Konnichiwa Nihon no densha (6)
เช้าวันนี้ ตื่นกันค่อนข้างสายหน่อย เพราะ อ.วิรัตน์ ปล่อยเป็น free day เนื่องจากยังมีภาระติดต่อประสานงานกับทาง JR เรื่องตั๋วรถไฟ ตกบ่าย ถึงจะชวนไปเที่ยวแถวพระราชวังอิมพีเรียล ใกล้ๆ กับสถานีโตเกียวหลังจากที่พาชาวคณะมาปล่อยที่ตลาดอาเมะโยโกะแล้ว อ.วิรัตน์ ก็ขอตัวไปทำธุระที่สถานีอูเอะโนะที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยกำหนดสถานที่นัดพบที่ร้านดอกไม้บริเวณตลาด ในเวลาราว 11.00 น. หากคลาดเคลื่อน จะโทรฯ มาบอกทาง lineสำหรับผู้ที่เคยมาเที่ยวยังตลาดแห่งนี้ บางท่านก็หลายหนเต็มที อย่าหาว่าผมเอามะพร้าวเน่ามาขายสวนเลยดูแค่ภาพไปก่อนนะครับ เพราะผมไม่สันทัดในเรื่องนี้จริงๆ และในบ้านเรา มีเสื้อแบบนี้ขายจนเกร่อไม่แพ้กัน จนไม่รู้ว่าใครจะเจ๋งกว่าตลาดแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างสถานีโอกะจิมะจิ กับสถานีอูเอะโนะ แถมบางข่วง ยังเปิดร้านขายใต้ทางรถไฟอีกด้วยถ้าจะเทียบกับบ้านเรา คงเป็นย่านประตูน้ำกระมัง ?คุณอรรณพ กำลังให้ความสนใจกับรองเท้าผ้่ใบลดราคา มียี่ห้อโปรดของเจ้าตัวด้วยนะมาทายกันดูสิว่า จะใจอ่อนซื้อติดมือกลับมาหรือไม่ ?ยังเช้าอยู่ ในสายตาของชาวญี่ปุ่น เราจึงเห็นบรรดาพ่อค้าแม่ขายกำลังจัดสินค้าในร้านก่อนที่จะเริ่มมีชีวิตชีวาตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไปเดินชมร้าน แถมด้วยเสียงรถไฟวิ่งอยู่สะพานข้างบน รู้สึกฟินอย่าบอกใครเชียวที่ผมติดใจมาก คือมีฝรั่งผิวสีอยู่ประจำร้านกันคึกคักทีเดียว ส่วนใหญ่จะเป็นร้านจำหน่ายเสื้อผ้ายีนส์ครับคงเป็นร้านเจ้าอร่อย เพราะมีลูกค้ามายืนเข้าคิวรอกันตั้งแต่เปิดร้านเลยเดินมาเรื่อยๆ จนหลุดออกมายังถนนใหญ่แทบไม่รู้ตัว เลยหาทางย้อนเข้าไปในตลาดกันใหม่คราวนี้นักท่องเที่ยวเริ่มจะคึกคักกันแล้ว และเป็นภาพคุ้นตาของบรรดาตากล้องแทบทุกชาติ ทุกภาษาที่มาเยือนทั้งจีน จาม สยาม แขก ฝรั่ง เจอกันที่นี่หมด ราคาที่ดินคงแพงยิ่งกว่าทองคำไม่ยักมีคนร้ายฉกชิงวิ่งราว ล้วงกระเป๋านักท่องเที่ยวแต่อย่างใดถ้าเป็นบ้านเรา คงเป็นคอนกรีตบล็อก หรือใช้เชือกฟางมัดโยงกับกันสาดหน้าร้านแน่ๆเสียง อ.