5 วิธีป้องกันอาการขี้ลืมในเวลาทำงาน
ชีวิตคนเราต้องผูกติดอยู่กับงานเสียส่วนใหญ่ แต่เราก็มักมีปัญหาขี้ลืมอยู่เสมอจริงไหม แล้วจะแก้ไขกันอย่างไรไม่ให้สมองเราขี้ลืมง่ายๆ วันนี้เรามีคำตอบมาฝากแล้วค่ะกับ 5 วิธีป้องกันอาการขี้ลืมในเวลาทำงาน
5 วิธีป้องกันอาการขี้ลืมในเวลาทำงาน
1. จดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ
การจดบันทึกเป็นเครื่องช่วยเตือนความจำได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว ใครที่กลัวว่าตัวเองจะขี้ลืมบ่อยๆ จากนี้เพียงพกพาสมุดบันทึกเล็กกะทัดรัดสักเล่มเอาไว้ติดตัว ไปไหนมาไหนก็ใส่กระเป๋าและอยากจดอะไรที่สำคัญไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องที่ต้องทำในระหว่างวันก็หยิบมาจดลำดับความสำคัญลงไป แล้วหมั่นเปิดทบทวนสิ่งที่ต้องทำบ่อยๆ เท่านี้ก็ช่วยป้องกันอาการขี้ลืมกันได้แล้วและทำให้คุณไม่พลาดเรื่องงานสำคัญอีกด้วย
2. หมั่นทบทวนอยู่เสมอ
หากคุณมีงานใหม่ๆ ที่ได้รับมอบหมายและกลัวลืมหรือกลัวว่างานมันยากแล้วจะทำให้คุณกลายเป็นคนรน กลัวว่าจะทำไม่ได้ แนะนำให้หมั่นมานั่งทบทวน อ่าน ศึกษาเรียนรู้งานให้เข้าใจทุกๆ วัน ยิ่งหากใช้เวลาตอนเช้าก่อนเริ่มงานได้ยิ่งดีมาก เพราะสมองคนเราในยามเช้าจะสดใสปลอดโปร่ง พร้อมรับการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มบำรุงสมอง
ระหว่างวันทำงานอาจจะในช่วงบ่าย มีบ้างที่สมองของเราเหนื่อยล้าจากการคิดงานหนักๆ แนะนำให้คุณหาเครื่องดื่มกระตุ้นสมองดื่มอาจจะชิบชาสมุนไพรอุ่นๆ หรือทานน้ำเปล่าผสมน้ำมะนาวเย็นๆ สดชื่นสักแก้ว การดื่มน้ำผลไม้เช่นนี้จะทำให้สมองเราสดชื่น กระปรี้กระเปร่าในยามบ่ายได้เยอะทีเดียว
4. ไม่ควรงดอาหารเช้า
ไม่อยากเป็นคนขี้ลืมและอยากให้ตัวเองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณไม่ควรงดอาหารเช้าเด็ดขาด ตื่นมาตอนเช้าอาจจะตั้งเวลาให้เร็วสักหน่อยเพื่อให้มีเวลาได้เตรียมอาหารที่มีประโยชน์ทาน เมื่อกระเพาะอาหารอิ่มท้อง สมองก็ย่อมได้รับการกระตุ้นและส่งพลังงานไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ระบบการทำงานของสมองเป็นไปได้ดี ลดอาการขี้ลืมได้อย่างอยู่หมัดแน่นอน
5. พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานในทางสร้างสรรค์
ในยามพักเบรคหลายคนอาจจะจับกลุ่มหันหน้าคุยกันกับเพื่อนร่วมงานแต่ในเรื่องการนินทาคนอื่น แต่จะดีไม่น้อย หากเราจะหันหลังให้กลุ่มนินทาแต่หันหน้ามาพูดคุยกับคนที่รักงาน คุยกับคนที่ใส่ใจงาน ไม่คุยในเรื่องไร้สาระ ลองดูนะคะ หาเพื่อนร่วมงานสักคนไว้คุยคลายเครียดแต่ในเรื่องสร้างสรรค์ แล้วจะทำให้สมองของเราไม่คิดสิ่งต่างๆ ในเชิงติดลบ เป็นการช่วยต่อยอดให้สมองทำงานปลอดโปร่งและกระตุ้นไอเดียใหม่ๆ ได้มากขึ้นด้วย
ในชีวิตของการทำงานเป็นเรื่องปกติของคนเราทุกคนค่ะที่จะต้องมีอาการขี้ลืมในที่ทำงานกันบ้าง หรือในระหว่างการใช้ชีวิตประจำวันเราก็มีเรื่องบางเรื่องที่อาจจะต้องหลงลืม แต่ทั้งนี้ เคล็ดลับจากเราย่อมช่วยคุณได้ค่ะ ดังนั้น อย่าลืมนำไปใช้กันเป็นประจำนะคะ
ขอบคุณ ข้อมูลจาก //women.sanook.com/blog/วิธีป้องกันอาการขี้ลืม
***********
วิธีป้องกันลืมของสำหรับคนขี้ลืม
.
