ตะพาบประจำหลักกิโลเมตรที่ 230 "ความกลัว"


ตะพาบประจำหลักกิโลเมตรที่ 230 "ความกลัว"
โจทย์โดยคุณ กะว่าก๋า
 

"ความกลัว" เกิดขี้นกับทุกคน แม้กระทั่งเด็กเล็ก พอรู้เรื่องก็รู้จักกลัว
เราเองก็กลัวหลายอย่าง ก่อนนี้จะกลัวการอยู่คนเดียว ไม่กล้าไปไหนคนเดียว
และไม่กลัาไปนอนโรงแรมคนเดียว เวลาไปประชุม ก็ต้องไปนอนกับเพื่อน
แม้แต่ไปนอนบ้านเพื่อน เขาจัดห้องให้นอน ก็ต้องให้เพื่อนมานอนด้วย
สาเหตุ อาจจะเป็นเพราะไม่เคยอยู่คนเดียวเลย เรียนนักเรียนประจำตั้งแต่
อายุ 11 ขวบ จะเป็นห้องนอนรวม ห้องละยี่สิบคน เตียงเรียงเป็นแถว
จนกระทั่งเรียนพยาบาลก็ยังนอนห้องรวมกัน ห้องละ 6-8-12 คน สนุกดี
เพื่อนจะผลัดกัยขี้นเวร เช้า บ่าย ดีก ในห้องเราก็จะมีคนตลอดเวลา
เลยกลายเป็นคนชอบมีเพื่อนๆ และไม่ชอบไปไหนคนเดียว ไม่ชอบไปนอน
หรือเที่ยวที่ไหน ต้องนอนห้องคนเดียว
กลัวอะไร ก็กลัวทั้งหมด กลัวคนมาพังประตู กลัวเสียงอะไรๆ กลางคืน กลัว
ความมืด แถมคนเล่าอะไรๆสารพัด หน้าต่างก็ไม่อยากมอง กลัวเห็นอะไร

ระยะนี้ สว.ก็พยายามหัดทำอะไรด้วยตัวเอง ไปไหนๆเองขับรถไปไหนๆ ไม่ไกล
ไปทานอาหาร ตามร้านอาหารคนเดียว เริ่มหัดนอนคนเดียว ไปบ้านเพื่อน
เพืื่อนไม่ต้องนอนเป็นเพื่อน แต่ไปเที่ยวยังไม่กล้านอนคนเดียว และไปเที่ยว
ก็อยากมีเพื่อนไปอยู่ดี เพราะทัวร์เขาจัดเป็นแบบห้องคู่

แต่ระยะนี้กังวล และกลัวก็คือการที่เป็นสว.ที่ช่วยตัวเองไม่ได้เป็น
ภาระต่อคนใกล้เคียง ต้องอยู่ในสภาพที่ต้องพึ่งพาคนอื่น

เตรียมวางแผนไว้ว่า ถ้าต้องอยู่แบบติดเตียงก็คงต้องหาผู้จัดการบริบาล
และจัดหาคนดูแล ดูแลเรื่องอาหาร การรักษาพยาบาลให้

แต่ถ้าต้องมีขีวิตอยู่แบบไร้คุณภาพ ก็ไม่อยากยื้อ การที่ตัดสินบอกคนข้างเคียงไว้ว่า
เราไม่ต้องการยื้อชิวิต เขาจะได้ตอบคุณหมอได้ถูกต้อง ว่าเราไม่ต้องยื้อ
และเป็นความต้องการของเรา คนที่บอกหมอจะได้ไม่รู้สีกว่าเป็นคนตัดสินใจ
และรู้สีกไม่สบายใจ 

เดี๋ยวนี้ที่อเมริกา คิดว่าทุกแห่งเวลาไปหาหมอประจำตัว หรือต้องเข้ารพ.
ผ่าตัดต่างๆ ทางรพ. (ที่จริงเริ่มตั้งแต่ไปหาหมอประจำตัวก็จะให้ทำเอกสาร
ให้ใครเป็นคนจัดการในการตัดสินใจการรักษาพยาบาล ถ้าหากเราไม่สามารถ
ทำได้ ) เราทำไว้ล่วงหน้า เวลามีอะไร ก็มีอยู่แล้ว เช่นว่าเราไม่อยากให้เขา
ยื้อชีวิต ไม่อยากอยู่แบบชีิวิตไม่มีคุณภาพ ไม่อยากอยู่ด้วยเครื่องช่วยหายใจ
ไม่อยากอยู่แบบผัก .. ทำไว้เลย สะดวกกับคนที่อยู่ต้องตัดสินใจให้