วิรัตน์ โทรฯ มาให้ไปยังจุดนัดพบที่สถานีอูเอโนะ ในขณะที่เดินไปถึงหน้าร้านปาจิงโกะพอดีผมเคยได้ยินว่า มีเซียนอยู่คนหนึ่ง ฝีมือการดีดปาจิงโกะเป็นที่เลื่องลือทั่วประเทศญี่ปุ่น จนสมาคมร้านปาจิงโกะ ติดประกาศพร้อมรูป ห้ามมิให้เข้าเล่นในร้านทุกแห่งทั่วประเทศอาจทำให้ร้านล้มละลายได้ น่ากลัวฝีมือชะมัดหน้าสถานีอูเอะโนะ ขนาดมีสะพานลอยให้บริการแล้ว แต่ชาวญี่ปุ่นยังพอใจที่จะข้ามทางม้าลายอันกว้างขวางหน้าสถานีอยู่ โดยมีสัญญาณไฟจราจรคนข้าม พร้อมไฟข้างๆ ลดลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่กำหนดไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนสัญญาณเดินข้ามแม้แต่คนเดียวพอได้รับสัญญาณไฟเขียวให้เดินข้าม ต่างคนก็เริ่มสาวเท้ากันล่ะครับ โดยมีเสียงสัญญาณ พร้อมไฟสีเขียวด้านข้างจะลดลงเรื่อยๆ หากเปลี่ยนเป็นไฟแดง คนข้ามจะเป็นฝ่ายหยุดรอจนกว่าจะได้รับสัญญาณครั้งต่อไประหว่างผู้คนเดินข้าม รถยนต์ที่แล่นไปมาต่างหยุดโดยพร้อมเพียงกัน ไม่มีใครล้ำเส้นมาจอดเบิ้ลเครื่องตรงกลางทางม้าลายแต่อย่างใดถึงจะเป็นรถเลี้ยวซ้ายก็ตาม ต้องจอดรอให้คนข้ามหมดก่อน ถึงจะแล่นไปได้ผมเพิ่งสังเกตว่า ไม่มีมอเตอร์ไซต์วิ่งบนถนนในกรุงโตเกียวแม้แต่คันเดียว ยกเว้นช่วงเช้า ก่อนเวลา 07.00 น. อาจมีคันเล็กๆ วิ่งผ่านมาบ้าง แต่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่มีวิ่งบนฟุตบาทด้วยล่ะถึงแล้วครับ สถานีอูเอะโนะสถานีนี้ ยังสามารถขึ้นรถไฟด่วนไปยังนาริตะ และรถด่วน ชินกังเซ็น ไปยังภาคเหนือของญี่ปุ่นได้ด้วยผมสอบถาม อ.วิรัตน์ ถึงข้อสงสัยว่า ทำไมญี่ปุ่นนิยมโครงสร้างอาคารทำด้วยเหล็กกล้ากันมาก ไม่เหมือนทางบ้านเราได้รับคำอธิบายว่า ที่นั่น มีแผ่นดินไหวบ่อย จึงใช้โครงสร้างเหล็กกล้าที่ทนต่อแรงแผ่นดินไหว และผู้ที่อยู่ภายใต้อาคารจะปลอดภัยกว่าป้ายบอกชานชาลาของสถานี ซึ่งมีมากมายถึง 22 ชานทีเดียว จะเสียเวลาตรงวิ่งลากกระเป๋าเดินทางต่อขบวนรถระหว่างชานชาลาเหล่านี้แหละยิ่งกว่าทหารใหม่ ซ้อมปรับสภาพร่างกาย ซึ่งกว่าจะเข้าที่ ใช้เวลาร่วมครึ่งเดือนแต่นี่ ผมมีเวลาอยู่ในญี่ปุ่นแค่ 10 วันเท่านั้น โหย....กว่าจะเคลื่อนพลไปยังสถานีโตเกียวได้ เวลาล่วงเลยไปถึงช่วงบ่ายแล้ว มติชาวคณะให้เดินย้อนไปรับประทานมื้อเที่ยงกันที่ตลาดอาเมะโยโกะนั่นแหละเจอร้านจำหน่ายอูด้งอยู่ร้านหนึ่ง มีรายการอาหารหลากหลายดังภาพลูกค้าต้องไปยืนดูรายการอาหารพร้อมสนนราคาจนเป็นที่พอใจแล้ว ถึงค่อยไปหยอดเหรียญที่ตู้ พร้อมกดราคาอาหารลงไปรายการจะไปปรากฎต่อหน้าพ่อครัว ซึ่งจัดแจงปรุงอาหารตามสั่ง เพราะเงินเข้าร้านแล้วก่อนจะส่งให้โอบะซังที่หน้าร้าน ซึ่งลูกค้าต้องยื่นบัตรชำระเงินแล้วให้ดู ก่อนรับอาหารมาทานเอง เพราะไม่มีเด็กเสิร์ฟบริการวันนั้น โต๊ะอาหารมีลูกค้านั่งอยู่เต็ม เลยยืนกินที่โต๊ะข้างๆ นั่นแหละมื้อนั้น ผมสั่งอะไรสักอย่างหนึ่ง หน้าตาคล้ายเส้นใหญ่ต้มยำบ้านเรา คิดว่าคงอร่อยแน่พอเห็นของจริงเข้า พบว่าเส้นใหญ่ที่ทางร้านปรุงมานั้น หนาเป็นสามเท่าของบ้านเราคีบแต่ละที ใช้แรงมากจนเมื่อยข้อมือ เป็นครั้งแรกที่ผมกินไม่หมดชามแต่น้ำซุป อร่อยดีนะ คุณอรรณพบอกว่า เป็นร้านชาวจีนที่ไปตั้งร้านจำหน่ายอูด้งที่นั่นผมคิดว่า คงร่ำรวยไปนานแล้ว เพราะลูกค้าเข้ามาอุดหนุนไม่ขาดระยะที่น่าตื่นใจอีกอย่างคือ อิ้วจาก้วย ครับ ซึ่งทางร้านมีขายคู่กับน้ำเต้าหู้ด้วย เสียดายที่เห็นช้าไป จะสั่งต่อก็กินไม่ไหวระหว่างที่อร่อยมื้อเที่ยงกันอยู่นั้น มีโอบะซังพร้อมเพื่อน เข้ามามองๆ ดูว่ามีอะไรอร่อยบ้าง ก่อนที่จะส่งภาษาใบ้ กับภาษาอังกฤษนิดๆ หน่อยๆ ถึงการสั่งอ.วิรัตน์ กับคุณอรรณพ ช่วยกันบอกขั้นตอน จนกระทั่งมายืนโซ้ยมื้อกลางวันข้างๆ ชาวคณะนั่นเอง เพราะมีอยู่โต๊ะเดียวเท่านั้นจากการซักถาม ปรากฎว่าเคยมาเที่ยวภูเก็ต คุณอรรณพในฐานะเจ้าถิ่นเลยชวนคุยอย่างออกรสมิตรภาพระหว่างประเทศ เลยเกิดขึ้นระหว่างมื้อเที่ยงนั้นเอง ก่อนแยกย้ายกันอย่างชื่นมื่นหลังจากนั้นบ่ายวันนั้น ชาวคณะได้มาถึงสถานีโตเกียวตัวจริงสมปรารถนาสถานีโตเกียวหลังการบูรณะแล้ว จะเป็นสถานีขนาดใหญ่ มีชานชาลาถึงสามชั้น ไม่นับชั้นสำหรับรถไฟใต้ดิน จำนวนชานชาลาร่วม 22 ชานทีเดียวอ.วิรัตน์ บอกว่า ในช่วงวันทำงาน สถานีโตเกียว จะรองรับผู้โดยสารร่วมล้านคนต่อวัน ถือว่าติดอันดับมากที่สุดในโลก แต่ยังน้อยกว่าสถานีอื่นอีกหลายแห่งที่มีผู้ใช้บริการมากกว่านี้จนผมคิดว่าลิฟท์ที่มีอยู่หลายตัวนั้น เชื่องช้า ไม่ทันใจ ใช้บันไดเลื่อนรวดเร็วกว่าขอบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกว่า ข้ามา ข้าเห็น และข้ารู้จักแล้วโผล่มาสูดอากาศข้างนอกกันหน่อย ท้องฟ้ากำลังครึ้มด้วยอิทธิพลความกดอากาศสูงจากทางเหนือ หอบเอาลมหนาวมาด้วยสิอาคารที่เห็นด้านซ้ายภาพ เป็นอาคารสำนักงาน โรงแรม และบริษัทห้างร้านต่างๆ เช่าที่ของบริษัท JR East ก่อสร้าง สูงนับสิบชั้นด้วยสิ สร้างรายได้ให้กับเจ้าของที่เป็นกอบเป็นกำดูตัวอย่างจากห้าง Daimaru ดูเอาเถิด หลายเมืองจะมีห้าง Tokyu มาร่วมแจมด้วยพักสายตาจากบรรยากาศสวนหย่อมหน้าสถานีสักหน่อยบันทึกภาพให้ อ.