HealthBEAT จากสำนักพิมพ์ฮาร์วาร์ด ตีพิมพ์เรื่อง 'Tips to get the most from your memory'
= "เคล็ดลับ (วิธี) เค้นความจำของคุณเกือบทั้งหมดมาใช้" = "เคล็ดลับ (ทิป) ป้องกันลืมสำหรับคนขี้ลืม (ความจำไม่ดี), ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ .
ผศ.ดร.แอนน์ ฟาบินี จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า สมองคนเราเสื่อมตามอายุที่เพิ่มขึ้น
วิธีป้องกัน "ลืม" สำหรับคนขี้ลืม หรือความจำเสื่อมบางส่วนได้แก่ การทำ "บางเรื่อง" ให้เป็นกิจวัตร (routine - รูทีน) หรือเหมือนเดิมทุกวันได้แก่
.
(1). ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน (แบบเดิมๆ)
.
ฝึกวางของไว้ที่เดิม โดยเฉพาะของที่จะต้องพกติดตัวเวลาออกนอกบ้าน เช่น กุญแจรถ กุญแจบ้าน แว่นตา โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ
.
ถ้าทำแล้วยังลืมอีก... ให้หาตะกร้ามา 2 ใบ, ใบหนึ่งใช้ใส่ของที่จะใช้นอกบ้าน อีกใบใช้ใส่ของที่จะใช้ในห้องน้ำ
.
กล่าวกันว่า ถ้าทำเรื่อง "กิน-นอน-ถ่ายหนัก-ออกกำลัง" ให้เป็นกิจวัตรได้ จะทำให้อายุยืนอย่างมีคุณภาพ เพราะนาฬิกาชีวิต และฮอร์โมนไม่ตีรวน
.
และอย่าลืม... ถ้าหาแว่นตาไม่เจอ ให้รีบส่องกระจก เพราะคนที่สวมแว่นจนชินหลายๆ คน หาแว่นทั้งๆ ที่สวมแว่นอยู่ ทำให้นึกถึงคำเรียกขวัญโบราณที่ว่า "ขวัญเอ๊ย... ลงกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว"
.
(2). ทำอะไรให้ช้าลง
.
การทำอะไรให้ช้าลง ช่วยให้ใจอยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น สมองมีเวลาเก็บข้อมูล-บันทึกข้อมูลมากขึ้น
.
ถ้ามีเรื่องต้องทำหลายเรื่อง... ให้เขียนใส่กระดาน เช่น ไวท์บอร์ด (white board) ฯลฯ แล้วใส่เลขกำกับลำดับความสำคัญ (priority) ว่า เรื่องไหนต้องทำก่อน เรียงตามตัวเลข 1, 2, 3, ...
.
.
(3). ใส่ใจ (เอาใจใส่) กับเรื่องที่กำลังทำ
.
เรื่องนี้ตรงกับคำสอนของครูบา อาจารย์หลายท่านที่ว่า "ให้อยู่กับปัจจุบัน" และทำทีละอย่าง เช่น เวลากินข้าว... ไม่ควรเปิด TV, ให้นั่งลง กินช้าๆ เคี้ยวช้าๆ เคี้ยวให้เบาลง (เคี้ยวแรงๆ เพิ่มเสี่ยงฟันสึก) ฯลฯ
.
พระอาจารย์เรวตะ อาจารย์กรรมฐาน วัดพะเอ๊าตอย่า เมาะละแหม่ง พม่า (ท่านเป็นลูกครึ่งไทย-พม่า) สอนให้เคี้ยวช้าๆ 30 ครั้ง/ทำ ซึ่งถ้าใช้ข้าวกล้องแช่น้ำข้ามคืน หุงเช้า จะได้ข้าวที่ทำให้ "เคี้ยวช้าลง"
.
(4). หลีกเลี่ยงสิ่งแวดล้อมที่มีเสียงดังอึกทึก หรือมีสิ่งเร้ามากเกินไป
.
แนะนำให้หลีกเลี่ยงสถานที่หลายแห่งมีเสียงดัง เช่น งานวัด-งานศพ-งานรื่นเริงบ้านนอก ไนท์คลับ ผับ บาร์ ฯลฯ... ทำให้เสี่ยงหูเสื่อม-หูตึงด้วย จิตหลุดจิตลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวด้วย
.
.
(5). ทำงานทีละอย่าง
.
