โจทย์ของคุณ ณ. ปลายฉัตร
คิดมาก... ที่จริง จขบ.เป็นคนคิดมากเหมือนกัน มีหลายเรื่องกลัวต่างๆนาๆ
แถมคิดไปต่างๆนาๆ เช่นตอนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงวันที่ 11 กันยายน(Sept 11-911)ที่นิวยอร์กซิตี้ จขบ.ทำงานที่รพ.ในนิวยอร์กซิตี้ เผอิญวันนั้นเป็นเวรหยุด
เพื่อนๆที่ทำงานไม่ได้กลับบ้านกัน ต้องอยู่รพ.เพื่ออยู่รอข่วยคนไข้มากมายจากเหตุการวันนั้น สำหรับคนที่ทำงานตามบริษัท ร้านค้าต่างๆ ก็กลับบ้านกันไม่ได้ เพราะสะพานต่างๆปิดโทรศัพท์ติดต่อกันไม่ได้ คนที่บ้านรอก็ไม่ได้ข่าว ต่างคนต่างรอด้วยใจกังวลไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง เป็นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมากจริงๆ กว่าจะติดต่อกันได้ก็หลายชั่วโมง
จขบ.ขับรถเข้าไปทำงานที่รพ.ต้องขับรถผ่านสะพานจอร์วอชิงตัน ( George Washington Bridge) เวลาข้ามสะพานคิดมาก คิดไปว่าเกิดระเบิดมาถล่มที่สะพาน เราจะเป็นอย่างไร แถมเวลารถติดก็ยิ่งคิดมากอีกว่าเกิดมีอะไร เราต้องโดดลงน้ำกลางสะพาน จะรอดไหม หรือเกิดรถตกน้ำทั้งคัน เราจะช่วยตัวเองอย่างไร ก็กลัวๆ แต่ก็ยังพอมีสติบ้าง คิดมากไปสารพัด คิดว่าอยากจะให้ถึงเวลาเกษียณเร็วๆ จะได้ไม่ต้องขับรถข้ามสะพานอีก ขณะนี้เกษียณแล้วสบายใจจริงๆ ไม่ต้องขับรถข้ามสะพานด้วยความกลัวอีก
จขบ.มีเรื่องคิดมากตลอด แม้แต่วันนี้จะส่งงานตะพาบแวะไปอ่านของบล็อกคนบ้านป่า พี่ภาเขียนเรื่องคิด(ให้)มาก(ขี้น) พูด/เขียนจะได้น้อยลง
อ่านจบคิดมากกก เครียด เพราะจขบ.เขียนไม่สละสลวยเลย เขียนบล็อกก็เขียนแบบคำธรรมดา ไม่มีคำที่สละสลวยเท่าไร เพราะใช้ไม่เป็นอีกด้วย ตอนเรียนก็สอบภาษาไทยเกือบตก แถมไม่ชอบอีก พอจบพยาบาลทำงานแค่สองปีก็มาทำงานที่นิวยอร์ก ภาษาอังกฤษก็ไม่เอาไหน อยู่เกินครี่งอายุภาษาอังกฤษก็แค่พอฟ้งออกเขียนก็ไม่ค่อยได้ กลายเป็นว่าภาษาไทยก็ไม่ได้ ภาษาอังกฤษก็ไม่เอาไหน ยิ่งตอนนี้ไม่ได้ไปทำงาน ภาษาอังกฤษวันหนี่งๆ ได้ยินจากวิทยุตอนขับรถเท่านั้น เวลาอยู่บ้าน ดูแต่ทีวีไทย
คิดถึงคุณสิน YYswim เวลาอ่านบล็อกจขบ.จะหลังไมค์แก้ให้เสมอ ตอนนี้จขบ.เขียนเอง ไม่มีใครคอยแก้ เพื่อนๆที่อ่าน เห็นไม่ถูกและติดขัด จขบ.ขออภัยด้วยค่ะ
ภาษาไทยกำลังจะหายไปแล้ว เวลาเห็นเด็กรุ่นหลังเขียนหรือคุยกัน บางคำเราก็ยังไม่รู้จักเลย คำไทยที่แท้จริงๆกำลังจะหายไปหมด ถ้าเราไม่ช่วยกันอนุรักษ์ สนับสนุนความคิดของบล็อกคนบ้านป่า ด้วยค่ะ
คลิกอ่านได้ที่นี่ค่ะ...คิด(ให้)มาก(ขี้น)พูด/เขียนจะได้น้อยลง
ขอนำข้อมูลเรื่องคนคิดมากมาให้อ่านกันค่ะ
อาการยอดฮิตของคนคิดมาก
หดหู่ เบื่อ เศร้า เหงา เซ็งเป็นเรื่องปกติของจิตใจก็จริง แต่ถ้าอาการเหล่านี้อยู่กับเรานานเกินกว่าสองอาทิตย์ ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่ามันผิดปกติแล้ว !!