วิรัตน์ เป็นที่ระลึก พอดีแบตอัลคาไลน์หมด ต้องใช้กล้องมือถือแทนผังบริเวณอาคารสถานีโตเกียว ซึ่งสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินบ้านเรา กำลังจัดทำอยู่เช่นกันด้านหลังสถานี มองไปยังย่านมารุโนะอุจิขอเซลฟี่ เก็บภาพตัวเองไว้เป็นที่ระทึกเช่นกันครับมองไปยังถนนย่านมารุโนะอุจิ มีรถทัวร์นำนักท่องเที่ยวมาชมสถานีโตเกียวกันไม่ขาดสาย แต่รถทัวร์แบบนี้ หน้าฝนกับหน้าหนาว คงงดให้บริการรีบสาวเท้าตามชาวคณะ ตรงไปยังพระราชวังอิมพีเรียลกันดีกว่า ตั้งอยู่ห่างจากสถานีโตเกียวราวๆ สะพานมัฆวานรังสรรค์ไปยังลานพระบรมรูปทรงม้าในบ้านเราเท่านั้นเองช่างอยู่ใกล้กันจังหนอ ?เดินมาได้สักพัก ถึงคูน้ำอันว้างใหญ่ที่แยกบริเวณพระราชวังอิมพีเรียล กับย่านมารุโนะอุจิ กันอย่างชัดเจนมองไปข้างหน้าครับ จะเห็นกำแพงพระราชวัง ซึ่งก่อหินเป็นระเบียบสวยงามขึงขังทีเดียวย่านมารุโนะอุจิ ที่มีตึกรามแน่นหนาสูงหลายสิบชั้นแผนที่แสดงอาณาเขตพระราชวังอิมพีเรียล ซึ่งชาวคณะเดินมาทางซ้ายล่างผู้คนที่เดินมาชมพระราชวัง ซึ่งวันนี้ มีเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องของพระราชพิธีสละราชบัลลังก์ให้กับเจ้าชายนารูฮิโตะ องค์มกุฎราชกุมาร ณ พระราชวังอิมพีเรียลมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจรถที่วิ่งผ่านไปมาด้วยสิ แต่ยังไม่เคร่งครัดนักบนฟ้านั้น มีเฮลิคอปเตอร์ของทางการบินวนเวียนสังเกตการณ์อยู่สองลำถึงบริเวณสวนสาธารณะภายนอกพระราชวังแล้วครับ เลยบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกนอกจากจะเป็นสวนสาธารณะแล้ว ยังเป็นที่จอดรถสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย ก่อนเดินเท้าเข้าไปชมพระราชวังถึงตาเราบ้างสิ บันทึกภาพโดยมีดอกซากุระเป็นฉากหลังแบบนี้ หาได้ง่ายๆ ที่ไหน ?ทั้ง อ.