กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
สิงหาคม 2565
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
18 สิงหาคม 2565
space
space
space

อริยสัจ ๔


227 อริยสัจ ๔ มรรคมีองค์ ๘


   วันนี้ จะพูดเรื่องสำคัญ คือ เรื่องอริยสัจ ๔ มรรคมีองค์ ๘ เรื่องมันควบคู่กันอยู่ เพราะฉะนั้น พูดกันเสียทีเดียว  ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องอริยสัจ ๔ ประการ เรามาศึกษาเรื่องเกี่ยวกับปฐมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าก่อน คือการเทศน์ครั้งแรกของพระผู้มีพระภาคนี่ ควรจะรู้ว่าพระองค์เทศน์เรื่องอะไร

พระสูตรแรกที่พระองค์ทรงแสดงนั้น  เรียกว่า  ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร  แปลว่า  สูตรที่ยังจักรคือธรรมให้เป็นไป   ถ้าพูดฟังกันแบบง่ายๆก็หมายความว่า  หมุนล้อธรรมจักร  ธรรมในพระพุทธศาสนานั้น   มีเครื่องหมายคือ วงล้อธรรมจักร  เป็นเครื่องหมายแทน  เวลาพระพุทธเจ้าไปเทศน์ครั้งแรก เขาทำภาพวงล้อ  กับ  กวาง ๒ ตัว  เป็นเครื่องหมาย  วงล้อกับกวางนั้น เป็นเครื่องหมายแทนปฐมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า


   ทีนี้ ปฐมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง นั้น เริ่มต้นก็ด้วย เล่าให้ฟังก่อนนิดหน่อย ว่าเรื่องที่พระองค์ได้ไปแสดงนั้นมีอะไรบ้าง  ชั้นแรก  เมื่อตรัสรู้แล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงพิจารณาเห็นว่า เรื่องที่พระองค์ได้ตรัสรู้นี่เป็นของลึก  ยากที่คนธรรมดาสามัญจะพึงเข้าใจ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง  คนที่มีกิเลสบังดวงตาอยู่นั้นอาจจะไม่เข้าใจก็ได้  แต่ภายหลังมาทรงเห็นดอกบัวในสระว่ามันมีอยู่ ๔ เหล่า คือ ดอกบัวที่อยู่เสมอน้ำ จะบานพอรับแสงอาทิตย์ทันทีในเมื่อรุ่งขึ้น
ดอกบัวใต้น้ำที่จะบานต่อไป
ดอกบัวที่จะบานได้ และดอกบัวที่ไม่บาน
ดอกบัวมี ๔ เหล่า  ดอกบัวที่จะบานทันที  ดอกบัวที่จะบานในวันต่อไป  ดอกบัวที่จะบานได้ และดอกบัวที่ไม่บาน คือดอกบัวเน่าเป็นเหยื่อปลาเหยื่อเต่าต่อไป  เมื่อเห็นดอกบัวเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงนึกว่า  มนุษย์ในโลกนี้น่าจะมีเหมือนดอกบัว คือ คนมีปัญญา พูดอะไรก็เข้าใจได้ทันที มีอยู่
พวกที่อธิบายย่อๆ ก็เข้าใจได้ มีอยู่
พวกที่จะต้องอธิบายกันยาวๆจึงจะเข้าใจ มีอยู่
พวกที่สอนไม่ไหวดึงไม่ได้  ก็มีอยู่เหมือนกัน 
เพราะฉะนั้น  จึงตัดสินพระทัยว่า  ต้องไปทำการสอนเพื่อประโยชน์แก่คนทั้ง ๓ เหล่า คือ พวกที่จะรู้ได้นั่นเอง  แล้วก็ทรงคิดว่าจะไปสอนใครก่อน สอนครั้งแรกที่เป็นการทดสอบว่าเขาเข้าใจไหม ก็คือว่า จะไปสอนพวกนักบวชด้วยกันก่อน เพราะพวกนักบวชนั้นได้อบรมบ่มอินทรีย์มาพอสมควรแล้ว  คำว่า “บ่มอินทรีย์” หมายถึง อินทรีย์ คือ พละ ๕ จำความหมายแล้วมันก็เข้าใจ   บ่มอินทรีย์มาพอสมควรแล้ว   ควรจะได้รับการสอนได้ แล้วคิดต่อไปว่าจะไปสอนใครก่อนในพวกนักบวชนี่


   ครั้งแรกก็คิดถึง อาฬารดาบส อุทกดาบส เพราะทรงเคยเป็นศิษย์ไปอยู่ในสำนักนั้น แล้วก็เป็นผู้มีปัญญา ไปสอนก็คงเข้าใจ แต่ได้ทราบว่าทั้ง ๒ ท่านตายแล้ว ก็คิดไปถึง พวกฤๅษี ๕ ตน ซึ่งเคยร่วมบำเพ็ญความเพียรมาด้วยกันในที่หลายแห่ง อยู่มาด้วยกันหลายปี ห้าตนนั้น คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ เป็นฤๅษี เรียกว่า ปัญจวัคคีย์ หมายความว่า พวกห้า

พระองค์เห็นว่าพวกทั้งห้านั้นมีอินทรีย์แก่กล้า ควรแก่การบรรลุมรรคผล จึงนึกว่าต้องไปสอนห้าคนนี้ก่อน ก็พิจารณาว่าท่านเหล่านี้หายไปนานแล้ว น่าจะไปอยู่เมืองพาราณสี ทำไมพระองค์คิดอย่างนั้น ? เพราะเมืองพาราณสีนั้น เป็นศูนย์กลางแห่งการจาริก เป็นบุญยสถานที่ชาวอินเดียจะต้องไปกัน ก็คงจะไปอยู่แถวแม่น้ำคงคา ไปสะสางบาปอยู่ที่นั่นละ พระองค์ก็คิดว่าต้องไปหาที่นั่น เลยเสด็จออกจากพุทธคยาอันเป็นสถานที่ตรัสรู้ เดินขึ้นไปทางเหนือเพื่อจะไปเมืองพาราณสี
ระยะทางจากคยาไปเมืองพาราณสีนี้ ถ้านั่งรถไฟก็ ๕-๖ ชั่วโมง พระองค์ก็เดินไป ในสมัยนั้น ลัดเลาะไปตามริมฝั่งน้ำตามอะไรเรื่อยๆ ไปถึงเมืองกาสี ซึ่งเป็นแขวงเมืองของพาราณสีนั่นเอง แล้วก็หลบออกจากตัวเมืองไปที่สวนกวางของพระเจ้าเมืองพาราณสี

  เมื่อไปถึงบริเวณสวนนั้น  พบปัญจวัคคีย์ทั้งห้า  แต่ว่าท่านทั้งห้า เมื่อเห็นพระองค์ก็ไม่ชอบใจ ไม่เสื่อมใสอะไร เพราะนึกว่าเป็นผู้คลายความเพียร เวียนไปสู่ความมักมาก คงไม่ได้เรื่องอะไร พระองค์ได้ทำความเพียรด้วยกัน ทำกันอย่างหนัก เอาจริงเอาจัง แต่พระองค์เห็นว่ามันไม่ได้เรื่อง เลยเลิกเสีย  พวกห้าท่านนั้นยังยึดมั่นอยู่ในการทำความเพียรแบบทรมานตน พระองค์ก็เห็นว่ามันไม่ได้เรื่องก็เลยเลิกเสีย

พวกนั้นไม่ยอมเลิก แต่หนีไปเสียไม่อยู่ด้วย แล้วก็คิดว่าถ้าขืนอยู่ไปก็ไม่ได้เรื่องอะไร อยู่กับคนโลเลนี่คงไม่ได้เรื่องอะไร คิดอย่างนั้น ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์เลยหนีไป ครั้นไปเจอะกันเข้า ทั้งห้าก็บอกว่าโน้นๆ มาอีกแล้ว ถ้าจะไม่ได้ความอะไร มาหาพวกเราอีกแล้ว ดูหมิ่นน้ำใจ แล้วก็พูดว่ามาก็มา เราอย่าต้อนรับ แต่ว่าปูอาสนะไว้หน่อย ท่านจะนั่งก็จะได้นั่ง ก็สัญญากันว่าจะไม่รับ ว่าอย่างนั้นแหละ

ครั้นพระองค์เดินเข้าไปใกล้ ความที่เคยปฏิบัติมาในสมัยก่อน ก็ลุกขึ้นไปรับบาตร รับจีวรตักน้ำล้างเท้า ไปปัดขี้ฝุ่นที่อาสนะ เผื่อว่ามันจะมีอะไรอยู่บ้าง พระองค์ก็นั่ง แต่ว่าท่านเหล่านั้นใช้ถ้อยคำไม่เคารพ คือใช้คำว่า “อาวุโส” ซึ่งพูดกันอย่างเพื่อน

พระองค์ก็เลยตรัสบอกว่า อย่าใช้ถ้อยคำอันนั้นกับเราผู้ตถาคต เพราะเราได้บรรลุอมฤตธรรมแล้ว

ท่านเหล่านั้น ก็บอกว่า เฮ้อ เราไม่เชื่อดอก บรรลุอะไร ทำความเพียรกันมามาก ไม่เห็นได้ หนีเลิกเสียแล้วจะไปได้อะไร พูดโยกโย้กันไปตามเรื่อง

ผลที่สุด พระองค์ก็บอกคิดดูให้ดี เราเคยพูดคำเช่นนี้กับท่านบ้างหรือไม่ พูดว่า เราได้บรรลุอมฤตธรรมนี่ เราได้พูดกับท่านบ้างหรือไม่

ท่านเหล่านั้น ก็มองตากัน เอ้อ ถ้าจะจริง ไม่เคยพูดนี่คำนี้ มาพูดคำนี้ ถ้าจะมีอะไรดีเสียแล้ว ก็เลยตกลงกัน เอ้า ฟังกันหน่อย มีเรื่องอะไร ไหม ลองมาเล่าให้กันฟังหน่อยซิ พูดตามภาษาชาวบ้านก็ว่ากันอย่างนั้น ก็ตกลงว่าจะฟังธรรม

   
สถานที่ที่ฤๅษีทั้งห้าพบกับพระพุทธเจ้านั้น เขาได้สร้างเจดีย์ใหญ่ไว้เป็นที่ระลึก เรียกว่า เสาคันธีสถูป เจดีย์นั้น ก็ผุพังไปตามความเปลี่ยนแปลงของสังขาร บนยอดนั้นต่อเป็นป้อมไว้ ๘ เหลี่ยมบนยอดเจดีย์ เสาคันธีสถูป  ตรงนั้นเป็นที่ที่ปัญจวัคคีย์พบกับพระพุทธองค์ในทางกาย คือพบร่างกาย ไม่ได้พบธรรมะ  พระองค์ก็ได้ชวนท่านทั้ง ๕ นั้นไปกันต่ออีกหน่อยสักกิโลหนึ่ง ก็ไปถึงบริเวณสวนกวางร่มรื่น  พระองค์ก็ประทับนั่ง   นั่งใต้ต้นไม้ร่มรื่นสบาย  แล้วก็แสดงธรรมแก่ปัญจวัคคีย์ทั้งห้า


   ทีนี้ การแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาค เริ่มต้นไม่พูดถึงเรื่องอะไร พูดธรรมะกันเลยทีเดียว ในเรื่องธรรมจักร ฯ ก็ขึ้นต้นว่า เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา ฯลฯ บอกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทางสองทางอันบรรพชิตไม่ควรเสพ ฯลฯ ทางนั้นคืออะไร ? คือ กามสุขัลลิกานุโยค   หมายถึงการมัวเมาในกาม   การมัวเมาในกามนี้  เพราะว่า ในสมัยนั้น พวกฤๅษีชีไพร แม้ออกไปอยู่ป่าบำเพ็ญพรต   แต่บางทีก็มีครอบครัว มัวเมาในกาม ถือว่ากามนั้นเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ต้องการ ถืออย่างนั้น  ถ้าเป็นอยู่อย่างนั้นแล้วมันไม่สำเร็จ  พระองค์ก็ตรัสว่า กามสุขัลลิกานุโยค การประกอบตนให้หมกมุ่นในกามของนักบวชที่ใช้ไม่ได้