สามีเพื่อนพยาบาล เพิ่งไม่สบายใจ ภรรยาเกิดเส้นเลือดในสมองแตกและคุณหมอ
ตรวจทุกอย่าง บอกว่าถ้าทำผ่าตัดสมองก็จะไม่ดีขี้น และถ้าฟื้นก็จะมีชีวิตอยู่แบบ
ไม่มีคุณภาพ (เหมือนผัก) คุณสามีก็ตัดสินใจว่าไม่อยากเห็นภรรยาอยู่ในสภาพ
แบบนั้น ตัดสินใจไม่ยื้อชีวิต ให้ถอดเครื่องหายใจ แต่คุณสามีไม่ติดต่อเพื่อนๆเลย
เป็นเวลาหลายวัน จนเพื่อนอีกคนโทรไปที่บ้านเพื่อน ชวนไปทานข้าวกัน คุณสามี
จึงเล่าว่าตอนนี้คุณภรรยาอยู่รพ.มาสี่วันแล้วและรู้สีกไม่สบายใจ กลัวเพื่อนๆจะว่า
คุณสามีที่ตัดสินใจไม่ให้หมอผ่าตัดและไม่อยากยื้อชีวิตเพื่อน เพื่อนๆเข้าใจและ
บอกคุณสามีว่า เราๆ ก็ไม่ต้องการอยู่แบบชีวิตที่ไม่มีคุณภาพ เขาตัดสินใจถูกแล้ว
และเชื่อว่าเพื่อนก็คงไม่อยากมีชีวิตแบบไม่มีคุณภาพและสร้างภาระและความทุกข์
ให้ครอบครัวด้วย ทำให้คุณสามีเพื่อน สบายใจขี้นมาก ระยะนี้เราก็ยังทักทายคุณสามี
เพื่อน เป็นกำลังใจให้คุณสามี ระยะนี้ผ่านมาเกือบสามอาทิตย์ คุณสามีของเพื่อนค่อย
สบายใจและพอทำใจได้ และคลายกังวลที่เพื่อนๆไม่ได้ว่าเขาที่เขาตัดสินใจให้หมอ
ถอดเครื่องหายใจ ..เพื่อนของเราก็จากไปอย่างสงบเมื่อเดือนที่แล้ว
( พฤษภาคม 2019) 
ขอให้เพื่อนไปสู่่สุขคติ - RIP.



************

ออกแบบการตาย ให้จากไปอย่างสงบ

โดย arphawan sopontammarak
 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ 

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ออกแบบการตาย ให้จากไปอย่างสงบ thaihealth

สสส. คณะทำงานสุขภาพคนไทยศึกษาเรื่องพิเศษ "ตายดี วิถีที่เลือกได้" เตรียมตัวตายอย่างมีศักดิ์ศรีในวันที่สังขารแตกดับและสิ้นลม จิตใจสงบเป็นอิสระ โปร่งเบา พระไพศาล วิสาโล มีประสบการณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต

ยิ่งผู้ป่วยใกล้ตายจิตใจไม่สงบและกระวนกระวายมากเท่าใด ก็จะมีความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยมากเท่านั้น แตกต่างจากผู้ป่วยมีจิตสงบ จะมีสติรู้ทันความเจ็บปวดและควบคุมอาการเจ็บปวดได้ดี ในนาทีสุดท้ายต้องตั้งสติให้ได้ ปล่อยวาง ดับความเป็นตัวกูของกูให้หมดสิ้น แล้วก็จะตายดีได้

คนไทยมักจะพูดปากต่อปากว่า เกิดมาทั้งที อย่าให้เสียชาติเกิด ถ้าจะไม่ให้เสียชาติเกิดก็ต้องทำชีวิตนี้ให้มีคุณค่า "อยู่ก็สบาย ตายก็เป็นสุข" จึงเป็นเรื่องดีที่การตายของเราที่ธรรมชาติหยิบยื่นให้มาพร้อมกับชีวิตนั้นจะต้องเป็นการจากไปอย่างมีศักดิ์ศรี สงบ และเป็นธรรมชาติเพื่อจะได้ไม่เสียทีที่เกิดมาชาติหนึ่ง

คณะทำงานสุขภาพคนไทยได้ศึกษาเรื่องพิเศษ "ตายดี วิถีที่เลือกได้" มานำเสนอเพื่อให้เห็นว่า ถึงแม้ความตายเป็นสิ่งที่ "เลือกไม่ได้" แต่เราสามารถ "เตรียมตัวและออกแบบ" การจากไปในช่วงสุดท้ายของชีวิตได้ การเตรียมตัวอย่างไรให้ตายดีในมิติทั้งด้านการแพทย์และจิตใจ และสร้างความเข้าใจในเรื่องสิทธิของคนไทยที่จะทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ขอรับการรักษาที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดความตายเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ เพื่อในวาระสุดท้ายของชีวิตสามารถจากไปได้อย่างสงบ หรือที่พูดกันว่า "ตายตาหลับ" จัดพิมพ์โดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล (วปส.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ผู้ทรงคุณวุฒิมีส่วนร่วมให้สัมภาษณ์ประเด็น "ตายดี วิถีที่เลือกได้" นพ.อำพล จินดาวัฒนะ คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์ ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดและอ่านได้จาก www.thaihealthreport.com

