กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
มิถุนายน 2565
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
space
space
23 มิถุนายน 2565
space
space
space

สิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อทุกข์... (ต่อ) น+อัตตา




   อนัตตา  ที่มีแต่ปากนี่มันอันตราย   107    ประเดี๋ยวก็ทำอะไรเลอะเทอะไปหมด ขาดศีลธรรม ชอบทำให้เกิดความเสียหาย  เพราะฉะนั้น  ต้องเห็นชัดด้วยปัญญาแล้วจิตใจเขาไม่ตกต่ำ ไม่ถอยกลับมาสู่ความชั่ว  แต่จะก้าวขึ้นไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง  อันนี้  เป็นเรื่องส่วนลึก  ทั้งนี้ แล้วแต่ว่าจิตใจจะเอาขั้นไหน
ถ้าอยู่ขั้นสักกายทิฏฐิ  เวียนว่ายตายเกิด  ก็ต้องถือว่ามีตัวตนไปก่อน 
ถ้าถึงขั้นปัญญาลึกซึ้งจริงๆ เป็นตัวแท้ตัวจริงของพุทธศาสนา  เราก็เห็นว่าไม่มีตัวตนอะไร เป็นอนัตตา
เรื่องอนัตตามันต้องลึกซึ้งจริงๆ  แล้วก็ต้องเลือกสอนเป็นบุคคล  เราจะไปพูดอนัตตา กับ ทุกคนมันก็ไม่ได้  เพราะว่ามันเข้าไม่ถึง  ถ้าเข้าไม่ถึงแล้ว จะจับเอาผิด พอไปยึดเอาผิดมันก็วุ่นวาย อันนี้ จึงจะต้องดูอุปนิสัยใจคอของคนนั้นว่า เราจะสอนเขาอย่างไร สอนให้เขารู้เพียงศีลธรรม หรือสอนให้เขาพ้นทุกข์อย่างเนื้อแท้พระพุทธศาสนา สุดแล้วแต่ฐานะของบุคคลนั้นๆ


    ทีนี้    เรามาพูดกันในแง่ความจริง    มันไม่มีอะไรที่เป็นตัวเป็นตน   ความจริงน่ะ  มันเป็นเพียงเรื่องปรุงแต่งของอะไรๆ หลายอย่าง ซึ่งเรียกว่าสังขาร ที่แจกให้ฟังแล้ว   มันมี  ๕ อย่าง คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  ๕ อย่างนั้น ถ้าจะพูดให้สั้นลงมาก็มีเพียง ๒ คือ รูป กับ นาม.

รูปที่สัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่รูป

ส่วน นาม นั้น ต้องสัมผัสด้วยประสาทที่ ๖ คือ ใจ เป็นเรื่องของใจล้วนๆ

เรื่องของรูปมีอย่างเดียว  เรื่องของนามนั้นแบ่งออกเป็น ๔ ตามอาการที่กระทำ เป็น เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ

ชีวิต ก็คือ ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็คือชีวิต ไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ทีนี้ เรามารู้โครงร่างของเรือน คือ ตัวเรา ว่ามีอะไรบ้าง เป็นส่วนประกอบต่อไป  วันนี้ เราจะเรียนให้รู้ว่ามันมีอะไรบ้าง  เป็นส่วนประกอบในตัวเราต่อไป   คือวันนี้   เราจะเรียนให้รู้ว่ามันมีอะไรในตัวเราที่เป็นส่วนประกอบอันสำคัญ   ที่เราจะต้องมองให้เห็นชัด

   เรื่องที่เกิดขึ้นในตัวเรานั้น เป็นเรื่องเกี่ยวแก่จิตล้วนๆ เกี่ยวแก่จิตทั้งนั้น  ในสิ่งที่เกิดกับรูปร่างไม่มีอะไรสำคัญ  ที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเรา  ก่อนอื่นเราจะต้องรู้ลักษณะของจิตใจมนุษย์สักหน่อย  จิตมนุษย์ที่เดิมแท้ คือเมื่อยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันบริสุทธิ์ นี้เป็นความเชื่อที่สำคัญ ความรู้เบื้องต้นที่สำคัญมาก คือต้องถือว่าจิตของเราบริสุทธิ์  เมื่อมีอารมณ์มากระทบกันจึงจะไม่บริสุทธิ์ มันถึงจะเปลี่ยนไปในรูปต่างๆเพราะเรื่องจากกิเลส  กิเลสนี้ไม่ใช่ของเดิมนะ  ไม่ใช่มีอยู่ในตัวเราตลอดเวลา พระพุทธศาสนาเราไม่มีบาปดั้งเดิม ไม่เหมือนศาสนาคริสต์เตียน

