กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กันยายน 2565
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
space
space
23 กันยายน 2565
space
space
space

สมบัติของอุบาสก อุบาสิกา ๕



227สมบัติของอุบาสก อุบาสิกา ๕ (คิหิปฏิบัติ กับ หลักธรรมที่สำคัญบทหนึ่งในพระวินัย)

    วันนี้ จะพูดเรื่องสมบัติของอุบาสก ๕ ประการ อุบาสิกาด้วย พูดแต่อุบาสกก็พอ ตัดคำหลังทิ้งไป

    อันผู้ที่นับถือพุทธศาสนา เรียกว่า บริษัท ๔ ของพระพุทธเจ้า คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา

ภิกษุณี คือ ภิกษุที่เป็นผู้หญิง  อุบาสก คือคฤหัสถ์ที่เป็นผู้ชาย นับถือพระพุทธเจ้า เรียกว่า บริษัท ๔ แต่สมัยนี้เหลืออยู่แค่ ๓ คือ

ภิกษุ, ภิกษุณีหายไป, อุบาสก, และอุบาสิกา  ภิกษุณีหายไปนั้น เพราะว่าขาดตอน พอขาดตอนแล้วบวชไม่ได้ เพราะภิกษุณีจะบวชได้ก็ต้องบวชในสงฆ์ ๒ ฝ่าย  บวชกับภิกษุณีแล้วต้องมาบวชกับภิกษุสงฆ์อีก  เมื่อไม่มีภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์ก็เลยขาดหายไป  ที่เราเห็นว่าเป็นแม่ชี ก็คืออุบาสิกานั่นเอง   ไม่ได้นับเนื่องในภิกษุณี   ภิกษุณีไม่มีแล้ว   มีแต่ภิกษุสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา

   ภิกษุเท่านั้นที่เป็นผู้นำในบริษัท ๓ เป็นพี่เอื้อย  มีหน้าที่ที่จะดูแลแนะนำสั่งสอนอุบาสก อุบาสิกา ให้เกิดความรู้  ความเข้าใจที่ถูกต้อง  ให้เขาเดินไปในทางที่ถูกต้อง  สิ่งใดผิดอย่าไปสอน  สอนเฉพาะสิ่งที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา  ภิกษุบริษัทต้องสนใจในการศึกษาเล่าเรียน  ให้มีความรู้ ความเข้าใจถูกต้อง ตามหลักธรรมวินัย ถ้าสอนผิดก็เหมือนกับการทำลายพระพุทธศาสนาให้เสื่อมไป ให้เหลืออยู่แต่เพียงชื่อว่านับถือพุทธศาสนา แต่ตัวการปฏิบัตินั้น ไม่ตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้า อันนี้ก็เรียกว่าเสื่อมไปแล้ว  เราไม่อยากให้พระพุทธศาสนาเสื่อม จึงต้องสอนให้ถูกตรงตามธรรมวินัย เพื่อให้ผู้นับถือนั้นปฏิบัติตรงอย่างแท้จริง จึงถือว่าสอนถูกสอนตรง ตามหลักพระพุทธศาสนา