ออกแบบการตาย ให้จากไปอย่างสงบ thaihealth

เราต้องมีสิทธิ์กำหนดด้วยตัวเอง ทั้งชีวิตและความตาย เพราะทั้งสองอย่างนี้แยกกันไม่ออก ตายดี วิถีที่เลือกได้ "ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนพาล ทั้งบัณฑิต ทั้งคนมี ทั้งคนจน ทั้งหมดล้วนเดินหน้าไปหาความตาย" พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ข้อ 108  "การตายเป็นหน้าที่ของสังขารอย่างไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแก้ไข นอกจากการต้อนรับให้ถูกวิธี สอนให้รู้จักตายก่อนตาย นั่นคือ ตายจากทั้งความชั่วและความดี ไม่ยึดติดในสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าทำได้เช่นนี้เมื่อถึงวันที่สังขารแตกดับและสิ้นลม จิตใจก็จะสงบ เป็นอิสระและโปร่งเบา เป็นสุดยอดของการตายแท้จริง" พุทธทาสภิกขุ

"คนไข้เจ้าของชีวิตต้องมีสิทธิ์และสามารถแสดงความจำนงของเขาไว้ได้ว่า เมื่อถึงวาระสุดท้ายของเขาแล้ว เขาต้องการให้เป็นอย่างไร ญาติและแพทย์ควรจะตอบสนองเจตจำนงของคนไข้ เพราะเป็นความปรารถนาของเขา ว่าเขาต้องการจากไปในสภาพเช่นไร" ศ.นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ อดีตอาจารย์คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี บทสัมภาษณ์รายการกรองสถานการณ์ สถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ในหนังสือตายอย่างมีศักดิ์ศรี

ทัศนะของศาสนาเกี่ยวกับความตายจำแนกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ แบบแรก มองความตายว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงของชีวิตจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง ทัศนะเช่นนี้เป็นความเชื่อที่แพร่หลายในศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธ ในมุมมองของพุทธ ชีวิตประกอบด้วยส่วนที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เรียกโดยรวมว่าเบญจขัณฑ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความตายคือการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบทั้งหมดที่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆ ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยหรือมีเชื้ออยู่ ชีวิตก็ยังมีอยู่ เมื่อตายแล้วก็เกิดใหม่ได้ แต่จะเกิดใหม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหรือกรรม คือ การกระทำซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีของแต่ละคน ตามหลักแล้วการเกิดใหม่สามารถจะมีได้ไม่รู้จบตราบเท่าที่ยังมีเหตุปัจจัยให้เป็นเช่นนั้น จะไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อเมื่อเหตุปัจจัยดับสิ้นไม่มีเหลือ ในทางพุทธหมายถึงการดับกิเลสทั้งมวลจนบรรลุพระนิพพานแล้ว

ทัศนะอีกแบบหนึ่งคือ คนเรามีชีวิตในโลกนี้ได้ครั้งเดียว ตายแล้วก็จบ ไม่มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ในโลกนี้อีก เมื่อตายแล้วต้องรอวันที่พระเจ้าจะพิพากษาว่าจะได้ไปสวรรค์หรือไปนรกตามระดับความดีความชั่วที่ตนทำไว้ โลกนี้เป็นเรื่องชั่วคราว แต่มีความสำคัญเพราะเป็นสิ่งที่จะบอกว่าชีวิตในโลกหน้าซึ่งเป็นสิ่งนิรันดร์นั้นจะได้ไปสู่สวรรค์ในดินแดนของพระเจ้าหรือไปนรก ความเชื่อนี้แพร่หลายอยู่ทั่วไปในกลุ่มศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว เช่น ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม

ทัศนะการแพทย์แบบตะวันตกหรือการแพทย์สมัยใหม่ เป็นเรื่องของการต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อให้คนมีสุขภาพดีและมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด เพื่อต่อสู้กับความตาย ทัศนะเช่นนี้มีคุณูปการอย่างยิ่ง เพราะได้ช่วยให้การแพทย์เจริญก้าวหน้า ทำให้ชาวโลกทั่วไปมีอายุยืนยาวขึ้น ที่สำคัญคือกระบวนทัศน์การแพทย์สมัยใหม่ตรงกับธรรมชาติของคนทั่วไป คือการรักชีวิตและกลัวความตาย แม้จะรู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ก็ตาม ดังนั้นการยื้อชีวิตเอาไว้ด้วยกระบวนการรักษาจึงเป็นสิ่งที่วงการแพทย์สมัยใหม่แทบจะไม่ตั้งคำถามถึงผลข้างเคียงเลย ประชาชนส่วนมากก็พร้อมที่จะยอมรับการยืดชีวิตเอาไว้ หรือจำต้องยอมรับอยู่แล้ว แม้จะเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมานจากกระบวนการรักษาเพียงใดก็ตาม ทั้งนี้เพื่อแลกกับคามหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

