กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กรกฏาคม 2565
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
space
space
29 กรกฏาคม 2565
space
space
space

๑. พุทธานุสสติ



    ๑. พุทธานุสสติ    ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า   พระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณมากมายหลายประการ ที่เราสวดอยู่นั่นแหละ อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ดังได้อธิบายมาแล้ว เราก็น้อมเอาพระคุณเหล่านั้นมานึกคิด เอาพระคุณบทใดบทหนึ่งมาคิดก็ได้ นึกให้เห็นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านี่ทรงเป็นอะไร อย่างไร ให้ประโยชน์อย่างไรแก่เรา เอามานึกมาคิด เช่นว่า อะระหัง หมายความว่า เป็นผู้ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์ สิ้นเชิง เป็นผู้บริสุทธิ์ เราก็มานั่งนึกตรึกตรองว่า พระองค์บริสุทธิ์อย่างไร น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า กับ น้ำใจของคนเราแตกต่างอย่างไรบ้าง มองให้เห็นความแตกต่างระหว่างจิตของปุถุชน กับ จิตของพระอรหันต์ ว่ามีความแตกต่างกัน

   จิตของพระอรหันต์ นั้น สะอาด สว่าง สงบ จิตของปุถุชน นั้น สกปรก วุ่นวาย มืดมัว แตกต่างกัน ทำไมพระพุทธเจ้าจึงได้มีน้ำพระทัย สะอาด สว่าง สงบ ?  ก็เพราะพระองค์ได้รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริง
สิ่งทั้งหลายที่พระองค์รู้แจ้งนั้น ได้แก่  อะไร ?   ก็ได้แก่   สรรพสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่า รูป นาม พระองค์เห็นชัดในนามรูปว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัว เป็นตน เป็นเรา เป็นเขา เป็นของตัว ของตน ของเรา ของเขา ดังนี้ น้ำพระทัยจึงสะอาด สว่าง สงบ ไม่มีความทุกข์ต่อไป
เราจะไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ ?   ถามตัวเราเอง ก็ตอบได้ว่า ถ้าเราปฏิบัติเราก็ถึงได้ แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราก็ไม่ถึง เพราะคำสอนหรือข้อปฏิบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็น อกาลิโก ให้ผลไม่จำกัดเวลา ศึกษาเมื่อไรก็ได้ ปฏิบัติเมื่อใดก็ได้ ผลย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัติเสมอ

   เรามานึกถึงตัวเราเวลานี้  เราเรียกตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัท  เราได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าขนาดไหน พระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเราสักเท่าไร เราลองพิจารณา มองดูด้านใน คือ มองดูความคิดของเรา ดูจิตของเรา ว่าเรามีพระพุทธเจ้าอยู่ในจิตของเราหรือเปล่า  ถ้ารู้ตัวว่าบกพร่อง ไม่ไหว ไม่มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจบ่อยเหลือเกิน และเมื่อไม่มีพระพุทธเจ้านั้นเราทำอะไร เป็นอย่างไร เป็นทุกข์ เป็นสุข เป็นความเสื่อม เป็นความเจริญอะไรอย่างใด พิจารณาไป ก็จะมองเห็นว่าความจริงนั้นมันเป็นอย่างไร
เมื่อขาดพระพุทธเจ้านี่ มันมืดบอดขนาดไหน มีพระพุทธเจ้าสว่างขนาดไหน เราก็มองเห็นด้วยปัญญา เมื่อมองเห็นด้วยปัญญาเช่นนั้นแล้ว เราก็ควรจะสร้างเสริมเพิ่มพูนองค์พระให้เกิดขึ้นในใจของเรา ทำใจเราให้เป็นพุทธได้มากยิ่งขึ้น ให้ใกล้พระพุทธเจ้ามากเข้าไป มากเข้าไป ทุกเวลานาทีของความเป็นอยู่ในชีวิต อย่างนี้ เรียกว่า เราคิดถึงแล้ว เราก็เข้าไปหา

   คิดถึงพระพุทธเจ้าแล้วต้องเข้าไปหา ไม่ต้องเดินไกล ๘,๔๐๐ โยชน์ อยู่ใกล้นิดเดียว อยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ในจิตของเราแล้ว แต่ที่ไม่ปรากฏออกมาเพราะมี ราคะ โทสะ โมหะ หรือกิเลสประเภทใดประเภทหนึ่งเข้ามาวุ่นวาย เหมือนเปลือกไข่หุ้มตัวลูกไก่ไว้ พอลูกไก่มันเจริญงอกงามดี มันก็เจาะกระเปาะออกมาเป็นตัวไก่อยู่ในโลกต่อไป ความเป็นพุทธะมันก็อยู่ในใจของเราแล้ว อยู่ในตัวเราแล้ว แต่ว่าเราไม่ค่อยจะได้ขูดเกลาเอาสิ่งที่ปิดบังออก ไม่ทำลายกระเปาะ ปอกกิเลสอวิชชากิเลสต่างๆที่เกิดขึ้นออก ใจเราก็เหมือนกับว่าไม่มีพระ อยู่ห่างพระเหลือเกิน การอยู่ห่างพระเป็นทุกข์ การอยู่ใกล้พระเป็นความสุข

  เพราะฉะนั้น เราต้องขยับใจของเราให้เลื่อนชั้นสูงขึ้นๆ จนไปนั่งอยู่กับพระพุทธเจ้า เรียกว่า เข้าถึงพระพุทธเจ้า อยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้า  ที่ในศาสนาอื่นเขาว่าตายแล้วจะได้ไปอยู่ร่วมกับพระผู้เป็นเจ้า. ถ้าว่าไปคุยกับพวกนับถือศาสนาแบบนั้น   ถ้าเป็นเด็กๆก็โง่  มันว่าต้องตายก่อนแล้วจึงจะไปพบพระผู้เป็นเจ้า นี่คือว่าไม่เข้าใจธรรมะ  ถ้าเข้าใจธรรมะ ก็ไม่ใช่ตายอย่างนั้น


   เราต้องขยับใจของเราให้เลื่อนชั้นสูงขึ้นๆ จนไปนั่งอยู่กับพระพุทธเจ้า เรียกว่า เข้าถึงพระพุทธเจ้า อยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้า  ที่ในศาสนาอื่นเขาว่าตายแล้วจะได้ไปอยู่ร่วมกับพระผู้เป็นเจ้า. ถ้าว่าไปคุยกับพวกนับถือศาสนาแบบนั้น   ถ้าเป็นเด็กๆก็โง่  มันว่าต้องตายก่อนแล้วจึงจะไปพบพระผู้เป็นเจ้า นี่คือว่าไม่เข้าใจธรรมะ  ถ้าเข้าใจธรรมะ ก็ไม่ใช่ตายอย่างนั้น

   “ตาย”  หมายความว่า   กิเลสมันตายไป   ความโลภตายไป ความโกรธตายไป ความหลงตายไป ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนตายไป  ตายไปแล้วเราก็ได้อยู่ร่วมกับพระผู้เป็นเจ้า  ถ้าพูดตามแบบพุทธมันต้องอย่างนั้น  แต่ว่าพวกคริสต์เตียน อิสลาม เขายิ่งฟังไม่รู้เรื่องใหญ่ เพราะว่าเขาไม่ได้ศึกษาธรรมะที่ถูกอย่างนั้น เขาเรียนรู้ในเรื่องตัวบุคคล พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในสวรรค์ นั่งอยู่บนพระแท่นบัลลังก์ แล้วก็ลูกศิษย์คือพระเยซู ตายแล้วไปประทับอยู่เบื้องขวาพระผู้เป็นเจ้า เขาว่าอย่างนั้น มันเป็นการมองไปในรูปเนื้อหนัง รูปบุคคล  แต่ในพระพุทธศาสนาเรานั้น เรามองไปในแง่ธรรมะ ไม่ได้มองเป็นตัวตน  แต่มองเป็นตัวธรรม  มองเป็นตัวธรรมะ ก็หมายความว่า ต้องตายเสียก่อน ตายเสียก่อน ก็หมายความความว่า ไม่มีตัวตน ความยึดมั่นมันตายไป พอความยึดมั่นถือมั่นตายไป เราก็ได้อยู่กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ในตัวเรา
เพราะฉะนั้น จึงพูดว่าตายแล้วเราอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่ไม่ใช่ตายหมดลมหายใจ ตายจากความเป็นคนมีกิเลส เกิดเป็นคนไม่มีกิเลสก็ได้อยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้า ให้เข้าใจไปในรูปอย่างนั้น จึงจะเป็นการชอบ


   พอนึกถึงพระพุทธเจ้าต้องนึกบ่อย   เวลาใดเกียจคร้านก็นึกถึง  พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีปกติว่องไว ทรงใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เรานึกถึงความเป็นมาของพระพุทธเจ้า แล้วก็จะเกิดความกระตือรือร้นในการที่จะปฏิบัติงานในหน้าที่ของเรา มันก็ช่วยให้เกิดความกระฉับกระเฉงขึ้น   เวลาใดเราคิดไม่ดี   แต่ว่าต้องรู้ตัวคือต้องมีสติรู้  รู้ตัวทันทีว่าเรานี่ไม่ไหวแล้ว พอรู้แล้วต้องตวาดตัวเอง ตวาดว่าแกมันโง่ บ้าไม่เข้าเรื่อง ดุตัวเองเสียบ้าง อย่าเที่ยวไปดุคนอื่น เดี๋ยวเขาชกปากเอา


  เพราะฉะนั้น เราหัดดุตัวเองดีกว่า ว่าแกนี่โง่จริง คิดอะไรก็ไม่รู้ เรื่องบ้าๆบอๆ หลงใหลมัวเมาไม่เข้าเรื่อง ไม่สมกับที่เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเสียเลย พอดุเข้ามันชักคิดขึ้นมาแล้ว หมายความว่า เรารู้สึกตัว พอรู้สึกตัวเราก็ดุเข้าบ้าง ดุให้มันเจ็บๆ  หลวงพ่อองค์หนึ่ง ท่านพูดว่า ไอ้เต่า ว่าตัวท่านเอง ว่า ไอ้เต่า เองขึ้นมาอีกแล้วรึ หมายความว่า มีสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นในใจแล้ว ก็เลยบอกว่า ไอ้เต่า เอ็งอยู่ในรูดีๆ ขึ้นมาอีกแล้วรึ ท่านว่าตัวท่านบ่อยๆ ชาวบ้านก็ไม่รู้เรื่อง หลวงพ่อนี่อะไร ด่าไอ้เต่าทุกที ไอ้เต่าน่ะผีหรืออะไรก็ไม่รู้ กลับเข้าใจว่าหลวงพ่อเลี้ยงผีเอาไว้ แล้วก็ดุมัน ไอ้ผีมันหลบอยู่ในรู อย่าออกมาเพ่นพ่าน  ความจริงไม่ใช่  ท่านดุตัวท่านเอง  เวลาเกิดความไม่ดี ท่านดุว่าไอ้เต่า เหมือนเขาว่า   “เต่าน้อยล่อยล่องชล”  เต่ามันลอยอยู่ริมทะเล  นานๆผุดขึ้นมาที แล้วจมหายลงไป เดี๋ยวก็ผุดขึ้นมาอีก


   กิเลสมันก็อย่างนั้น โผล่ขึ้นมา โผล่ขึ้นมาแล้วก็ผลุบลงไปอีก ไม่ได้เรื่อง ได้แต่ดุว่าไอ้เต่าเองมาอีกแล้ว แล้วก็นั่งเฉยๆ  เราก็เหมือนกัน  ดุมันไว้  ถ้าจิตมันไม่ดี  คิดจะไปเล่นไปเที่ยวไปสนุก ไปหาเรื่องอะไร เราก็ดุว่าบ้าไม่เข้าเรื่อง  คิดอย่างนั้นมันถูกต้องแล้วหรือ ไม่ได้คิดแบบมนุษย์ ไม่ได้คิดแบบพุทธบริษัทเลย ไม่ได้คิดแบบบุคคลที่บวชแล้ว นี่มาคิดแบบบุคคลโง่ๆ ว่ามันอย่างนั้น ดุบ่อยๆ ทำให้จิตใจเราดีเหมือนกัน เพราะเรารู้ตัวว่าเรามันชักจะบ้า พอถูกว่าไอ้โง่ไอ้งั่ว ว่าบ่อยๆ ก็พอสำนึกได้ พอสำนึกได้ เราก็คิดถึงพระพุทธเจ้าในแง่ใดแง่หนึ่งก็ได้ ตั้ง ๙ อย่าง อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน ฯลฯ เอามาคิดนึกตรึตรองแล้วเราเดินตามทางนั้น ก็เรียกว่า นึกถึงพระพุทธเจ้า เดินตามพระพุทธเจ้า นี่แหละ เรียกว่า เห็นแท้ๆ เห็นพระพุทธเจ้าแท้ๆ คือเห็นคุณธรรมนั้นเอง เรียกว่าเห็นพระพุทธเจ้า
 

   กิเลสมันก็อย่างนั้น โผล่ขึ้นมา โผล่ขึ้นมาแล้วก็ผลุบลงไปอีก ไม่ได้เรื่อง ได้แต่ดุว่าไอ้เต่าเองมาอีกแล้ว แล้วก็นั่งเฉยๆ  เราก็เหมือนกัน  ดุมันไว้ ถ้าจิตมันไม่ดี คิดจะไปเล่นไปเที่ยวไปสนุก ไปหาเรื่องอะไร เราก็ดุว่าบ้าไม่เข้าเรื่อง คิดอย่างนั้นมันถูกต้องแล้วหรือ ไม่ได้คิดแบบมนุษย์ ไม่ได้คิดแบบพุทธบริษัทเลย ไม่ได้คิดแบบบุคคลที่บวชแล้ว นี่มาคิดแบบบุคคลโง่ๆ ว่ามันอย่างนั้น ดุบ่อยๆ ทำให้จิตใจเราดีเหมือนกัน เพราะเรารู้ตัวว่าเรามันชักจะบ้า พอถูกว่าไอ้โง่ไอ้งั่ว ว่าบ่อยๆ ก็พอสำนึกได้ พอสำนึกได้ เราก็คิดถึงพระพุทธเจ้าในแง่ใดแง่หนึ่งก็ได้ ตั้ง ๙ อย่าง อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน ฯลฯ เอามาคิดนึกตรึตรองแล้วเราเดินตามทางนั้น ก็เรียกว่า นึกถึงพระพุทธเจ้า เดินตามพระพุทธเจ้า นี่แหละ เรียกว่า เห็นแท้ๆ เห็นพระพุทธเจ้าแท้ๆ คือเห็นคุณธรรมนั้นเอง เรียกว่าเห็นพระพุทธเจ้า

ถ้าไม่เห็นคุณธรรมแล้วไม่เห็นพระพุทธเจ้า   แม้ไปพบแล้วก็ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าคือใคร บางที;   ต่อได้เห็นธรรมแล้วจึงได้เห็นรู้จักพระพุทธเจ้า   เหมือนกับปุกกุสาติ  นักบวชชื่อปุกกุสาติ เดินทางเข้าไปพบพระพุทธเจ้า  แกจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า บวชแล้วจะไปพบพระพุทธเจ้า ไปพบที่บ้านช่างหม้อ พระพุทธเจ้าประทับที่โรงปั้นหม้อ แกเข้าไปอย่างเรียบร้อย ท่าทางดี  พระพุทธเจ้า เห็นเข้าก็ชวนสนทนาด้วย  ถามว่า  ดูท่าทางของท่านก็เรียบร้อย ท่านบวชอุทิศให้กับใคร ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน  ท่านประพฤติธรรมะของผู้ใด

ปุกกุสาติก็บอกว่า ข้าพเจ้าบวชอุทิศพระสมณโคดม ผู้ออกบวชจากศากยสกุล เราชอบใจในธรรมของท่านผู้นั้น เราจึงประพฤติตามธรรมของท่านผู้นั้น เวลานี้เราเดินทางเพื่อไปหาพระพุทธเจ้า. เจอแล้วยังไม่รู้   
พระองค์ถามว่า  เคยเห็นพระพุทธเจ้าหรือเปล่า?   ตอบว่า  ยังไม่เคยเห็น แล้วถ้าไปพบท่านจะรู้ไหมว่าเป็นพระพุทธเจ้า  ตอบว่า  ถ้าไม่มีใครบอกก็คงไม่รู้  แล้วก็ชวนคุย พระองค์ก็เทศน์ให้ฟัง  เทศน์ไป เทศน์ไปก็ได้ ดวงตาเห็นธรรม เรียกว่า บรรลุคุณธรรม ก็เลยขอบวชในพระพุทธศาสนา บวชเป็นพระ ก่อนนี้เป็นนักบวชแล้ว แต่ไม่ใช่นักบวชที่เรียกว่า ภิกษุ เป็นนักบวชแบบอื่น
พระองค์ก็ตรัสถามว่า เรามีผ้ามีบาตรไหม ?   บอกว่ายังไม่มี   เอ้าต้องไปหาผ้าหาบาตรก่อน จึงจะมาบวชได้   ท่านก็ลาไป   ไปหาบาตรหาจีวร   แต่ว่าเดินไปเจอวัวดุเข้าตัวหนึ่ง มันชนเอาตายเลย นิพพานไปเรียกว่าดับกิเลสหมด บรรลุอรหัตผลแล้ว
นี่แสดงว่าไปเจอแล้วยังไม่รู้จัก เห็นรูปร่างหน้าตาแล้วยังไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า แต่มารู้จักจริงๆ ก็คือรู้ธรรมะ เข้าถึงธรรมะ จึงรู้ว่าพบพระพุทธเจ้าโดยธรรม

   สมัยนี้ เราจะถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อหนังร่างกายไม่ไหว ไม่มีโอกาส  เราถึงพระพุทธเจ้าโดยธรรมะ เช่น ว่าเราทำใจให้มีคุณธรรมของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น เช่น มีความกรุณา มีปัญญา มีความบริสุทธิ์ อย่างนี้ ก็เรียกว่า เราอยู่กับพระ เรามีความสุขปลอดภัย โดยอาศัยพระพุทธองค์ที่ปรากฏอยู่ในใจ ที่เขาพูดๆกันว่าอานุภาพพระพุทธเจ้าคุ้มครองนั้น มันเป็น ๒ แบบ แบบเด็ก กับ แบบผู้ใหญ่


   สมัยนี้  เราจะถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นเนื้อหนังร่างกายไม่ไหว ไม่มีโอกาส เราถึงพระพุทธเจ้าโดยธรรมะ เช่น ว่าเราทำใจให้มีคุณธรรมของพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น เช่น มีความกรุณา มีปัญญา มีความบริสุทธิ์ อย่างนี้ ก็เรียกว่า เราอยู่กับพระ เรามีความสุขปลอดภัย โดยอาศัยพระพุทธองค์ที่ปรากฏอยู่ในใจ ที่เขาพูดๆกันว่าอานุภาพพระพุทธเจ้าคุ้มครองนั้น มันเป็น ๒ แบบ แบบเด็ก กับ แบบผู้ใหญ่

   แบบเด็กนั้นอาศัยความศักดิ์สิทธิ์ของสิ่งนั้น  พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ พระเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ อะไรต่างๆ แล้วก็ไปกราบไปไหว้ ขออานุภาพให้คุ้มครอง อย่างนั้น เรียกว่า ขอความคุ้มครองแบบเด็ก ไม่ใช่ขอความคุ้มครองแบบปัญญาชนคนผู้ใหญ่  คนไปไหว้แบบเด็กนั้นมีมาก นี่แบบหนึ่ง

   ถ้าเป็นแบบปัญญาชนไม่ได้ขอแบบนั้น   เราจะให้พระพุทธเจ้าคุ้มครองเรา เราต้องประพฤติธรรม เมื่อเราประพฤติธรรม ธรรมนั้นแหละคุ้มครองเรา ธัมโม หะเว รักขติ ธัมมะจาริง - ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม. ธัมโม สุจิณโณ สุขะมาวะหาติ - บุคคลที่สะสมคุณธรรม คือ ความดีไว้ ย่อมมีสุขทุกเมื่อ. นี้เรียกว่า อานุภาพรักษาจริง รักษาตรงที่มีธรรมะ  เพราะฉะนั้น เราจะต้องเชิญพระพุทธเจ้ามาใส่ไว้ในใจ คือทำใจให้มีคุณธรรม เช่นว่า มีใจประกอบด้วยความกรุณา สงสารเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย มีน้ำใจปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย นี่เป็นพระดี

เราทำใจให้มีปัญญา  รู้เหตุผลต้นปลายของเราอะไรต่างๆ ด้วยความไม่โง่เขลา ทำด้วยปัญญา ด้วยการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เอาหลักธรรมะเข้ามาเป็นเครื่องประกอบการพิจารณา ก็เรียกว่า เรามีพระปัญญา

แล้วเราทำใจของเราให้บริสุทธิ์เท่าที่จะทำได้ตามลำดับขั้น บริสุทธิ์ขึ้นไปตามฐานะ บริสุทธิ์อย่างคนมีศีล บริสุทธิ์อย่างคนมีสมาธิ  บริสุทธิ์อย่างคนมีปัญญา  มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เรียกว่า เรามีพระคือบริสุทธิ์

   ขณะใดจิตเราบริสุทธิ์ เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขณะใดเรามีจิตมืดมัว เราไม่มีพระประจำจิตใจ เมื่อไม่มีพระประจำจิตใจ มันก็วุ่นวายสร้างปัญหา.

   นี่การเข้าถึงพระต้องเข้าถึงอย่างนี้ ถึงแบบผู้ใหญ่ เราไปไหว้ก็ไหว้ตามธรรมดา เช่น เราเข้าไปในโบสถ์ หลวงพ่อพุทธชินราช เราไปกราบไหว้ตามธรรมดา ไปนั่งฝึกจิตใจนั้นก็ได้ นั่งหลับตาเพ่งพระพุทธรูปเอาเป็นนิมิต ทำจิตให้เป็นสมาธิ สร้างคุณธรรมให้เกิดในใจของเรา ก็เรียกว่า เราเข้าถึงพระพุทธเจ้าโดยเนื้อแท้ เข้าถึงพระธรรม พระสงฆ์ โดยเนื้อแท้ อย่างนี้ เป็นการเอาอานุภาพที่ถูกต้องมาคุ้มครองตัวเอง ย่อมปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง
ภัยที่ปลอดภัยแน่ๆ ก็คือ ปลอดจากกิเลสรุกราน กิเลสไม่รุกราน ถ้าเรามีคุณธรรมในใจ เมื่อไม่ถูกกิเลสรุกราน ก็ปลอดภัยหมดทุกแง่ทุกมุม
พุทธานุสสติ มุ่งไปในรูปอย่างนั้น เราควรจะอ่านเรื่องพุทธประวัติให้เข้าใจชัดเจน ให้รู้จักพระองค์อย่างถูกต้อง แล้วเอามาคิดนึกตรึกตรองได้ง่าย.


 


Create Date : 29 กรกฎาคม 2565
Last Update : 24 มกราคม 2567 9:26:51 น. 0 comments
Counter : 411 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space