วิรัตน์ และคุณอรรณพ ชวนผมเดินเข้าไปชมพระราชวัง ซึ่งข้ามถนนอีกแยกหนึ่ง ก่อนเลี้ยวซ้ายไปยังอาณาบริเวณ แต่ผมส่ายหัวล่ะครับ เพราะเมื่อยขาเต็มที ขอนั่งชมต้นซากุระบานดีกว่าขอแตะเป็นที่ระลึกหน่อยว่า ดอกซากุระหน้าตาเป็นอย่างนี้เอง แต่ไม่เด็ดมาชมนะ เดี๋ยวใครพบจะถูกหาว่าเป็นคนป่าเถื่อน ก่อนที่จะบันทึกภาพไว้มีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ยืนบนม้าหินเพื่อบันทึกภาพ ก่อนที่ฝ่ายชายอุ้มสาวเจ้าลงมาจากม้าหินโหย... หัวใจคนแก่แทบหยุดเต้นไปสองสามจังหวะด้วยความริษยามีฝรั่งชาวเยอรมัน เข้ามาถามทางไปพระราชวัง ซึ่งผมได้ชี้ตามที่ฝูงชนเดินกันไปนั่นแหละ เพราะคิดว่าอย่างไรก็เจอนั่งชื่นชมธรรมชาติ จนกระทั่ง อ.วิรัตน์ กับคุณอรรณพกลับมาสมทบ พลางบ่นอุบอิบว่า โชคดีที่ผมไม่ตามไปด้วย เพราะมีการปิดพระราชวังอิมพีเรียล เพื่อเตรียมการในพระราชพิธีสละราชบัลลังก์ เริ่มศักราชใหม่ ในวันที่ 30 เมษายน ที่จะถึงนี้แต่ผมทันเห็นข่าวพระราชพิธีพยุหยาตราของไทย จากสำนักข่าว NHK ด้วยล่ะกลับมายังย่านมารุโนะอุจิ หน้าสถานีโตเกียว เป็นมุมภาพที่คุณอรรณพตั้งใจว่าจะมาบันทึกภาพพอดี ได้จังหวะงามด้วยสิ เพราะว่างผู้คนครับเราก็เก็บภาพบ้างสิอ.วิรัตน์ บอกว่า ก่อนนั้นเป็นลานจอดรถ พอปรับปรุงอาคารสถานีเสร็จ จะเป็นลานเดินชมวิวที่โอ่อ่า กว้างขวางมากมายแถมยังแนะด้วยว่า ใต้โดมทั้งด้านซ้าย - ขวา ของอาคารสถานี มีลวดลายสวยงามอีกด้วยระหว่างที่เดินไปนั้น ผ่านรถเมล์ของมหานครโตเกียว ซึ่งชาวเมืองส่วนใหญ่ จะใช้บริการรถไฟ และรถใต้ดินมากกว่า ทำให้รถเมล์เหล่านี้ มีจำนวนผู้โดยสารไม่มาก ตรงเวลา ตรวจตราซ่อมบำรุงได้อย่างทั่วถึง แถมคนขับยังมีเวลาจำหน่ายตั๋ว ทอนเงินให้ผู้โดยสารอีกด้วยแถมรูปแท็กซี่มิเตอร์อีกคันหนึ่งครับ สภาพใหม่เอี่ยม โอ่อ่า คนขับสุภาพเรียบร้อยแต่ค่าโดยสารแพงอย่าบอกใครเชียวภายใต้โดมอาคารสถานีโตเกียวครับระหว่างที่ อ.วิรัตน์ ขอตัวเข้าไปประสานงานเรื่องตั๋วรถไฟกับประชาสัมพันธ์ของ JR นั้นทางผมกับคุณอรรณพได้เดินชมเอกสารเผยแพร่กิจกรรมต่างๆ เมืองต่างๆ และแผ่นปลิวของกลุ่มบริษัท JR ได้จัดขึ้น มีหลากหลายจนดูแทบไม่ทั่วทำเป็นเล่นไป เอกสารภาษาไทยก็มีกับเขาด้วยนะ เฉพาะสถานที่นักท่องเที่ยวชาวไทยนิยมไปกันเยอะๆ นั่นแหละมีบางส่วนของอาคารที่เขายังคงสภาพเดิมให้เห็นถึงช่วงสถานีโตเกียวถูกทิ้งระเบิดจากฝูงบินกองทัพสหรัฐฯ ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองผมลองแตะดูด้วยสิ ก่อนที่จะเห็นป้ายห้ามในภายหลัง อย่าว่ากันเน้อ ฮ่ะๆๆอ.