มนุษย์เราควรมีโอกาสได้ตายดี เช่นเดียวกับโอกาสที่จะดำรงอยู่อย่างสุขสบายตามอัตภาพเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ความตายทำให้เกิดการสูญเสีย พลัดพราก และเป็นสิ่งที่เจ็บปวดน่าหวาดกลัวมิใช่หรือ เช่นนี้แล้วการตายดีจะเป็นไปได้อย่างไร ความตายที่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นความสูญเสียและเป็นสิ่งที่น่ากลัวนั้นสามารถจะทำให้กลายเป็นการจากไปที่ดี ให้เป็นความตายที่สงบ หรือแม้แต่เป็นความตายที่สว่างได้ด้วย แม้ยังไม่ตายเราก็ยังมีโอกาสใช้ความตายเป็นเครื่องเตือนสติให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หมั่นทำความดี แก้ไขสิ่งที่ผิด และตั้งมั่นอยู่ในทางที่ชอบ เพื่อว่าเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตมาถึงจะได้จากไปอย่างสงบและเป็นธรรมชาติ คือ ตายดี ตายแล้วก็ขอให้ได้ขึ้นสวรรค์หรือได้เข้าสู่ดินแดนแห่งพระผู้เป็นเจ้าก็ถือว่าเป็นการตายที่ดี ขณะเดียวกันผู้ตายก็ต้องเตรียมชีวิตให้พร้อมที่จะได้ไปสวรรค์ตั้งแต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่

ออกแบบการตาย ให้จากไปอย่างสงบ thaihealth

ในสมัยอดีตกาลนั้น แม้ว่าคนไทยจะไม่มีระบบสุขภาพที่มาช่วยให้มีชีวิตที่สะดวกสบายและยืนยาวได้เท่าทุกวันนี้ แต่คนจำนวนมากให้ความสำคัญแก่การได้ตายอย่างมีศักดิ์ศรีในสภาพที่ร่างกายไม่ต้องถูกกระทำจากกระบวนการรักษาที่เกินความจำเป็น ท่ามกลางบรรยากาศที่เอื้อต่อความสงบทางจิตใจและจิตวิญญาณ ในวาระสุดท้ายเรายินดีให้แพทย์ทำทุกอย่างเพื่อยื้อชีวิตไว้ แม้จะรู้อยู่ว่าจะทำให้เจ็บปวดทรมานและมีค่าใช้จ่ายมากเท่าไรบางคนก็ยอม ทั้งที่รู้ว่าแทบไม่มีโอกาสที่จะคืนสู่สภาพชีวิตที่มีคุณภาพตามควรแก่อัตภาพ

เป็นเรื่องดี ถ้าเราออกแบบการตายของตัวเองโดยแสดงความจำนงไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ยังแข็งแรงและมีสติสัมปชัญญะทุกประการ เมื่อเจ็บป่วยจนถึงวาระสุดท้าย เราจะไม่ขอรับการรักษาเพียงเพื่อยื้อชีวิตเอาไว้ แต่จะขอจากไปอย่างสงบตามธรรมชาติ เตรียมพร้อมสำหรับความตายที่จะมาถึงเมื่อใดก็ได้ด้วยการดำรงชีวิตอย่างไม่ประมาท เพื่อวาระสุดท้ายของชีวิตจะได้จากไปด้วยดี

คนไทยจำนวนมากเจ็บป่วยจนถึงขั้นสุดท้ายของชีวิตแล้วก็ไม่ได้จากไปโดยสงบอย่างเป็นธรรมชาติ แต่จากไปหลังจากกระบวนการรักษาพยาบาลได้ทำให้ร่างกายบอบช้ำโดยไม่จำเป็น ผู้ป่วยระยะสุดท้ายจำนวนไม่น้อยที่มีฐานะดีและเป็นคนดังในสังคม ดังนั้นการรักษาพยาบาลที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยืดเวลาความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยออกไปโดยไม่ได้ทำให้ชีวิตสามารถคืนสู่สภาพที่มีคุณภาพได้ เป็นสิ่งที่เรามีสิทธิ์ปฏิเสธได้ และควรปฏิเสธโดยการแสดงความจำนงไว้เป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้า หรือเตรียมสร้างความเข้าใจและการยอมรับของญาติมิตรที่ใกล้ชิดและคนรอบข้าง โดยการเตรียมชีวิตไว้ให้พร้อม เมื่อถึงวันนั้นจะได้จากไปอย่างสงบโดยไม่ฝืนธรรมชาติของชีวิต

การตายทันทีเพราะหัวใจวายเฉียบพลันเป็นการตายที่ดีหรือไม่ การตายดีคือการตายจากการได้พลีชีพเพื่อชาติหรือเพื่ออุดมการณ์ที่ตนยึดถือ การตายที่ได้ขึ้นสวรรค์หรือได้เข้าสู่ดินแดนแห่งพระผู้เป็นเจ้าถือว่าเป็นการตายที่ดี การตายที่ดีควรเป็นการตายตามธรรมชาติโดยไม่ต้องฝืนเมื่อวาระสุดท้ายมาถึงก็ตายตาหลับได้โดยไม่ต้องห่วงกังวล จากไปในบรรยากาศที่อบอุ่น ในสภาพจิตเป็นอิสระ สงบ โปร่งเบา และปล่อยวางจากความยึดมั่นทั้งปวง