   ศาสนาคริสต์เตียนของเขามีบาปดั้งเดิม  เมื่อมาเป็นคริสต์ต้องทำพิธีล้างบาป พอบาปเก่าออกไป จิตใจเข้าถึงพระ  เขาทำพิธีกันอยู่อย่างนี้ ความจริงมันไม่ใช่เช่นนั้นดอก  ความมุ่งหมายของการล้างบาป หมายถึงล้างไอ้ความเชื่อเก่าๆ ออกไปเสีย   ความคิดอะไรนี้ที่ต่างออกไปจากคำสอนของพระเยซู   เอาออกไปเสีย   เป็นบาปเก่า   เป็นความรู้เก่าที่เกาะจับอยู่ในใจ เอาออกให้หมด ให้มีแต่ความเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า   นี่เรียกว่าล้างของเก่าออกไป   แต่ว่าชาวคริสต์ที่ขาดปัญญาก็ทำไปตามเรื่อง ไม่ได้พูดภาษาธรรมะให้เข้าใจ   พูดภาษาแบบชาวบ้าน หรือภาษาตน ความจริงการล้างบาปก็คือล้างความคิดเก่าๆออกไป   ยอมรับความคิดใหม่ที่มีอยู่ในคัมภีร์ของคริสต์เตียนเป็นหลักประจำชีวิตต่อไป  เขาเชื่อว่ามีบาปเก่า  แต่ว่าของเรานั้นไม่มีบาปเก่า


   คนเราไม่ได้ชั่วมาแต่เกิด   ไม่ได้เสียผู้เสียคนมาตั้งแต่เกิด  โดยปกตินั้นมันบริสุทธิ์ มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า “ปะภัสสะระมิทัง ภิกขะเว จิตตัง - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ธรรมชาติจิตนี้ประภัสสร” หมายความว่า  จิตบริสุทธิ์ผ่องใสตลอดเวลา   แต่อาศัยสิ่งภายนอก  จึงทำจิตให้เศร้าหมอง ก็คืออารมณ์ที่ไหลเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นในใจ นี่เป็นของจรมา.   คนเราไม่ได้มีกิเลสอยู่ตลอดเวลา  ไม่ได้โลภอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้โกรธไม่ได้หลงอยู่ตลอดเวลา  ใครมีกิเลสอยู่ตลอดเวลา  ก็เป็นประเภทคนมีจิตผิดปกติ ต้องไปอยู่ปากคลองสาน หรือแถวนี้ก็ได้คือศรีธัญญานี่ก็ได้  จิตมันผิดปกติ อย่าไปเชื่อว่าบาปมีอยู่ตลอดเวลา  แก้ไขไม่ได้  ถ้าเราถือว่าจิตเรามีบาปอยู่ตลอดเวลา เขาเรียกว่าเป็นพวกสักกายทิฏฐิ หรือสัสสตทิฏฐิ เหมือนกัน ไม่ถูก

   สิ่งที่เกิดขึ้นมีอยู่ในตัวเรานั้น ขอให้รู้ว่า เราสร้างมันขึ้นมา เราเพาะเชื้อมันไว้เรื่อยๆ การเพาะเชื้อก็คือการทำบ่อยๆ ในเรื่องนั้นๆ ทำบ่อยๆ ในเรื่องใด มันก็เป็นอย่างนั้น นี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ เดิมมันไม่มี ถ้าเรารับหลักการนี้ไว้ จะแก้ไขมันง่าย เพราะเรารับว่ามันไม่ใช่ของเดิม แต่มันเป็นของใหม่ที่เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัยปรุงแต่ง   เช่น   ความหลงมันเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเห็นรูป ได้ยินเสียง ได้กลิ่น ได้ชิมรส สัมผัส แล้วก็เกิดขึ้นในใจ  มันพอกพูนอยู่ได้ในใจ  ก็เพราะเราเพิ่มเชื้อมันให้มากขึ้น  คิดมันบ่อยๆ  คิดถึงรูปนั้น  คิดถึงเรื่องนี้  สร้างความคิดขึ้นด้วยความโง่เขลา ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ในเรื่องนั้น เลยสร้างภาพนั้นไว้เรื่อยๆ คิดอยู่ นึกอยู่ มันก็อยู่ในใจเรา เหมือนกับว่าเป็นเจ้าของถิ่น แต่ความจริงไม่ใช่

