็น้อย หรือหากรู้ถึงที่สุด จนไม่เกิดทุกข์ในจิตอีกเลยก็บรรลุ อรหันต์
ส่วนที่รู้น้อย จน น้อยมาก หรือแทบไม่รู้เลย .. ก็พวกระดับจิตใจเช่นเดียวกับสัตว์ลำตัวขวางทั้งหลาย (เดรัจฉาน) คือมีชีวิตอยู่ด้วยสัญชาติญาณแห่งการ .. - หาอาหารเลี้ยงร่างกาย .. - จ้องแต่จะสืบพันธุ์ (แบบไม่เลือกคู่-ใครก็ได้ - เป็นลักษณาการเดียวกับสัตว์ในฤดูติดสัด) .. - ต่อสู้ แย่งชิง ทำร้ายกันด้วยอำนาจความโกรธ ความเกลียด ความหวงแหนของในครอบครอง (ผลประโยชน์) .. ดินแดนที่อาศัย - หมกมุ่นในลาภยศ คำสรรเสริญเยินยอ - เป็นอยู่ด้วยความเท็จที่คอยมอบให้กันและกัน กลุ่มก้อนนี้สักแต่ว่ามีรูปลักษณ์เป็นคนเท่านั้น ! . . . ไม่มีเรื่องสะสมบุญข้ามภพ ข้ามชาติ โดยการเอาไปฝากไว้กับหลวงพ่อ หลวงพี่ หลวงลุง หลวงปู่ แต่อย่างใด ในการไปสู่ความหลุดพ้นแห่งวัฏฏะสงสาร
เพราะนั่นมันเรื่อง ผลประโยชน์ทับซ้อน เรื่องลวงโลก ของบรรดาบุรุษโล้นห่มเหลือง ผู้พ่ายแพ้ต่อโลกอามิสส หรือที่พระพุทธองค์มักเรียกว่า โมฆะบุรุษ - สำหรับมอมเมาเหล่า บัวใต้น้ำ .. เท่านั้นเอง !
Create Date : 11 มกราคม 2556 |
Last Update : 11 มกราคม 2556 13:56:54 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1235 Pageviews. |
|
|
|
|
|