การตายดีนั้นฉันใด ก็คือ 1.ตายตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องฝืน ความตายเกิดขึ้นกับเราอยู่ตลอดเวลา ในทางชีววิทยา เซลล์ในร่างกายที่เติบโตเต็มที่แล้วก็ตายไป เม็ดเลือดแดงมีอายุ 120 วัน หลังจากนั้นก็สลายไปที่ตับ เม็ดเลือดแดงใหม่ที่สร้างจากไขกระดูกก็เกิดมาแทนที่ ทดแทนหมุนเวียนกันไป เราจึงเกิดทุกวันและตายอยู่ทุกวัน แม้ยังมีลมหายใจอยู่ 2.ตายตาหลับโดยไม่มีความหวาดกลัวหรือห่วงกังวล ในขณะที่ใกล้สิ้นลมอาจเกิดนิมิตคือภาพที่ปรากฏในใจอย่างใดอย่างหนึ่ง การกระทำที่ฝังใจอยู่ไม่รู้ลืมมีทั้งดีและไม่ดี ที่ไม่ดีคือบาปกรรมที่เคยทำกับคนหรือสัตว์อื่น หนี้สินที่ยังไม่ได้ชำระ ความผิดหรือการล่วงเกินต่อผู้อื่นที่ยังไม่ได้จัดการให้เรียบร้อย หรือยังไม่ได้ขออโหสิกรรมให้เลิกแล้วกัน ภาพการกระทำที่ไม่ดีอาจจะทำให้เกิดความหวาดกลัวทุรนทุรายขณะที่จิตกำลังจะดับ

พระไพศาล วิสาโล มีประสบการณ์ช่วยเหลือผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิตมามาก ยิ่งผู้ป่วยใกล้ตายจิตใจไม่สงบและกระวนกระวายมากเท่าใดก็จะมีความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วยมากเท่านั้น ตรงกับข้ามกับผู้ป่วยที่มีใจสงบ จะมีสติรู้ทันความเจ็บปวดและสามารถควบคุมอาการเจ็บปวดได้ดีกว่าคนที่วิตกกังวลมากๆ และขาดสติ สำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต การรักษาทางแพทย์จะต้องควบคู่ไปกับการช่วยให้เกิดความผ่อนคลายทางจิตใจ เพื่อให้เขาพร้อมที่จะเข้าสู่การตายได้อย่างสงบและเป็นธรรมชาติที่สุด

3.ตายในบรรยากาศที่อบอุ่น คือผู้ป่วยระยะสุดท้ายมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ตนรัก สมาชิกครอบครัว ญาติ มิตรได้อย่างเป็นปกติเท่าที่สภาพของเขาจะมีได้ 4.ตาย ด้วยจิตที่เป็นอิสระจากสิ่งยึดมั่นทั้งปวง ผ่อนคลาย สงบ และปล่อยวาง ไม่ยึดติดในตัวกูของกู นับได้ว่าเป็นการตายดี

ท่านพุทธทาสภิกขุสอนไว้ว่า "ไม่ว่าจะเป็นคนชั่วคนดีอย่างไร ถ้าอยากจะตายดีแล้ว ในนาทีสุดท้ายต้องตั้งสติให้ได้ และปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ดับความเป็นตัวกูของกูให้หมดสิ้น แล้วก็จะตายดีได้"



ขอขอบคุณข้อมูลจากอินเตอร์เนต
 

 
สาขา Klaibann blog


 
newyorknurse



Create Date : 10 มิถุนายน 2562
Last Update : 17 มิถุนายน 2562 7:41:34 น. 24 comments
Counter : 1374 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณSweet_pills, คุณhaiku, คุณไวน์กับสายน้ำ, คุณโอน่าจอมซ่าส์, คุณTui Laksi, คุณเนินน้ำ, คุณmcayenne94, คุณตะลีกีปัส, คุณเริงฤดีนะ, คุณเรียวรุ้ง, คุณบาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน, คุณภาวิดา คนบ้านป่า, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ, คุณtuk-tuk@korat, คุณแมวเซาผู้น่าสงสาร, คุณสองแผ่นดิน, คุณtoor36, คุณMDG, คุณหอมกร, คุณJinnyTent, คุณกาปอมซ่า, คุณALDI, คุณสันตะวาใบข้าว, คุณทนายอ้วน, คุณNior Heavens Five, คุณRinsa Yoyolive, คุณKavanich96


 
สวัสดีค่ะพี่น้อย

การเตรียมตัวเตรียมใจและวางแผนก่อนจาก
น่าจะช่วยลดความกลัวได้บ้างนะคะ
บทความได้ข้อคิดดีๆ มีประโยชน์มากค่ะ

ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวเพื่อนพี่น้อยด้วยนะคะ



โดย: Sweet_pills วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:7:50:40 น.  

 
พวกเราเด็กไทย อยู่ท่ามกลางกัน ขู่ นั่งระหว่างร่องไม้ผีจะแหย่
นิ้วมานะ อย่าเดินไปคนเดียวผีดุ... ตำรวจจะจับนะถ้ากิน
ข้าวจับ ๆ

ส่วนคุณน้อย มีชีวิตอยู่กับเพื่อนเยอะ ก็ทำให้หวาดกลัวได้ถ้า
อยู่คนเดียว คงเพราะความเคยชิน

...