แนะนำให้หลีกเลี่ยงการทำงานหลายๆ อย่างพร้อมกัน (multitasking) เช่น กินข้าว+ดู TV, กินข้าว+พูดมาก (พูดมากเวลากิน ทำให้กลืนลมลงท้องมากขึ้น เสี่ยงกรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องเฟ้อมากขึ้น) ฯลฯ
.
ถ้าชอบเปิดเพลงเวลาทำงาน... น่าจะลองหาเพลงที่ไม่มีเนื้อร้อง หรือมีเนื้อร้องภาษาที่เราฟังไม่รู้เรื่อง เปิดให้เบาลง จะช่วยให้ทำงานได้ดีกว่าเพลงที่มีเนื้อร้อง
.
(6). นอนให้พอ
.
คนส่วนใหญ่ต้องการนอน 7-8 ชั่วโมง, คนส่วนน้อยต้องการนอนน้อยกว่านี้ หรือมากกว่านี้
.
ถ้าเป็นไปได้, ควรฝึกตื่นเวลาเดิมเสมอ เพราะการเปลี่ยนเวลาตื่นเพิ่มเสี่ยงนอนไม่หลับในวันต่อๆ ไป
.
.
(7). ลดเรื่องเครียด
.
การออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ สวดมนต์ ฝึกสมาธิให้ถูกวิธี (ระวังสำนักที่เน้นการบริจาค เพราะอาจทำให้หมดตัวได้)
.
การออกกำลังแบบตะวันออก เช่น ไทชิ-ชี่กง มวยจีน โยคะ, พิลาทิส (คล้ายโยคะ) ฯลฯ หรือการออกกำลังแบบ "เหงื่อตกกีบ (อะไรก็ได้ที่ทำให้เหนื่อยเต็มที่ เหงื่อออก)" มักจะช่วยลดความเครียดได้ดีกว่าการออกกำลังแบบอื่นๆ
.
(8). ฝึกลดมองโลกในแง่ร้าย
.
ฝึกลดนิสัยเปรียบเทียบตัวเองกับคน อื่น หรือเอาคนหนึ่งไปเปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่ง เช่น ฝึกไม่เปรียบเทียบลูกหลานกับพี่น้อง ฯลฯ... การเปรียบเทียบ แข่งขันที่มากเกินไป เพิ่มเสี่ยงความรู้สึกอิจฉาริษยา และทำให้คนแตกแยกกัน
.
ฝึกลดนิสัยนินทาคนอื่นลับหลัง และฝึกชมคนอื่นลับหลัง โดยเน้นชมการกระทำ เช่น วันนี้เห็นบ้านสะอาดควรออกปากชม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง...
.
กล่าวกันว่า "ชมต่อหน้าออกฤทธิ์แรงแต่สั้น ชมลับหลังออกฤทธิ์ช้าแต่นาน" จึงควรชมทั้งต่อหน้าและลับหลัง, การชมการทำดีบ่อยๆ ทำให้คนรอบๆ ตัวเราอยากทำดี-อยากเป็นคนดี, ทำให้คนดีอยากคบหาเรา
.
ฝึกลดการดูละครอิจฉาริษยา เพราะเพิ่มเสี่ยงการมองโลกในแง่ร้าย งมงาย และใจแคบ
.
.
(9). ฝึกเพิ่มมองโลกในแง่ดี
.
การฝึกมองโลกในแง่ดี ทำได้หลายทาง เช่น ฝึกให้อาหารสัตว์ สมัครเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาล ฯลฯ ทว่า... เรื่องที่ทำได้ทันทีทุกวัน คือ ฝึกกล่าวคำ "ขอบคุณ-ขอบใจ-ขอโทษ" ให้เป็น แบบที่คุณครูภาษาไทยสอนไว้
.
การกล่าวคำ "ขอบคุณ-ขอบใจ" หรือไหว้ขอบคุณเป็น บ่งว่า คนกล่าวมีใจสูง-ใจกว้าง กตัญญูกตเวที
.
การกล่าวคำ "ขอโทษ" หรือไหว้ขอโทษเป็น บ่งว่า เป็นคนกล้า ไม่เย่อหยิ่งโอหัง และมีพลังในการพลิกวิกฤติเป็นโอกาส พลิกร้ายให้กลายเป็นดี และเป็นคนที่ "ดีขึ้นได้ (พร้อมที่จะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น)"
.
.
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
.
ขอขอบคุณ
วิธีป้องกันลืมของสำหรับคนขี้ลืม น.พ.พัลลภ
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=health2u&month=10-2012&date=25&group=9&gblog=158
ยังอ่านไม่จบนะคะ แล้วจะกลับมาอ่านต่อ
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
กะว่าก๋า Dharma Blog ดู Blog
มิลเม Diarist ดู Blog
เศษเสี้ยว Photo Blog ดู Blog
ปลาทอง9 Travel Blog ดู Blog
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog