กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
สิงหาคม 2565
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
3 สิงหาคม 2565
space
space
space

๘. กายคตาสติ 




    ๘. กายคตาสติ   ระลึกทั่วไปในกายให้เห็นว่าไม่งาม น่าเกลียด โสโครก.   นี่จุดสำคัญ คือ ร่างกายนี่ กายคตาสติ.   

คนเราโดยปกติทั่วไปนั้น   มักจะมองร่างกายในแง่สวยงาม เพาะราคานุสัย เพาะปฏิฆานุสัย เพาะอวิชชานุสัย มันเพาะทั้งนั้น เพาะราคะ อวิชชา ปฏิฆะให้เกิดขึ้นในใจ เพราะมองไปว่ามันสวยมันงาม ให้นึกว่าเรายืนหน้ากระจกนี่เรานึกอย่างไร เวลาเอากระจกมาส่องนี่ เรานึกอย่างไร ไม่มีใครนึกว่ากูไม่สวย ไม่หล่อ นึกว่าสวย ว่าหล่อทั้งนั้น   แม้ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่ก็ยังมองว่าพอไปได้ นึกว่าอย่างนั้น ธรรมดาเป็นอย่างนี้
ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น ?  เพราะมนุษย์เรานี่หลงตน หลงกาย หลงว่าฉันลืมตาย หลงกายมันลืมแก่ หลงเมียลืมพ่อแม่ ไปอย่างนั้น อันนี้ถูกต้อง คนหลงตนมันลืมตาย ไม่นึกว่าตัวจะตาย หลงร่างกาย ก็ลืมแก่เพราะนึกว่ากูยังหนุ่มอยู่ ยังสาวอยู่ ยังแข็งแรงอยู่ ยังไม่เป็นไร พอไปหลงเจ้าแม่ประคุณเมียเข้า ลืมพ่อลืมแม่ไปเสียแล้ว เป็นอย่างนั้น

   ปกติคนเรามักจะหลง ไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง ทีนี้ ความหลง ทำให้เกิดความผิด ทำให้เกิดทุกข์ เกิดความเสียหาย ก็เพื่อจะแก้ความหลงนี่แหละ ไม่ใช่เรื่องอะไร เพื่อจะแก้ความหลงมัวเมาในเรื่องร่างกายนี้ให้มันผ่อนคลายลงไปเสียบ้าง ท่านจึงสอนให้พิจารณา กายคตาสติ คือ พิจารณาในแง่ว่าไม่สวยงาม ปฏิกูล แปลว่า น่าเกลียด โสโครกด้วยประการต่างๆ ให้พิจารณาร่างกายนี้ทั้งหมด ให้เห็นในรูปอย่างนั้น จุดหมายอยู่ที่ตรงนั้น
เราจะพิจารณาอย่างไร จึงจะเห็นว่ามันไม่สะอาด ?  เราลองมาคิดกันง่ายๆ ว่าร่างกายของเรานี้ ตั้งปัญหาขึ้นว่ามันสะอาดหรือไม่สะอาด ตั้งปัญหาขึ้นมาอย่างนั้น แล้วเราก็หาคำตอบว่ามันเป็นอย่างไร จะตอบว่าสะอาดหรือจะตอบว่าไม่สะอาด  อย่าตอบตามอารมณ์  อย่าตอบตามความหลง แต่เราตอบตามความเป็นจริงทีเดียว  การตอบตามความเป็นจริงนั้น  ก็ต้องพิสูจน์กัน ให้เห็นว่ามันไม่สะอาดอย่างไร เพียงแต่พูดเฉยๆว่าไม่สะอาด มันยังไม่รู้ว่าไม่สะอาดอย่างไร
ทีนี้ การพิสูจน์ก็คือ การพิจารณาเป็นเรื่องๆไป เพื่อให้เห็นว่ามันไม่สะอาด เอาอย่างง่ายๆ กันก่อนว่ามันไม่สะอาดอย่างไร

   ทำไมเราจึงต้องมีการชำระล้างร่างกายนี้ทุกวันๆ ทำไมเราต้องอาบน้ำบ่อยๆ ทำไมเราต้องแปรงฟัน ทำไมจึงหวีผม ทำไมเราต้องแต่งเล็บ ทำไมจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ ทั่วร่างกายนี้ มีเรื่องที่จะต้องแต่งเยอะแยะ ตั้งแต่ปลายผมถึงปลายเท้า
คนเขาตั้งโรงงานหากินกับร่างกายมนุษย์นี้ หากินได้นะร่ำรวยกันเป็นเศรษฐีไปเลย ไอ้โรงานเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์นี่
ตั้งแต่บนหัวลงไป ตั้งโรงงานทำเครื่องดัดผมของผู้หญิง น้ำมันใส่ผม, หวี, แปรง, อะไรต่ออะไรร้อยแปด เรื่องผมเรื่องเดียวนี่โรงงานกี่หลังก็ไม่รู้ มากมายก่ายกอง หากินได้เรื่องผมน่ะ ร่างกายนี่

เรื่องของคิ้วยังตั้งโรงงานได้ ทำแหนบเล็กๆ ถอนคิ้ว  ไอ่คิ้วที่ดีอยู่แล้วนี่ไม่สวย  ถอนซะไปทำให้มันโก่งเหมือนกับวงพระจันทร์ ยังใส่อะไรให้มันนิดหน่อย
เรื่องตานี่เยอะมากเหมือนกัน ต้องมีแว่นตาสำหรับคนที่ตาไม่เห็น ยังมีแว่นกันแดด แว่นกันแดดก็ต้องอันใหญ่ๆ เบ้อเริ่มๆ ใส่ให้มันโก้
แล้วก็ต้องมียาหยอดตา หยอดให้มันคมกริบ ตัดหัวใจผู้ชายให้มันสลายไปเลย นี่ยาหยอดตา แล้วก็ทำให้มันเลอะเทอะ เวลาเห็นผู้หญิงที่ทาขอบตานี่ นึกว่าไปสบายทุกที หลวงพ่อนี่คิดว่าอย่างนั้น นึกว่า เอะ หนูนั่น ท่าจะไม่สบาย นึกไปอย่างนั้นทุกทีน่ะ เห็นทาตานี่แล้วไม่ได้นึกรักเลย ที่ทาตาลงไปนี่ มันน่าจะรักคนที่ไม่ทาเสียมากกว่า แต่ว่าพอทาแล้วมันดูเป็นน่าเกลียดไป ทำไมไปทาให้เลอะเทอะ ฯลฯ ร่างกายมนุษย์นี่หากินได้  คนที่เขารู้จักหากินก็หากินกับร่างกายมนุษย์นี่มากมาย ทุกเรื่องที่กระทำนั้น ก็เพื่อส่งเสริมราคะ ความกำหนัด ส่งเสริมโทสะ ส่งเสริมโมหะ ให้เกิดขึ้นในใจตน นี่ละเรียกว่าเพิ่มพูนกิเลสทั้งนั้น ถ้าว่าอยู่ตามธรรมชาติปกติ ไม่ส่งเสริมเท่าใด มันปกติ คือว่าไม่ยั่ว


   เดี๋ยวนี้ มนุษย์เรามันยั่ว เลยหลงใหลเพลิดเพลินในกามารมณ์ จึงสร้างปัญหาคือความทุกข์ ความเดือดร้อน ด้วยประการต่างๆ เราจึงต้องแก้ด้วยการเจริญกายคตาสติ พิจารณาร่างกายนี้ว่าโดยธรรมชาติมันไม่สะอาด  ถ้ามันสะอาดเราก็ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องแปรงฟัน ไม่ต้องใส่ครีม ไม่ต้องใส่น้ำอบ น้ำหอม สะอาดแล้วนี่ แต่นี่มันไม่สะอาด จึงต้องทำอย่างนั้น

   แล้วเราลองนึกอีกแง่หนึ่งว่า อะไรๆ ที่ออกมาจากตัวคนนี่  มีอะไรสะอาดบ้าง  มีอะไรน่ารัก มีอะไรน่าหลงบ้าง  เหงื่อออกมานี่น่ารักไหม ผู้หญิง ผู้ชาย ทำงานเหงื่อท่วมตัว  เราจะไปกอดได้ไหม ไปจูบได้ไหม ไม่ไหวละเหงื่อทั้งนั้น สกปรก
ออกมาทางตาก็สกปรกเป็นขี้ตา
ออกมาทางจมูกเป็นน้ำมูกก็สกปรก
ออกมาทางปากก็เป็นน้ำลาย
ถ้าสมมติว่าแฟนเราจะถ่มน้ำลาย แล้วเราก็ว่า เอ้า ถ่มในปากฉันนี่ มีไหมไอ้อย่างนั้น ฉันรักเธอเหลือเกิน น้ำลายเธอฉันก็ไม่รังเกียจ ไม่มีละ มีแต่ว่าให้ไปถ่มที่อื่น เราไม่รัก น้ำลายออกมาก็ไม่น่ารัก
ปัสสาวะออกมาก็ไม่น่ารัก เอามาดมก็ไม่ได้
อุจจาระออกมาก็ไม่ไหว น่าเกลียด
เวลาเราไปถ่ายอุจจาระปัสสาวะดูๆ  มันเสียบ้าง  เอามาเป็นกรรมฐาน  ถ้าออกมาแล้วก็กลับไปดู น่าเกลียด ไม่ไหว นี่ฉันเอาคืนไม่ได้แล้ว รีบๆชักโครกดีกว่า ลงไปให้พ้นหูพ้นตาเสียไม่ไหว
เราถ่ายเสร็จแล้ว น้ำชักโครกไม่มีนะ ออกไปสัก ๔-๕ นาที กลับมาดูไม่ได้ ของตัวเองแท้ๆ ดูไม่ได้ นี่แสดงว่ามันไม่ไหว ของเราแท้ๆ ดูไม่ได้แล้ว ไม่สะอาด แล้วไอ้ที่อยู่ในท้องเรานี่ มันสะอาดที่ไหน แต่ว่าอยู่ในท้องของแฟนนี่มันสะอาดไหม
บางคนยังไปดมที่ท้องเสียด้วย ดมทั้งตัว บางคนหนักไปถึงกับเลียเลย อื้อทำเหมือนกับควาย เหมือนกับสุนัขที่เลียนะ สุนัขมันเลีย มาถึงเลียเลย ทีนี้มนุษย์เห็นว่าสุนัขมันเลีย น่ากลัวอร่อย เลยลองเลียดูบ้าง มันโง่เต็มทีของสกปรกแท้ๆ เราไม่ได้พิจารณา มองไม่เห็น

  ทีนี้ลองพิจารณาในรูปนี้บ่อยๆ ลองนึกคิดบ่อยๆ ดูร่างกายทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ผมถึงปลายเท้า ไม่มีส่วนใดสะอาดเลย มีแต่ส่วนไม่สะอาดทั้งนั้น เช่นว่า เขาทาแป้งไว้ ถ้าเรามองลึกลงไปในแป้ง มันก็ไม่สะอาด

คนบางคนทาแป้งหน้าเข้าท่า พอตื่นเช้าหน้าเป็นกระเลย เอาแป้งทาไว้ มายาฉาบทาไว้ ไม่ใช่ของแท้ของจริง  เราคิดในรูปอย่างนั้นบ่อยๆ แล้วจิตใจก็จะเหนื่อยหน่ายในกามคุณ  กามารมณ์  แม้เราจะอยู่ครองบ้านครองเรือน  ก็ควรจะพิจารณาเอาไว้เพื่อให้เกิดความพอดี คุมกำเนิดอยู่ในตัว ถ้าเราทำอย่างนั้น คุมกำเนิดอยู่ในตัว เพราะว่าเราเบื่อหน่าย ไม่รักไม่ชอบอะไรนักหนา มันเป็นห้ามล้ออยู่ แล้วก็สอนให้พิจารณากันทั้งสองฝ่าย หญิงก็สอนให้พิจารณาด้วย