ผมเคยดูหนังทางทีวี..ของตปท. คนป่วยไม่อยากอยู่
เพราะทรมาณกาย ป่วยมานาน ไม่มีห่วง แพทย์หาทางให้
แต่คนป่วย ยืนยืนว่า ไม่ต้องยื้อ

ภาพต่อมา หมอยืนอยู่นำมือของผู้ป่วยวางไว้ และให้คนป่วย
ตัดสินใจ ปิดเครื่องช่วยหัวใจ และแล้วคนป่วยก็กดปุ่มเอง
แล้วจากไปอย่างสงบ..

ดีเหมือนกันนะครับคุณน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงในเมกาหรือ
ประเทศไหนบ้าง


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:9:12:36 น.  

 
เขียนถ่ายทอดเรื่องราวดีมากค่ะ
และมีสาระทางธรรมให้ผู้อ่านคิดดีตามไปด้วย สาธุค่ะ


โดย: Tui Laksi วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:9:19:16 น.  

 
ความตายเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น
แต่ความกลัวก็เป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ค่ะ
อ่านแล้วก็ได้ข้อคิดดี ๆ นะคะ


โดย: เนินน้ำ วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:10:05:36 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะ

บางครั้งการจะปล่อยให้คนที่เรารักตายไปต่อหน้าต่อตา
เป็นความทรมานใจอย่างมากที่สุด
เคยอยู่ในสถานการณ์นั้นมาก่อนค่ะ

และไม่อยากเป็นคนที่ตัดสินใจเลย
เพราะกลัวที่จะต้องฝังใจไปจนวันตาย ว่า...ถ้า..อย่างโน้น ถ้า...อย่างนี้


โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:12:44:12 น.  

 
อีกหน่อยในเมืองไทยก็เป็นแบบนี้ค่ะ
สว. แก่ตัวไม่มีลูกหลานดูแล
ถึงแม้จะมีลูก แต่กาลเวลาเปลี่ยนไป
ทุกคนมีครอบครัวต้องรับผิดชอบ
นอกจากบิดา มารดา

เรื่องมันเศร้า

RIP ค่ะ


โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:12:57:19 น.  

 
ไม่มีใครอยากอยู่แบบผัก
แต่ตอนที่มีสภาพแบบผักย่อมไม่มีสิทธิตัดสินใจ
คนที่อยู่มักจะห่วงหาจนไม่กล้าปล่อยมือให้จากไป
สุดท้ายทำร้ายทั้งสองคน

ดีจังที่รพ.ที่อเมริกาให้เราแจ้งการตัดสินใจล่วงหน้าไว้ได้

นี่ก็ได้แต่สั่งน้องๆ ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตพี่ อย่ายื้อ
ไม่เอาสายระโยงระยางนะ ปล่อย ๆ ไปเถอะ คนที่เหลืออยู่ก็ดูแล กันไป ความต้องการของน้องก็ไม่ต่างกัน อย่ายื้อ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะทำใจปล่อยมือได้เร็วรึเปล่า


โดย: เรียวรุ้ง วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:14:57:37 น.  

 
ถ้าสามารถไม่ยึดติดปล่อยวางได้ถือเป็นเรื่องดีค่ะ แต่ทำยากจริง ๆ ต้องใช้เวลาและการฝึกจิตมาก ๆ


โดย: บาบิบูเบะ...แปลงกายเป็นบูริน วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:16:07:02 น.  

 
เตรียมตัวแล้วเหมือนกันค่ะ
เผื่อไว้ก่อนเดี๋ยวลืมแล้วนึกไม่ทัน 55



โดย: ภาวิดา คนบ้านป่า วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:17:25:59 น.  

 
หนูเคยอยู่คนเดียว นอนคนเดียว ไปไหนคนเดียวบ่อยเลยค่ะ สบายมาก

จริง ๆ อยากไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวด้วย แต่ยังกลัวหลายอย่างเพราะแปลกที่แปลกทางนะคะ

"อยู่ก็สบาย ตายก็เป็นสุข" ชอบค่ะพี่น้อย หนูเลือกแน่ค่ะ ถ้าต้องมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ทรมานทั้งคนป่วย ทั้งคนดูแล ไม่เอาดีกว่าค่ะ



โดย: สายหมอกและก้อนเมฆ วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:18:13:19 น.  

 


โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:20:27:23 น.  

 
เตรียมตัว เตรียมคิดไว้ก่อนก็ไม่เสียหายจริงๆ แหละครับ


โดย: คุณต่อ (toor36 ) วันที่: 17 มิถุนายน 2562 เวลา:23:05:44 น.  

 
สวัสดีมีสุขค่ะ

ขอบคุณกำลังใจให้ตะพาบงูด้วยค่ะ

แจ้งลูกไว้แล้วค่ะว่าถ้าถึงที่สุด ไม่ปั๊มไม่เจาะไม่ยื้อ
ทรมานทั้งคนเจ็บและคนเฝ้า


โดย: ตะลีกีปัส วันที่: 18 มิถุนายน 2562 เวลา:7:36:11 น.  

 
newyorknurse Klaibann Blog ดู Blog
คิดตามพี่น้อยแล้วน่ากลัวจริงๆ ด้วยค่ะ



โดย: หอมกร วันที่: 18 มิถุนายน 2562 เวลา:11:49:19 น.  