เคยสังเกตตัวเองกันบ้างไหมว่าเวลาที่เรารู้สึกหดหู่ เบื่อ เศร้า เหงา เซ็ง ร่างกายจะฟ้องออกมาด้วย 10 อาการยอดฮิตต่อไปนี้ จากคำแนะนำของเว็บไซต์ health.com บอกเรามาว่า หากมีอาการเหล่านี้เกินกว่า 5 ข้อ และเป็นทุกวันติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ ควรไปพบจิตแพทย์ได้เลยเพราะคุณกำลังเครียด และมีแนวโน้มจะเป็นโรคซึมเศร้าด้วย หากไม่รีบกำจัดความเครียดทิ้งไป
1.กินไม่หยุด
อาการกินไม่หยุดมีสาเหตุมาจากความเครียด โดยที่สมองสั่งให้เราหาอะไรกินเพื่อชดเชยให้อารมณ์ดีขึ้น ดังนั้นเมื่อรู้ตัวว่ากินจุมากขึ้นทุกวันให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าเราอาจจะกำลังเครียดอยู่
2.อยากนอนทั้งวัน
เมื่อไรที่จิตใจเรากำลังเหนื่อยล้า ร่างกายจะมีอาการฟ้องว่าอยากนอนทั้งวัน ไม่อยากลุกจากเตียงไปทำอะไรเลย หากมีอาการเหล่านี้นานติดต่อกันหลายวันไม่ดีแน่ เพราะจะส่งผลให้ระบบการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานรวนไปหมด
3.เหวี่ยงใส่คนรอบข้างบ่อย ๆ
หากคนรอบข้างเริ่มบ่นให้ฟังแล้วว่าพักนี้คุณมักจะวีนแตกกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นเป็นอาการที่ร่างกายฟ้องว่าคุณกำลังคิดไม่ตกกับเรื่องบางเรื่อง พาลรู้สึกว่าเรื่องอื่น ๆ น่ารำคาญไปซะหมด ต้นเหตุของอาการนี้เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับฮอร์โมนความเครียดมากเกินไปจึงเป็นผลให้อารมณ์ของเราแปรปรวนตามไปด้วย ดังนั้นถ้ารู้ตัวว่ากำลังอยู่ในอารมณ์เครียดก็ควรบอกคนรอบข้างให้รู้ก่อนนะ
4. ทำอะไรไม่มีสติ
ลองนึกภาพเวลาที่เรารู้สึกหดหู่หรือเศร้ากับอะไรสักอย่าง เราก็มักจะคิดวนอยู่แต่เรื่องราวนั้น ๆ ไปมาจนลืมนึกไปว่ายังมีเรื่องสำคัญอื่น ๆ ที่รอให้จัดการอยู่ หากปล่อยให้อาการนี้เรื้อรังเป็นเวลานานคุณอาจจะมีปัญหากับคนรอบข้างแน่เชียว
5.รู้สึกว่าทุกอย่างช่างน่าเบื่อไปหมด
อาการแบบนี้เรียกว่าหมดอาลัยตายอยากทำให้รู้สึกเบื่อที่จะเปิดใจรับอะไรใหม่ ๆ หากปล่อยทิ้งไว้นานย่อมมีผลเปลี่ยนนิสัยให้เรากลายเป็นคนเฉื่อยได้ในที่สุด
6.รู้สึกว่าตัวเองไม่มีดีอะไรเลย
อาการดูถูกตัวเองเป็นตัวชักนำให้เกิดความรู้สึกในแง่ลบตามมาอีกนับไม่ถ้วน ดังนั้น หากคุณกำลังรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่าคนอื่น เราขอร้องว่าให้ปรับความคิดเสียใหม่ แล้วพลังฮึดสู้จะบังเกิด
7.รู้สึกว่าชีวิตมาถึงทางตัน
ถ้าหนทางชีวิตไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ยังไงก็ขอให้อยู่ไกล ๆ จากความคิดที่ว่า อยู่ไปก็เท่านั้น เพราะถ้าเมื่อไรที่ผุดความคิดยอดแย่นี้ขึ้นมาละก็ นั่นหมายถึงความคิดอยากฆ่าตัวตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว ซึ่งจริง ๆ ชีวิตคนเราเริ่มต้นใหม่ได้เสมอนะ
8.กังวลไปซะหมด
ถ้าเราอยู่ในสภาพจิตใจปกติก็จะไม่นึกกังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด เว้นเสียแต่ว่าช่วงนั้นกำลังเครียดหนักจริง ๆ ที่ทำให้นึกกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิด และรู้สึกท้อแท้กับความคิดที่จะลงมือทำอะไร หากเป็นแบบนี้ตั้งสติให้ดี นึกถึงแต่เฉพาะเรื่องในปัจจุบันเท่านั้น มิเช่นนั้นคุณจะกลายเป็นผู้ป่วยโรควิตกกังวลไปในที่สุด
9.ทำร้ายตัวเอง
อาการทำร้ายตัวเองเป็นผลมาจากการที่เราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เป็นปกติได้ จึงทำการระบายออกด้วยการใช้ความรุนแรงเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกแย่ที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจ ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือคุณมีโอกาสที่จะลงมือทำร้ายร่างกายคนใกล้ตัวด้วย
10.ป่วยออด ๆ แอด ๆ
หากภายในหนึ่งอาทิตย์คุณมีอาการ ปวดหัว ปวดท้อง ปวดหลัง ปวดคอ และอาการคลื่นไส้อาเจียน กินยาเท่าไรอาการก็ไม่ทุเลาลงเลย ขอให้รู้เลยว่าร่างกายคุณไม่ได้เป็นอะไร แต่จิตใจต่างหากที่ต้องการผ่อนคลายบ้าง
เห็นไหมคะว่าสุขภาพกายและใจมีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน อย่าคิดว่าถ้าใจป่วยแล้วกายจะไม่ป่วยตามไปด้วย ดังนั้นต้องหมั่นหาเวลาออกไปผ่อนคลายจิตใจบ้างเช่น เดินทางท่องเที่ยว หรือหางานอดิเรกที่เราชื่นชอบทำ เพียงเท่านี้ก็เป็นการฟิตสุขภาพใจให้แข็งแรงพร้อมรับมือกับทุก ๆ สถานการณ์แล้วล่ะค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
//health.kapook.com/view105798.html
อ่านมาเจอท้ายสุด สุดท้าย แม่โมคงเป็นออฟฟิคซินโดรมละคะ ต้องการเวลาคลายเครียดเสียบ้าง. ขอบคุณข้อมูลดี ๆ ค่ะ