   เวลานี้ในเมืองไทยเรานี้   พุทธบริษัทภิกษุก็ดี   อุบาสกอุบาสิกาก็ดี   มีความเชื่อกันไม่ตรงกับธรรมวินัยไม่ใช่น้อย   เขาออกไปนอกลู่นอกทาง   ทำอะไรออกห่างจากหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า   มีอยู่ไม่ใช่น้อย    เขาออกไปนอกลู่นอกทาง   ทำอะไรออกห่างจากหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้ามีอยู่ไม่ใช่น้อย   แต่ไม่มีใครคอยช่วยแก้ไข   เห็นว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม เลยปล่อยไป   มันไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมจริง   แต่ทว่าเป็นการผุกร่อนของพระพุทธศาสนา   คล้ายๆ ตัวมอดกินไม้ มันกินไปเรื่อยๆ  ผลที่สุดไม้ก็ใช้ไม่ได้   การกระทำผิดของพุทธบริษัทไม่ว่าในรูปใด  สอนผิดแล้ว ปฏิบัติผิดแล้ว  ก็เกิดความเข้าใจผิด  นี่เป็นตัวหนอนบ่อนไส้พระพุทธศาสนา   ทำให้พระพุทธศาสนาหายไปจากดวงใจของประชาชน  เหลืออยู่แต่เพียงชื่อ แต่ตัวการปฏิบัตินั้นไม่ตรงกัน   นี่ไม่ได้ความ   เป็นหน้าที่ของพุทธบริษัท  จะต้องช่วยกันแก้ไข ปรับปรุงให้เข้าหลักเกณฑ์เท่าที่เราสามารถจะปรับปรุงได้   ให้มีความเชื่อถูกทาง ให้มีความคิดถูกทาง เราจะปล่อยไว้ว่าคนเหล่านั้น   เขาไม่รู้ไม่เข้าใจไม่ได้   ไม่รู้ไม่เข้าใจจะต้องสอนให้รู้ให้เข้าใจจนได้   ถ้าสอนให้เขารู้เขาเข้าใจแล้ว  ก็คงจะเปลี่ยนแปลงได้

   ทีนี้  มันจะคิดอย่างนี้  ชาวบ้านเขาชอบอย่างนั้น ขี้เกียจจะไปขัดคอเขา นี้ไม่ไหว เพราะเรามันต้องขัดคอชาวบ้านบ้าง ขัดให้มันแววหน่อย สะอาดขึ้นหน่อย  ความจริงชาวบ้านเป็นผู้ที่เชื่อพระ ถ้าพระเราพยายามพูดจา แนะแนวทางที่ถูกที่ชอบ เขาก็ค่อยเปลี่ยนไปเอง เขาไม่ดันทุรังอยู่อย่างนั้นตลอดไปดอก ถึงแม้เรื่องนั้นกระทำมานานแล้วเขาก็เปลี่ยน.  มีตัวอย่างจะพูดให้ฟังสักหน่อย

   ที่เชียงใหม่  สมัยก่อน  ถ้าวันเพ็ญตรงกับวันพุธละก็ เขาจะต้องไปปลุกพระขึ้นมารับบิณฑบาต ตีหนึ่ง ตีสอง ใส่บาตรกลางคืนกัน  เขาเรียกว่าใส่บาตรพระอุปคุต พระก็มารับบาตรกลางคืน รับไปแล้ว ในเรื่องฉันไม่ต้องพูดถึงกันละ รับไปแล้วก็ว่ากันกลางคืนเหมือนกัน อันนี้ เป็นที่ทำกันมานานแล้ว ไม่ใช่ของไทยดอก เป็นของพม่า ในพม่าเขามีพระอุปคุต แล้วเขามีการตักบาตรพระอุปคุตในวันเพ็ญพุธเหมือนกัน

เคยไปเที่ยวเมืองย่างกุ้งสมัยหนึ่ง ได้ไปพักในวัดใกล้พระเจดีย์ชเวดากอง ตอนดึก พระมาปลุกให้ลุกขึ้น แล้วก็ชวนไป ไอ้เรามันไปอยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ เขามาชวนไปไหนก็ต้องไปกับเขา ไปถึงบ้านหลังใหญ่ทีเดียวกว้างขวาง เป็นบ้านเศรษฐี จุดตะเกียงสว่างไสว ขึ้นไปชั้นบน นิมนต์พระมาสัก ๑๐๕ รูป นั่งฉันข้าวกันอยู่เป็นโต๊ะๆ เลย เอ๊ะ ไม่ได้การแล้ว หลวงพ่อนี่พาเรามาฉันอาหารกลางดึกเลย แล้วท่านก็บอกว่านั่งลง ซุนซ่าๆ แปลว่า นั่งลงๆ ก็ต้องนั่งลงฉันกล้อมแกล้มไปตามเรื่อง ไม่เอร็ดอร่อยอะไร ใจมันไม่อยากจะฉัน ถ้าไม่ฉันตรงนั้น จะถูกเขาเขม่นเอา พม่าไว้ใจไม่ได้ ใจแกร้อน แกไม่เขม่นเอาเฉยๆ   เอาแข้งขารุมเอาจะลำบาก   ก็เลยฉันกล้อมแกล้มไปตามเรื่อง  ฉันเสร็จแล้ว ก็เลยถามว่า  ทำไมมาฉันกันกลางคืนอย่างนี้   เขาบอกว่าวันนี้   มันเป็นวันพิเศษ วันเพ็ญตรงกับวันพุธ   พระอุปคุตขึ้นมาจากสะดือทะเล    ถ้าได้ทำบุญกับพระอุปคุตได้บุญใหญ่เลย  นี้แหละธรรมเนียมอย่างนี้เป็นของพม่า    ลามมาถึงเชียงใหม่  เพราะเชียงใหม่นั้น  พม่าเคยมายึดครองในสมัยหนึ่ง   ทีนี้   ก็เอาลัทธินี้มาฝากไว้   เขาใส่บาตรกันอยู่นานแล้ว

   เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๒ ผมขึ้นไปเชียงใหม่ ทำงานเผยแผ่ธรรมะปลุกใจประชาชนที่นั่น ตามคำขอร้องของชาวบ้านชาวเมือง เขาขอร้องไปที่ท่านพุทธทาส ท่านไปไม่ได้ให้ผมไปแทน พอดีละ พอไปพักได้ไม่กี่วัน   ก็ตรงกับวันเพ็ญพุธพอดี   ตักบาตรกันอย่างนั้นในเมือง   ผมอยู่วัดเชิงดอยไม่ได้มา แต่คนอื่นเขาเล่าให้ฟัง   เล่าว่ามีตักบาตรอุปคุต   ก็นึกไว้ในใจว่า อันนี้  มันไม่ถูกต้อง  ต้องแก้ไข  แก้ไขให้ได้    คิดอยู่ในใจว่าอันนี้มันไม่ถูก   ต้องแก้ไข  เลยก็ดูปฏิทินไว้เมื่อไรวันเพ็ญจะตรงกับวันพุธอีกสักทีหนึ่ง   มันเวียนๆไปจะต้องตรงเข้าสักพุธหนึ่งจนได้    มันจะตรงเข้ามาอีกพุธหนึ่ง

   อีก ๗ วันจะถึงวันพุธ   ก็เริ่มปฏิบัติงาน เทศน์ ให้ชาวบ้านฟังก่อน  ญาติโยมชาวบ้านมาฟังเทศน์เยอะๆ เทศน์กลางคืน กลางวัน ๒ ครั้ง  เพื่อบอกว่าการกระทำนั้น ไม่ถูกต้อง ให้หยุดเสียตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นไป  ฉันรักพี่น้อง   เห็นพี่น้องทำถูกต้องก็ชมเชย   ถ้าเห็นทำผิดก็จะบอกจะกล่าว  พี่น้องเมื่อฟังแล้วเอาไปคิดไปตรองให้ดี  เมื่อเห็นไม่ดีแล้วก็ชวนกันเลิกเสีย   เสร็จแล้วไปพูดกับพระ   พูดกับเจ้าคณะจังหวัดบอกว่า   เรื่องชาวบ้านนี้ผมพูดแล้ว ไม่เพียงแต่พูดได้เขียนหนังสือลงในหนังสือชาวเหนือด้วย   ได้อ่านกันมากๆ   แล้วก็ไปคุยกับเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดท่านพูดอ้อมๆแอ้มๆ   บอกว่า   มันเป็นธรรมเนียม   เขาทำกันมานานแล้ว ธรรมเนียมน่ะถูกแล้ว   แต่ถ้ามันไม่ถูกเราต้องแก้  เออ   คนมันมากแก้ยากนะ   ท่านก็ว่าไปอย่างนี้

เลยบอกไปว่า ใต้เท้าไม่ต้องเป็นห่วงดอก ชาวบ้านผมแก้เอง แก้พระเถอะ ท่านถามว่า จะแก้อย่างไร ทำจดหมาย ส่งเวียนไปทุกวัด วันเพ็ญพุธนี้ ห้ามออกบิณฑบาต ญาติโยมไม่ออกแล้วละ แต่พระจะออกมาอีก   อย่าให้ออก   เจ้าคณะจังหวัดก็ยอมทำตาม  เซ็นหนังสือส่งทุกวัดในบริเวณตัวนครเชียงใหม่ ซึ่งมี ๗๐ วัด พอถึงวันเพ็ญพุธเข้าจริงๆ ชาวบ้านไม่มาเลย ไม่ได้ใส่บาตร

พระวัดโน้น เมืองไกลโน่น นอกเมืองใกล้สนามม้าบ้านเด่นโน่นออกมา ๒ องค์ คุณโยมศรีเที่ยวขี่รถไปตรวจการ พระวัดไหนออกบ้าง ไปเจอเข้า พระคุณเจ้าไปไหนล่ะ จะไปบิณฑบาตอุปคุตสักหน่อย โอ้บ่มีแล้ว เขาเลิกแล้ว หลวงพ่อกลับวัดเถอะ พระ ๒ องค์กลับวัดไป ไม่ได้มาตั้งแต่นั้นจนถึงบัดนี้ ไม่มีพระอุปคุตแล้ว พระอุปคุตไม่ขึ้นจากสะดือทะเลแล้ว ขึ้นไปทำไมดึกๆ นอนดีกว่า มันเสียเวลา


   เรื่องชาวบ้านนี้ มันแก้ได้  เราอย่านึกว่าแก้ไม่ได้  สำคัญอยู่ที่คนแก้  คนแก้ตั้งใจแก้หรือไม่ และเมื่อเราตั้งใจแก้ก็ต้องสร้างตัวเราก่อน  สร้างบารมีให้คนเขาเคารพ  เชื่อฟัง  ให้เขาเลื่อมใสศรัทธา   เมื่อเขาเลื่อมใสศรัทธา  เขาก็เชื่อเรื่องที่เราพูด  เขาก็ทำถูกได้ แก้ได้  ทีนี้ คนเราจะแก้อะไรนั้น   ต้องมีอันหนึ่ง สำคัญ คือ ความเสียสละชีวิตจิตใจให้แก่ธรรมะ  ยอมตนที่จะปฏิบัติทุกอย่างตามหน้าที่ให้แก่พระพุทธศาสนา   ให้เสียสละแล้วก็ทำได้   ถ้าไม่เสียสละมันไม่กล้าพูดมากไป  ถ้าสึกออกไปแล้วเพื่อนจะตีหัวเอา ไม่กล้า  นี้เรามันต้องมีน้ำใจเด็ดเดี่ยวว่า ยอมเสียสละเพื่อแก้ไขพุทธบริษัท สิ่งใดผิด ต้องบอก สิ่งใดถูกต้องสรรเสริญ ทำอย่างนี้มันก็แก้ได้ ทำให้ชาวบ้านเข้าใจถูกขึ้นในเรื่องอะไรต่างๆ แล้วก็พูดเรื่อยไป แก้เรื่อยไป คนที่รับฟังเขาก็หยุดเหมือนกั้น เขาหยุดได้   เรากล้าจะแก้ไข โยมก็ยินดีตามหลังพระ ถ้าพระหยุด โยมก็หยุดเหมือนกัน มันอยู่ที่เรา ถ้าพระไม่ช่วยกันแก้ก็ไปไม่รอด สิ่งใดผิด มันอยู่ที่เรา ถ้าพระไม่ช่วยกันแก้ก็ไปไม่รอด สิ่งใดผิดมันก็ผิด ๓ ชั่วโคตร ไม่รู้จักจบสิ้น แต่แก้แล้วมันเป็นของถูกขึ้นมา

 


Create Date : 23 กันยายน 2565
Last Update : 23 กันยายน 2565 10:58:26 น. 0 comments
Counter : 500 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space