 
ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องเจอ
ไม่ช้าก็เร็วตามกรรมที่ทำมาของแต่ละคน
ถ้าไม่ใช่คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม
จะไม่สามารถรู้วันตายของตัวเองได้
ถ้าคนที่ปฏิบัติจนรู้วันตายของตัวเองได้
นั่นแสดงว่า เค้าไม่หลงตายแน่นอน

แต่ปุถุชนเช่นเรา โดยเฉพาะตัวจินเอง
กลัวการหลงตายมากค่ะ เพราะเวลาที่ฟังซีดีธรรมะ
พระท่านจะให้ความสำคัญกับจิตสุดท้ายก่อนตาย
ว่าเราจะตกนรกหรือไปในภพภูมิที่ดี ขึ้นอยู่กับจิตสุดท้าย

ตอนจินช็อกตอนแพ้อาหารเข้า รพ.ตอนที่เป็นหนัก ๆ
สามีบอกว่าเป็นตายเท่ากันนั้น จินหมดสติไปพัก
จินไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ ไม่ทันได้มีสติ หรือรับรู้จิตก่อนสลบ

แต่พอรู้ตัวอีกทีตอนถูกนำส่ง รพ.
สามีจินเรียกจินตลอด จินสลึมสะลือ
เอาจริง ๆ ตอนนั้น ถ้าไม่หลอกตัวเองหรือไม่มโน
จินไม่ได้คิดถึงคุณงามความดีที่เราทำมาเลย
มันเหมือนตัวเองล่องลอยไร้จุดหมาย หัวสมองว่างเปล่า
มันไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ อดคิดไม่ได้ว่า
ถ้าจินไปตอนนั้น ก็คงไม่ต่างจากที่พระท่านว่า จิตหลง แน่ ๆ เลยค่ะ

ในทางธรรมถือเป็นเรื่องน่ากลัว
เพราะจิตแบบนี้ไปอบายภูมิ มากกว่าสุขติภูมิ
เรามีทางเดียว คือฝึกจิตไปเรื่อย ๆ

จินฝึกตามที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนค่ะ ฝึกไปเรื่อย ๆ
บางทีก็รู้ว่าตัวเองเป็นหมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม เลยค่ะ 5555


โดย: JinnyTent วันที่: 18 มิถุนายน 2562 เวลา:16:22:08 น.  

 
ปอมไม่เคยกลัวตายค่ะน้าน้อย แต่อยากอยู่ดูแลแม่ก่อนเท่านั้น


โดย: กาปอมซ่า วันที่: 18 มิถุนายน 2562 เวลา:16:51:37 น.  

 
กลัวจะเป็นผู้ป่วยติดเตียงมากค่ะ เกรงจะไม่มีคนดูแล
จ้างคนก็คงต้องมีปัจจัยเตรียมไว้เยอะหน่อยนะคะ


โดย: ALDI วันที่: 18 มิถุนายน 2562 เวลา:23:12:25 น.  

 
เราต้องตั้งรับอย่างมีสติ แล้วเราจะไม่กลัวค่ะ


โดย: sawkitty วันที่: 19 มิถุนายน 2562 เวลา:16:36:58 น.  

 
เคยคิดนะครับ อายุ 60 ปุ๊บ ขอให้จากโลกนี้ไปเงียบๆ ฮ่าๆๆๆ แต่คงเป็นไปไม่ได้ ก็สู้กันไปครับ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 19 มิถุนายน 2562 เวลา:21:10:00 น.  

 
สวัสดียามค่ำครับ
ผมไม่กลัวเลยว่าผมจะตายตอนไหน กลัวแค่ว่าถ้าผมตายไปแล้วครอบครัวของผมจะลำบากหรือเปล่า
โหวตครับ


โดย: Nior Heavens Five วันที่: 19 มิถุนายน 2562 เวลา:22:11:14 น.  

 
หากเราเตรียมพร้อมกับการตายได้ทุกเมื่อ
เมื่อนั้นคงไ่ม่มีอะไรน่าห่วงอีกแล้วนะคะ
จากไปอย่างสงบจริงๆ



โดย: Rinsa Yoyolive วันที่: 19 มิถุนายน 2562 เวลา:23:33:15 น.  

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 20 มิถุนายน 2562 เวลา:2:46:14 น.  

 
เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง

emoสวัสดีครับ

ชีวิต ถ้าได้ตายตามที่ออกแบบไว้ นั่นคงดีที่สุดแล้ว

มีความสุข นะครับemo


โดย: เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง วันที่: 20 มิถุนายน 2562 เวลา:8:05:18 น.  

