กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
ตุลาคม 2565
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
space
space
5 ตุลาคม 2565
space
space
space

ให้เพื่ออนุเคราะห์


   อีกประการหนึ่ง   เราให้ทานเพื่ออนุเคราะห์   คือคนที่จนยาก คนพิการ คนอนาถา เราเห็นว่า เขามีความเป็นอยู่ลำบาก เราก็ทำทาน ทำทานแก่คนเหล่านั้นก็เพื่อสงเคราะห์ อนุเคราะห์เขา ให้เขาได้มีชีวิตเป็นอยู่สะดวกสบายตามสมควร มันต้องจัดระบบขึ้นมา จัดระบบขึ้นมาอย่างไร ? คือว่ารวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน เรียกว่าองค์การสงเคราะห์คนยากจน คนพิการอะไรก็ตามเถอะ ตั้งเป็นองค์กรขึ้น อนุเคราะห์คนพิการ  ฯลฯ

   หรือว่าคนแก่    คนแก่ประเภทที่ไม่มีใครเลี้ยงก็มีบ้านให้อยู่ เดี๋ยวนี้มีบ้านของรัฐบ้านบางแค ของเมืองอื่นเขามีของเอกชนด้วย  เขาตั้งเป็นกองทุนอนุเคราะห์คนแก่ คนชรา บ้านคนชรา แล้วก็มีอาหารให้กิน  มีเสื้อผ้าให้นุ่งห่ม   นับถือศาสนาใด  มีนักบวชศาสนานั้นมาคุยธรรมให้ฟัง อบรมให้เกิดความชื่อใจ สบายใจ อันนี้ดี เป็นเรื่องมีประโยชน์
ที่ปีนังใกล้วัดไทย   มีอยู่แห่งหนึ่ง เขาเรียกว่า  เล่าหล่างเก๊ง  เล่าหล่างเรียกว่าคนแก่ เล่านั้ง แต้จิ๋วว่าเล่านั้ง  ฮกเกี๋ยน่วาเล่าหล่าง  เล่าหล่างเก๊งบ้านคนแก่  คนแก่ในบริเวณนั้น  มาวัดทุกวัน มาไหว้พระมาสวดมนต์ในโบสถ์   พึมพำๆ อยู่อย่างนั้น   มาสวดมนต์ไหว้พระแล้วก็กลับไป อย่างนี้มันดี ให้ทานแบบนี้ดี  เรียกว่าทำเป็นล่ำเป็นสัน   เป็นประโยชน์ขั้นถาวร  เป็นการอนุเคราะห์อย่างแท้จริงนี่อย่างหนึ่ง.

   อันนี้ ตัวเราเองนั้น จะได้อะไรจากการให้ทาน   ถ้าพูดกันในส่วนตื้นๆ ละก็ได้เหมือนกันละ ได้ความสบายใจ ได้เกียรติ ได้ชื่อเสียง มีคนนิยมชมชอบ   เช่นคนนั้นใจกว้างอารีอารอบ คนก็เคารพบูชาว่าเป็นคนใจดี ใจงาม มีเกียรติ มีชื่อเสียงในสังคม อันนี้ คือผลพลอยได้ เป็นเรื่องธรรมดาๆ ไม่ได้วิเศษวิโส เรื่องธรรมดาเท่านั้น

    เรื่องให้ทานที่ลึกซึ้งนี่   มันควรจะให้ทานเพื่อขูดเกลาจิตใจเราให้สะอาด ไม่ใช่เพื่อจะเอา ทางพระพุทธศาสนาเราสอนให้ทาน   ไม่ใช่ให้ทานเพื่อจะเอา   ถ้าให้ทานเพื่อจะเอานี่มันยังไม่ดี เขาว่าเป็นเพื่อวัฏฏสงสาร   หมายความว่า เวียนว่ายตายเกิดของกิเลสอยู่ในใจเราไม่รู้จบไม่รู้สิ้น จะเอาเรื่อย กิเลสก็เกิดเรื่อยไป มันไม่จบไม่สิ้น   ต้องให้ทานที่ไม่เกิดกิเลส ก็คือว่า ให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องการสวรรค์ ไม่ต้องการรูปสวย ไม่ต้องการความรวยทรัพย์ ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ต้องการเพียงอย่างเดียวว่า ฉันมีหน้าที่ให้แล้วก็ให้ เพื่อสงเคราะห์แก่คนเหล่านั้น เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่คนเหล่านั้น ส่วนตัวเราเองนั้นไม่มีอะไร ให้ด้วยน้ำใจอันงาม ไม่มีความต้องการตอบแทนเป็นวัตถุ หรือเป็นอะไรทั้งนั้น นี่แหละเป็นสัตบุรุษแท้

สัตบุรุษที่แท้ ให้ทานไม่หวังผลตอบแทน ไม่ว่าอะไร ไม่ว่ามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ อะไรไม่ต้องการทั้งนั้น มีความรู้สึกแต่เพียงว่ามันเป็นหน้าที่ที่เราจะต้องให้แก่คนเหล่านั้น เพราะเมื่อเราอยู่ในฐานะพอที่จะช่วยคนอื่นได้นี่ เราต้องช่วยแล้วเราก็ให้ไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่ต้องการชื่อเสียง ไม่ต้องให้เขียนชื่อไว้ที่เสา ที่ฝาผนัง หรือว่าที่ไหนๆให้วุ่นวาย อันนี้ก็ต้องแก้เหมือนกัน นิสัยของญาติโยมบางคน