วิรัตน์ยังแนะนำให้ซื้อบัตร Suica รวมค่าใช้จ่ายของบริการสาธารณะต่างๆ รวมถึงค่าสินค้าของร้านสะดวกซื้อที่เข้าร่วมรายการด้วย ยกเว้นที่เกาะฮอกไกโด ยังไม่ได้เชื่อมโยงระบบนี้เข้ากับเกาะใหญ่ ทำนองเดียวกับบัตร "แมงมุม" ที่เรากำลังริเริ่มทำกระมัง ?เสร็จภารกิจแล้ว ชาวคณะก็นั่งรถไฟเที่ยวบ้างล่ะ โดยขึ้นรถไฟฟ้าสาย utsunomiya ไปยังสถานีโอกุ ดูรถไฟที่ย่านสถานีคงได้บรรยากาศของรถไฟบ้างน่ามีรางขวักไขว่ จนผมนึกไม่ออกว่าทางศูนย์ควบคุมการเดินรถเขาจัดการเดินรถอย่างไร ? เพราะมีเดินหลายสาย หลากสีด้วยสิอีกไม่นาน สายสีแดงเข้มบ้านเรา คงจะมีเสาไฟถึงเสี้ยวหนึ่งของเขาแบบนี้ส่วนเสาอาณัติสัญญาณชองเขา เป็นระบบไฟสีหมดแล้วเจอขบวนรถวิ่งสวนมาแล้ว จากสีที่พ่นข้างรถ เดาได้ว่ามักจะเป็นขบวนรถชานเมืองเพราะมีวิ่งบริการอยู่ที่เมืองอื่น ในเขตของบริษัท JR East ด้วยประมาณ 20 นาที ถึงสถานีที่ต้องการจะลงแล้วครับ สถานีโอกุมองไปที่ย่านสถานี จะเห็น blue train ที่ปลดประจำการ จอดทิ้งอยู่กลางย่านด้วยล่ะผมคิดว่า ถ้าเป็นเวลาหยุดให้บริการ ขบวนรถไฟฟ้าชานเมืองเหล่านี้คงจอดอยู่เต็มย่านแน่ๆเข้ามาอีกขบวนแล้วครับจากการสังเกต พรร.จะลงมาจากขบวนรถ ดูความเรียบร้อยของผู้โดยสาร ก่อนจะกดปุ่มรายงานไปยังศูนย์ควบคุมการเดินรถที่อยู่ชานชาลาสถานี เพื่อรับสัญญาณให้เดินทางต่อไปเห็นอยู่ไกลๆ โน้น เป็นขบวนรถที่จอดอยู่ในย่าน รอออกบริการคงไม่มีใครอุตริเดินข้ามทางรถไฟนะครับ ชานชาลาสูงออกปานนั้นแถมมีสะพานลอยเดินข้ามอยู่ข้างบนด้วย พร้อมหลังคาคลุมกันฝน และลมหนาว ให้เสร็จสรรพกลับมายังสถานีอูเอโนะ ซึ่งระดับชานชาลาสูงเท่าพื้นรถไฟ พร้อมมีประตูอัตโนมัติตรงกับประตูรถไฟที่เข้าจอดทาง JR ยังติดตั้งประตูอัตโนมัติเหล่านี้ได้ไม่ครบทุกสถานี แม้แต่รถไฟใต้ดินก็เช่นกันพอลงมาข้างล่างได้ คุณอรรณพตรงรี่เข้าไปซื้อรองเท้าผ้าใบที่หมายตาไว้ตั้งแต่เช้า ส่วน อ.วิรัตน์ เล็งซื้อกล้องถ่ายรูปที่ร้าน Big Camera ย่านอะฮิกะบะระคืนนั้น ต่างคนต่างจัดข้าวของลงกระเป๋าเดินทาง เพราะวันรุ่งขึ้น เป็นวันเดินทางออกจากโตเกียวไปยังซัปโปโร โดยไม่ย้อนกลับมาอีกลาล่ะครับ มหานครโตเกียว