   ความโกรธก็เหมือนกัน ไม่ใช่เราโกรธอยู่ตลอดเวลา มันเป็นครั้งคราว เวลาใดที่มีอารมณ์มากระทบ มันก็เกิดขึ้น คนที่เรียกว่าเป็นคนขี้โกรธ เพราะว่าเขาฝึกอบรมมาอย่างนั้น เป็นคนที่ว่องไว ต่อความโกรธ ไม่พยายามที่จะหักห้ามใจ ปล่อยใจไปตามอารมณ์ อะไรมากระทบก็โกรธ โกรธบ่อยๆ เป็นคนใจร้อน มันแก้ได้ มันร้อนทำให้มันเย็นได้ ใจเร็วทำให้มันช้าได้ เพราะว่ามันไม่ใช่ของเดิม. ใจร้อนก็ไม่ใช่ของเดิม  ใจร้อนใจเร็วก็ไม่ใช่ของเดิม  มันเพาะขึ้นมาใหม่  ตามอำนาจแห่งสิ่งแวดล้อม พ่อแม่มีส่วนประกอบสำคัญอยู่ที่ทำให้เด็กเป็นคนใจรอนใจเร็ว  วิธีการเลี้ยงดูทารก  จะช่วยให้เขาเพาะนิสัยอย่างไรก็ได้ เพราะฉะนั้น มันต้องมีศิลปะในการเลี้ยงดู อบรมบ่มนิสัย เพื่อให้เด็กเป็นคนนิสัยเยือกเย็น อ่อนโยน

   ผมเอง เมื่อสมัยเด็กๆก็เป็นคนใจร้อน ร้อนมาก ใครทำอะไรให้ไม่เป็นที่ถูกใจด่าให้เท่านั้นเอง ด่าเขาบ่อยๆ แต่เวลาโตขึ้นมันรู้ว่าไอ้นี่ไม่ดี เดี๋ยวนี้ใจมันไม่ร้อนเหมือนก่อน มันค่อยเย็นเข้า เพราะอะไร ? เพราะว่าเราได้หมั่นฝึกอบรมตัวเอง คอยคุมมันไว้ คอยบอกตัวเองไว้ อย่าร้อนนะ เย็นเย็นหน่อยๆ ร้อนแล้วมันเผาลนตัวเอง ค่อยแก้ไขอะไรมันก็ดีขึ้น ให้เราถือเป็นหลักว่า นิสัยของมนุษย์เป็นสิ่งแก้ได้ ไม่ใช่แก้ไม่ได้ บางคนบอกว่าสันดานมันเป็นอย่างนั้น สันดอนขุดได้ สันดานขุดไม่ได้ สันดานมันก็ขุดได้เหมือนกัน แต่ว่ามันเสียตรงที่ว่าไม่ขุดเท่านั้นเอง ให้เราถือหลักการใหม่ว่า “นิสัยเป็นของแก้ได้” และที่เรามาบวชนี้แหละ เราเข้ามาแก้ละ มาดัดแปลง มาชุบย้อมชีวิตกันใหม่

  การปฏิบัติประจำวันของเรานั้น  ต้องคอยแก้กันอยู่เสมอ  เราต้องรู้จักตนเองว่า  เราบกพร่องอะไร เราไม่ดีในเรื่องอะไร เรามีความไม่ดีในเรื่องอะไร มีความเสียหายเป็นปกติในเรื่องอะไรบ้าง เราพยายามแก้ พยายามควบคุมจิตใจ.   ที่ไปนั่งภาวนาในศาลาข้างใน  ไม่ใช่เพื่ออะไร  เพื่อให้มันมีสติทันท่วงที สติให้มันคุมตัวเองได้ คือควบคุมความคิดของเรา  ไม่ให้ความคิดไม่ดีโผล่ขึ้นมาได้ พอมันแหลมขึ้นมา เขกกะบาลมันลงไป ให้มันผลุบกลับเข้าไปเหมือนเต่าเข้าในกระดอง โผล่หัวออกมา เอาเหล็กแดงจี้หัวมันเข้าไป ก็หดเข้ากระดองต่อไป

  กิเลสประเภทใดก็ตามที่มันจะเกิดขึ้น   เราคอยกดมันไว้ เป็นเรื่องที่คุมได้ แก้ได้ อย่านึกว่าไม่ไหว แก้ไม่ได้ ถ้าคิดอย่างนี้ ก็เท่ากับยกธงขาวให้แก่กิเลส เราไม่ยอมสู้ เราต้องแพ้มันตลอดไป อย่าเข้าตาจน ต้องสู้ต้องแก้ ให้รู้ลักษณะของจิตใจไว้อย่างนี้ก่อน.

 




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2565
0 comments
Last Update : 21 มกราคม 2567 17:32:50 น.
Counter : 282 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space