 
อนุโมทนาบุญกับพี่น้อยด้วยค่ะ

พี่น้อยอยู่ไกลบ้านเมืองพุทธอย่างไทยเรา
พี่น้อยยังมีโอกาสได้ไปปฏฺิบัติธรรม ดีจังเลย
จินเสียอีก ได้แต่อ่าน ได้แต่ฝึกอยู่บ้าน
ไม่มีจังหวะและโอกาสไปปฏฺิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์เลยค่ะ

จินไม่ค่อยได้ฟังธรรมะจากครูบาอาจารย์หลากหลาย
แต่อ่านจากหนังสือหลายเล่ม หลายท่านอยู่ค่ะ
จากที่ฟังจริง ๆ มีเพียงสองท่านคือ
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ทันได้กราบท่าน
ตอนที่ท่านยังไม่ละสังขาร จินถือเป็นครูทางธรรมคนแรกของจิน

จินปฏฺิบัติตามคำสอนของท่าน ท่านเน้นหลัก ๆ คือ
ความกตัญญู และ กฎแห่งกรรม ละอายต่อการทำชั่ว
แต่การปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานของหลวงพ่อจรัญ จินไม่ได้ทำตาม
เพราะท่านเน้นดูกาย หากปฏฺิบัติควรมีครูแนะนำที่ดีก่อน
ดังนั้นจนป่านนี้ จินก็ยังไม่ได้ฝึกแนวแบบหลวงพ่อจรัญเลย

ส่วนหลวงพ่อปราโมทย์จินเพิ่งมาได้ฟังซีดีท่าน ธ.ค.61
ตามที่เล่าให้ฟังในบล็อก จินมีความรู้สึกว่าจินถูกจริตกับคำสอน
และนำมาฝึกปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ไม่ยาก
ณ ตอนนี้ เลยมุ่งฝึกตามที่หลวงพ่อปราโมทย์สอนเป็นหลักแทนค่ะ

ก็ยังมีอ่านแนวธรรมะเรื่อย ๆ เอามาปรับใช้
อย่างของคุณดังตฤณ / รศ.ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม
อย่างที่บล็อกพี่น้อยวันนี้เอ่ยถึง คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์
จินเคยอ่านและสะสมหนังสือของท่าน 2-3 เล่ม
จำได้ว่าท่านเป็นศิษย์คนสุดท้ายของท่านพระพุทธทาสด้วย

พี่น้อยไปปฏฺิบัติเป็นยังไง
กลับมาเล่าสู่กันฟังด้วยนะคะ


โดย: JinnyTent วันที่: 20 มิถุนายน 2562 เวลา:10:34:26 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

newyorknurse
Location :
ราชบุรี .. New York ... United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 164 คน [?]






เริ่มเขียนBlog
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553

ยินดีต้อนรับค่ะ

จขบ.บันทึกประสบการณ์ต่างๆ
ระยะเวลาทำงานและระยะเกษียณ
เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำ

จขบ.พยายามใช้ชีวิตเกษียณให้มีคุณค่า
รักษาสุขภาพใจและกาย ท่องเที่ยวกับเพื่อนๆ
ทำสวนดอกไม้ ออกกำลังกาย
สมัครเป็นสมาชิก 24 Hrs Fitness
เพื่อให้ชีวิตที่เหลืออยู่มีคุณภาพ
จะได้ไม่เป็นภาระกับคนที่รักและห่วงใย

จขบ.เพิ่มบล็อกสุขภาพ
เพื่อจะได้นำสาระที่มีประโยชน์
เกี่ยวกับสุขภาพทั่วๆไป

จขบ.หวังว่าข้อมูลต่างๆช่วยให้
ทุกท่านที่มาอ่าน รักษาสุขภาพ
ไปตรวจเพื่อเป็นการป้องกัน
และได้รับการรักษาเนิ่นๆ เพื่อ
ชีวิตที่แข็งแรงและมีคุณภาพ

"A time to enjoy,
a time to spend time with your family
and a time to be with your friends
all comes with retirement"


*****


"Live The Moment"

อยู่กับปัจจุบันขณะ หยุดเสียใจกับสิ่งที่เกิดขี้น
ในอดีตและกลัวหรือกังวล
สิ่งทีเกิดขี้นในอนาคต "วันนี้" และ "ขณะนี้"
คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของคุณ !!
ใช้มันให้ดีที่สุดให้เป็นช่วงเวลาทีมีคุณค่า
น่าจดจำเพราะว่าเวลาเป็นสิ่งที่ผ่านมา
และผ่านเลยไป เอาคืนไม่ได้และ
หาเพิ่มก็ไม่ได้เช่นกัน

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ


*********


ขอบคุณ Bloggang ทำให้เราได้เขียนบล็อกต่างๆ
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวด
ทุกๆคะแนน นะคะ

BG Popular Award # 19


BG Popular Award # 18


BG Popular Award # 17


BG Popular Award # 16


BG Popular Award # 15


BG Popular Award # 14


BG Popular Award # 13


BG Popular Award # 12


BG Popular Award # 11


BG Popular Award # 10


BG Popular Award # 9


BG Popular Award # 8

**********



ขอบคุณทุกหัวใจวาเลนไทน์ 2561
ที่เพื่อนๆมอบให้ค่ะ


ขอบคุณทุกหัวใจวาเลนไทน์ 2560
ที่เพื่อนๆมอบให้ค่ะ
Flag Counter
New Comments
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2562
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
10 มิถุนายน 2562
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add newyorknurse's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.