กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
ตุลาคม 2565
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
space
space
2 ตุลาคม 2565
space
space
space

สมบัติของอุบาสกอุบาสิกา จบ


ต่อ  จบ


   ยังมีตัวอย่างอีกมากกมาย เช่น พวกพราหมณ์ไปทำ ปุพพเปตพลี วันสารทน่ะ เขาเอาอาหารมากองที่ป่าช้า  กองใหญ่ราวกับจอมปลวก เพราะคนมาเยอะ มาถึงก็กองๆ แล้วก็จุดธูป จุดเทียนบูชากันไปตามเรื่อง   พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึง เธอทำอะไร ?   ก็บอกว่า ทำปุพพเปตพลี อุทิศให้แก่ผู้ตาย   อารยชนเขาไม่ทำกันอย่างนี้นะ เพราะอินเดียเป็นเผ่าอารยะเหมือนกัน ชอบใช้คำพูดว่า อารยชนเขาไม่ทำกันอย่างนี้   ทูลถามว่า ทำอย่างไร ?   ก็บอกว่าให้เอาอาหารนี้ไปให้แก่สมณะชีพราหมณ์ที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ หรือให้แก่คนยากคนจนที่ไม่มีอาหารจะกินจะใช้ แล้วเราก็อุทิศส่วนบุญกุศลไปให้ ไม่ใช่เราเอาอาหารมากองให้ทานอย่างนี้ มันเน่าบูดอยู่บนดินเสียไปเปล่าๆ พระองค์ไปแก้วิธีการให้เป็นบุญกุศลขึ้น ให้มีประโยชน์ นี่คือปฏิรูป  ถ้าเราศึกษาตามพระสูตรต่างๆ แล้วจะเห็นว่าพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงมาก  เขาบูชายัญก็ไปเปลี่ยนเสีย  ให้สงเคราะห์อย่างอื่น เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่น นี่เป็นตัวอย่างปฏิรูปกิจกรรมทั้งหลายให้มันดีขึ้นให้เป็นไปในทางถูกทางธรรม

   ในวงการพุทธศาสนาสมัยแรกทีเดียว บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีอะไร แล้วต่อมาก็ค่อยมีสิ่งนั้นสิ่งนี้หลายประการ   เช่นว่า   การสวดมนต์ตามบ้าน เป็นตัวอย่าง ครั้งโบราณกาล ครั้งพระพุทธเจ้าไม่มี มามีขึ้นในสมัยลังกา  ในลังกายุคนั้นมีคน ๒ ศาสนา พวกทมิฬกับถือศาสนาพราหมณ์ พวกสิงหลนับถือพุทธศาสนา   พวกทมิฬเขาสร้างบ้านสร้างเรือนแล้ว เขานิมนต์พราหมณ์มาสวด เรียกว่า ทำบ้านให้อบอุ่น  มีสิริมงคล   เขามานั่งสวด คือ เอาคัมภีร์มาอ่านพระเวทย์มานั่งอ่าน ๓ คืน แล้วเจ้าของบ้านเข้าอยู่ได้  พวกชาวพุทธเห็นว่าเขาทำอย่างนั้น มันเข้าทีดีเหมือนกัน ก็อยากทำบ้าง พระท่านก็เลยคัดเลือกพระสูตรต่างๆ มารวมกันเรียกว่า ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน มงคลสูตร รันตสูตรที่เรามาสวดกันตามบ้านอยู่เวลานี้