   ทีนี้ การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า นี่เราจะเห็นว่า พระองค์ ยั่วอารมณ์ผู้ฟังอยู่เหมือนกัน ทำให้เกิดสนใจฟัง เช่น พระองค์บอกว่า กามสุขัลลิกานุโยคนี่ไม่ดี ปัญจวัคคีย์ก็หูผึ่งทีเดียว เพราะว่า ปัญจวัคคีย์นั้น ไม่ได้มัวเมาในกามแล้ว ก็หูผึ่งอยู่ว่า เออ ถ้าจะเข้าที มีอะไรออกมาอีกก็ไม่รู้ ทีนี้ พูดอย่างนั้นแล้ว  พวกนั้นสนใจฟัง  พระองค์ก็ตรัสต่อไปว่า อัตตกิลมถานุโยค ก็ใช้ไม่ได้  อัตตกิลมถานุโยค คือการทำตนให้ลำบาก ได้แก่ การบำเพ็ญความเพียรต่างๆ ที่ทรมานร่างกาย เช่น  ยืน ไม่นอนบ้าง  ทำอะไรต่างๆ มันมากเรื่องที่เขาทำกันอยู่ในอินเดีย  เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค ไม่ดี  ทั้งสองประการนี้  ไม่ได้เรื่องอะไร  เพราะไม่ได้เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เพื่อความรู้แจ้ง เพื่อญาณ เพื่อความสงบ  เพื่อนิพพาน ไม่เป็นไปอย่างนั้น  พระองค์บอกว่า ไม่ควรปฏิบัติในทางสองทางนี้ นี่เรียกว่า เป็นการห้ามเสียก่อน พอเริ่มแสดงก็ปิดทางสองทางเสียก่อนว่าไม่ควรเดิน เพราะเป็นทางที่ไม่ตรง ไม่ถูก ปฏิบัติไปก็จะเหนื่อยเปล่า ไม่ได้ประโยชน์อะไร


   ทางทั้งสองนี้ เป็นทางที่เขาปฏิบัติกันอยู่ในสมัยนั้น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็นทุกข์ เป็นอนริยะ คือไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ ทางสองทางนี้ไม่เกิดประโยชน์ เมื่อห้ามทางสองทางนี้แล้ว พระองค์ก็บอกทางใหม่ คือว่าเป็นทางที่ไม่กระทบกระเทือนกับทางสองอย่าง ไม่สุดโต่ง ว่าอย่างนั้น หย่อนไปก็ไม่ดี ตึงไปก็ไม่ดี ประกอบตัวมัวเมาในกาม เรียกว่า หย่อนยาน บำเพ็ญความเพียรแรงกล้าทรมานร่างกาย เรียกว่า ตึงไป
ทางสองทางนั้น  ทางหนึ่งหย่อนยวบยาบ ทางหนึ่งตึงเปรี๊ยะเลย  เหมือนกับจะขาดไปอย่างนั้น ไม่ไหว  พระองค์บอกว่าทางสองทางนี้ ใช้ไม่ได้ เราได้พบทางใหม่แล้ว เป็นทางสายกลางๆ ไม่หย่อนไม่ตึงเกินไป ซึ่งเรียกว่า เป็นทางสายกลาง ทางสายกลางนี่แหละเป็นทางปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้ง ความเห็นแจ้ง เพื่อความสงบ เพื่อนิพพาน เพื่อการหมดไปจากกิเลส


   ทีนี้  พระองค์ก็ตรัสต่อไปว่า กตมา จ สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา บอกว่า   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ทางสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วนั้น มีอะไรบ้าง ? 
ก็ได้ตรัสตอบบอกว่า มี สัมมาทิฏฐิ  (ความเห็นชอบ)  สัมมาสังกัปปะ  (ความดำริชอบ) สัมมาวาจา  (การเจรจาชอบ)  สัมมากัมมันตะ  (การงานชอบ)  สัมมาอาชีวะ  (การเลี้ยงชีวิตชอบ) สัมมาวายามะ  (ความเพียรพยายามชอบ)  สัมมาสติ  (ความระลึกชอบ)  สัมมาสมาธิ  (ความตั้งใจมั่นชอบ)  
รวมกันเข้าเป็นทางอันประกอบด้วยองค์แปด ทางทั้งแปดประการนี้ ทางประกอบด้วยองค์แปด ตถาคตได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ   ได้กระทำให้แจ้ง  กระทำให้เกิดญาณ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ดับร้อนได้อย่างแท้จริง นี่เรียกว่า ทางสายกลางที่พระองค์ประกาศให้ทราบ ว่ามีทางใหม่ เป็นทางตรงทางเดียว แต่ว่าประกอบด้วยองค์แปดประการ เป็นแนวทางที่จะให้ถึงความดับทุกข์ได้ นี้ตอนหนึ่ง.

 



Create Date : 18 สิงหาคม 2565
Last Update : 25 มกราคม 2567 18:49:19 น. 0 comments
Counter : 234 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space