   นิสัยญาติโยม ญาติโยมแกอยากดัง  บางทีทำอะไร เขียนชื่อไว้หน่อยเจ้าค่ะ เหมือนกับทำกำแพงนี้ บอกดิฉันรับช่องหนึ่งเขียนชื่อไว้ด้วยค่ะ  เขียนชื่อไว้หน่อยเจ้าค่ะ  กำแพงมันอยู่ริมรั้ว ไม่มีใครไปอ่านดอก  คนมาวัดไม่มีใครเดินไปข้างกำแพง  นอกจากเดินไปเยี่ยวเท่านั้นเอง แล้วโยมเอาชื่อไปเขียนไว้ใครจะไปอ่าน   เลยบอกว่าไม่ต้องก็ได้ค่ะ  เลยไม่ต้องเขียน  เราก็ไม่เปลืองหินอีกก้อนหนึ่ง ค่าเขียนชื่อ มันไม่ได้เรื่องอะไร

แต่ถ้าสร้างเป็นกุฏิอะไรอย่างนั้น เขาอยากจะเขียนไว้หน่อย ก็เขียนให้เขาหน่อย เพื่อจะให้ลูกหลานมาเห็น ได้มาเห็นว่า อ้อ ปู่เราสร้างไว้ ชำรุดทรุดโทรมต้องมาซ่อมหน่อย เพราะเป็นมรดกของปู่ ได้ประโยชน์ไป

แต่ถ้ามุ่งจะเอาเกียรติ เอาชื่อเสียง ให้สังเกตเวลามีงานตามวัด เขามีเครื่องขยายเสียง เขาอ่านล่ะ นายแก้ว ๕ บาท นายจันทร์ ๑๐ บาท ดีใจ ตอนนี้ ถ้าส่งไปแล้วไม่อ่าน ไปถาม อื้อ ผมให้ไปนานแล้ว ไม่เห็นอ่านชื่อ
อ้อ นายหนู ๑๐ บาท ต้องอ่านให้แกหน่อย แกไม่สบายใจ ถ้าไม่ได้อ่านด้วย ให้กับมือแล้วยังต้องให้อ่านด้วย ทำไมจึงต้องให้อ่าน ? นั่นแหละคือความต้องการ ต้องการเอาชื่อเอาเสียง ให้มันเด่นหน่อย แล้วทางวัดก็รู้จิตวิทยา อ่านใหญ่ นายนั้นเท่านั้น นายนี่เท่านี้ อันนี้เป็นเรื่องจะเอาไม่ใช่ให้เพื่อไม่เอา

  ให้เราถือหลักว่าให้เพื่อไม่เอา    แล้วก็สบายใจ  แล้วการให้นั้นต้องเป็นการขูดเกลาด้วย ขูดเกลากิเลส ขูดเกลาความโลภ ขูดความตระหนี่ ขูดความเห็นแก่ตัว ให้ทรัพย์ไป ๑๐ บาท ขูดความตระหนี่ไป ๑๐ บาท ให้ ๒๐ หมดไป ๒๐ ให้อย่างนั้นจะดี เรียกว่า เป็นทานแท้ และถ้าหากเราให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทน   ทานนั้นมีประโยชน์ขึ้นมาก  คือจะทำทานเฉพาะเรื่องที่จำเป็น  ส่วนสิ่งใดที่ไม่จำเป็นเราก็ไม่เอา เพราะเราไม่ได้หวังผลตอบแทน   มีคนที่หวังผลตอบแทนเข้าไปถาม  ทำอะไรดีเจ้าค่ะ   จะได้ผลตอบแทนมากๆ  บอกให้ทำอะไรก็ทำทั้งนั้น  เรียกว่า เมาบุญ พวกเมาบุญ  อยากจะได้อย่างนั้นอยากจะได้อย่างนี้
พอเขาบอกว่า   ทำไม่ให้เอาละก็   ไม่เอาละ  ทำไปทำไม  ไม่เห็นได้อะไร  ไม่ได้สำนึกในหน้าที่ว่าเราทำเพื่ออะไร  เพราะอย่างนั้น   ต้องจำหลักไว้เรื่องทานนี้   ให้เพื่อเอานั้นยังไม่เป็นทานแท้ ให้เพื่อไม่เอาละก็เป็นทานแท้   ให้แล้วไม่เอา ไม่เอาอะไรทั้งนั้น  ให้ตามหน้าที่อย่างนี้จึงจะใช้ได้ หรือว่าให้เพื่อความขูดเกลาสิ่งชั่วร้ายในใจเราให้หมดไป  จึงจะชื่อว่าเป็นการให้ทานแบบสัตบุรุษ เป็นการให้เพื่อสะอาด สว่าง สงบ ของจิต เป็นทานที่ประเสริฐ นี่ประการหนึ่ง อันนี้ ก็เรื่องทานเอาไว้เพียงเท่านั้น.

 


Create Date : 05 ตุลาคม 2565
Last Update : 5 ตุลาคม 2565 19:45:06 น. 0 comments
Counter : 189 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space