แต่ที่ลังกาเขาสวด   เขาสวดได้บุญมากกว่าบ้านเรา   เขาสวด ๓ วัน ๗ วัน  ไม่ใช่น้อยๆ เขาทำเป็นมณฑปสำหรับพระนั่ง กลางบ้านเลย เป็นวงกลมประดับประดาสวยงาม แล้วพระก็นั่งเป็นวงกลม ๙ องค์ แล้วก็สวด  เวลาสวดชาวบ้านต้องมานั่งหมดเลย ถือสายสิญจน์ด้วย พระถือเส้นหนึ่ง ชาวบ้านถือเส้นหนึ่ง พนมมือแต้ นั่งสงบจิตสงบใจ
พระสวดเขาก็ฟัง แล้วขณะที่สวดมนต์นี้ เขาจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่มีการดื่มของมึนเมา ไม่มีการสนุกสนาน อยู่ในบ้านต้องสำรวมระวังรักษาจิตใจให้สงบ อยู่ในศีลในธรรม เขาทำอย่างนั้น พิธีการเขาเป็นอย่างนั้น   วันสุดท้ายสวดเสร็จก็เลี้ยงพระ  ถวายอาหารคาวหวานให้พระ แบ่งใส่ถุงให้พระนำไปฉันที่วัดต่อไป เขาทำอย่างนี้


    เมืองเราบนบ้านสวดมนต์   ใต้ถุนเลี้ยงกันเมาแอ๋ บางทีรับศีลว่าไม่ดังดอก พระพูดว่า ปาณาติปาตา เวรมณี ดังๆ แต่โยมเงียบเลย ไม่มีเสียงดอก พอพระไปแล้ว ก็เลี้ยงกัน กินเหล้ากัน  ถามว่ารับศีลอย่างไร   ทำไมดื่มเหล้า   ก็ผมรับศีลสี่ข้อเท่านั้นนี่ครับ  คนไทยเรามันเก่ง เลี่ยงเก่ง พระยังไม่ทันไป ใต้ถุนเลี้ยงกันแล้ว ไปสวดมนต์บ้านอย่างนั้น จะไปเป็นมงคลได้อย่างไร มงคลมันต้องแก้บ้าง คือสวดแล้ว อย่าสวดเฉยๆ ต้องพูดให้เขาฟังนิดหน่อยหลังจากฉันอาหาร หรือก่อนจะพรมน้ำมนต์ พูดให้เขาฟัง ให้เขาประพฤติในธรรมให้ถูกต้อง แล้วก็บอกว่า น้ำมนต์พรมไปอย่างนั้นเอง แต่ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจด้วย ควรประพฤติธรรมด้วย ไม่ใช่รดน้ำมนต์แล้วจะวิเศษขึ้นมา ไม่ใช่อย่างนั้น รดน้ำมนต์แล้วกินเหล้า เปิดบ่อนการพนัน ทำอะไรๆ ไม่เข้าเรื่อง ค่อยๆสอนเขาไปๆ ในสิ่งที่เขาทำ เพื่อจะได้รู้เรื่องนี้ นานๆไป ความคิดความเห็น เขาก็จะค่อยๆ เปลี่ยนไปเอง เพราะเข้าใจถูก แต่เรื่องนี้ เป็นหน้าที่ของพระเราที่จะต้องไปทำความเข้าใจญาติโยมเท่านั้น


   พวกเราที่มาบวชแล้ว  ควรรับมตินี้ไปพิจารณา แล้วค่อยแก้ไขไปตามเรื่อง ทำอะไรอย่าไปขัดใจเขารุนแรง แต่ต้องรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในใจคิดอยู่ให้ถูกต้องเสมอ ไม่เป็นทุกข์เพราะไม่ได้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่งงานเขาว่าวันไม่ดี  อย่าได้ไปเป็นทุกข์  อยู่กันให้ดี  ไม่ว่าวันไหนมันก็เรียบร้อย