   แต่งงานกันแล้วก็บอกว่า กายคตาสติ กันเสียก่อน สอนให้เข้าใจว่าฉันไปบวชมา หลวงพ่อสอนมาแบบนี่ว่าไม่งามดอก ฉันไม่ได้แต่งงานกับเธอเพราะเธองามอะไรดอก แต่ฉันแต่งงานเพราะว่าอยากจะมีลูกไว้สืบสกุลสักคนเท่านั้นเอง แล้วก็เรามาทำลูกกันหน่อย ว่าไปตามเรื่อง ทำไปตามเรื่อง แล้วพิจารณาไป
เวลาทำก็อย่าทำด้วยความหลง พิจารณาให้รอบคอบ ปฏิสังขาโยเสียก่อนก็ได้ พิจารณาว่า เราฉันบิณฑบาตนี้ไม่ใช่เพื่อเล่น ไม่ใช่เพื่อสนุก ไม่ใช่เพื่ออร่อย
แล้วเราก็พิจารณาว่า ที่ฉันมานอนกับเธอนี่ไม่ใช่ว่าฉันหลงใหลอะไรดอก ฉันพิจารณาแล้วว่าไม่ได้ความอะไร ไม่น่ารัก ไม่น่าเอ็นดูอะไร แต่ว่าฉันสงสารเธอ ว่าอยู่คนเดียวเหงา ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอหน่อย แล้วเราก็ไม่ได้อยู่กันด้วยความหลงนะ อยู่กันด้วยปัญญา
แม้เราจะเสพกาม ก็เพื่อสืบพืชสืบพันธุ์ ไม่ใช่เสพเพื่อสนุกสนานเพลิดเพลินเหมือนกับสุนัข ซึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉาน พูดกันเสียหน่อย ทำความเข้าใจกัน ผลที่สุดมันก็เรียบร้อยอยู่กันได้เป็นปกติ ไม่มีอะไร อยู่ด้วยธรรมะแล้วอยู่ด้วยกันดี


   ถ้าอยู่ด้วยความหลง ไม่อิ่ม ไม่พอ เดี๋ยวไปเห็นของคนอื่น เอ๊ะ สวยกว่าของกู เลยไปกันใหญ่ เลอะเทอะใหญ่ ผู้ใดเห็นอารมณ์ว่างาม มารย่อมรังควานได้ง่าย แต่ผู้ใดเห็นว่าอารมณ์ไม่งาม มารไม่รังควาน เป็นผู้มีจิตใจมั่นคงแข็งแรง อันนี้ เราควรจะได้พิจารณาไว้
ทีนี้ ลองนึกถึงเอามาเป็นวัตถุพยาน เช่น คนเป็นแผลนี่สวยงามไหม แผลเหวอะหวะ เราเห็นแผลนี่ไม่งาม ก็ภายใต้ผิวหนังมันก็ไม่งาม ลอกผิวหนังออกมันก็มีน้ำเลือด เป็นของไม่สะอาด เลือดนี่ไม่สะอาด อะไรก็ไม่สะอาดทั้งนั้น  อย่างนี้  เรียกว่า เจริญกายคตาสติ เพื่อป้องกันไม่ให้ลุ่มหลงมัวเมาใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันเป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดขัดเคือง ลุ่มหลงมัวเมา เราห้ามล้อมันเสียบ้างก็จะได้สบายใจ นี่อันหนึ่ง.

 




 

Create Date : 03 สิงหาคม 2565
0 comments
Last Update : 25 มกราคม 2567 18:07:24 น.
Counter : 430 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space