   วันหนึ่ง ไปนั่งอยู่ที่วัดสงขลา เด็กมันจะหมั้นกัน เด็กมาหาสมภาร สมภารลุกขึ้น ผมถามว่าจะไปไหน ก็จะไปเอาตำราหน่อย
ผมว่าไม่ต้องลุกขึ้นดอก ผมตำรามันอยู่ในหัวแล้ว ตำราเรียบร้อย เขาไปหาวันนั้น ประมาณขึ้น ๒ ค่ำเลย บอกว่า ๙ ค่ำดีโยม ตั้งเวลาให้เขาหน่อย วันขึ้น ๙ ค่ำ สวมแหวนเวลาไหนดี ก็บอกว่า ๙ โมงเช้าก็แล้วกัน ไม่ได้ดูอะไรดอก ว่ามันไปอย่างนั้นเอง เวลา ๙ โมง มันเหมาะพอดี เจ้าบ่าวมา เจ้าสาวเตรียมตัวพร้อม เป็นการหมั้นกันไป เสร็จแล้วมันก็แต่งงานกันไป มีลูกมีเต้า ไม่เห็นมีอะไร มันเรื่องสมมติ หมอไม่เก่งเอง ไปเชื่อตำรามากเกินไป


   มีอยู่องค์หนึ่ง เอากระดูกเข้าบัว (ทางใต้เรียกบัว หมายถึงเจดีย์บรรจุกระดูก) แกให้ฤกษ์ไม่ไหวสักที กลางดึกตีสามตีสี่ เจ้าของบ้านต้องตื่นมาเอากระดูกพ่อแม่มาเข้าบัว นิมนต์พระมาบังสุกุล  พระบางองค์บอกว่าไม่บังสุกุลละ นอนดีกว่า มันเรื่องอะไร
แต่พระองค์นี้แกเป็นหมอดู   ผมเทศน์เอาบ่อยๆ ต่อหน้าเลย  เจ้าคุณปัญญา ฯ ไม่ถืออะไรเก่าๆ
ผมก็บอกว่า   ผมนี่มันถือของเก่าที่สุดเลย  คือของพระพุทธเจ้า ของคนอื่นไม่ถือ เพื่อให้คนอื่นเขาเข้าใจบ้าง   ไม่ต้องอะไรก็ได้  ดูให้มันเหมาะก็แล้วกัน  แต่ทว่าญาติโยมเขาถือรุนแรงก็ต้องมาดูเสียหน่อย

   เคยมี เคยมีเด็ก ๒ คน จะแต่งงานกัน สองคนนี่ไม่ถือ  แต่พ่อแม่ถือ เลยมาบอก หนูจะมาถามหลวงพ่อหน่อย ว่าจะแต่งงานวันไหนดี   ถ้าไปบอกคุณพ่อคุณแม่ ว่าหลวงพ่อบอกท่านจะเชื่อ ได้ ได้ซี่ แล้วหนูจะพร้อมกันเมื่อไรล่ะ   อะไรต่ออะไรมันพร้อมไหมล่ะ เรื่องทุกอย่างพิมพ์บัตร พิมพ์การ์ด ให้เสร็จทันพร้อมทุกประการวันไหนล่ะ   ขนาดสักกลางๆเดือนดีค่ะ   ถ้าอย่างนั้น ก็เอาวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ เดือนนี้แหละ   วันพอเหมาะพอดี   ให้แต่งงานกันวันนี้  เดี๋ยวนี้ก็อยู่กันเรียบร้อยดี ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน  ก็เขารักกันเหมือนจะกลืนกินกันอยู่แล้ว ฤกษ์รดน้ำ ฤกษ์สวมแหวนมันไม่ใช่ฤกษ์แท้ดอก   แต่งงานแท้มันอยู่ตรงไหน   มันอยู่ตรงที่แทงกัน 121 นั่นแหละ   แล้วไอ้ตรงนี้ใครมันดูบ้าง มันจะดูกันเรอะ   เดี๋ยวรอดูหน่อย   ดูฤกษ์ก่อน   เวลานั้นมันไม่ดูฤกษ์ดอก มันเป็นเรื่องเหลวไหลไม่ได้สาระ ขอให้นำไปพิจารณาดูให้ดีที่กล่าวมานี้.



 


Create Date : 02 ตุลาคม 2565
Last Update : 2 ตุลาคม 2565 16:28:25 น. 0 comments
Counter : 147 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space