|
|
ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ เรียกว่าเป็นฝ่ายอกุศล ฝ่ายไม่ดีที่เกิดขึ้นในใจของเรา ในใจเรานั้นมันคล้ายกับมี ๒ หน้า หน้ามืด หน้าสว่าง คล้ายกับเดือนข้างขึ้นข้างแรม ข้างขึ้นเดือนแจ้ง ข้างแรมเดือนมืด ใจเราก็อย่างนั้นแหละ ข้างฝ่ายอกุศลเกิดมันก็มืดด้วย โลภ โกรธ หลง ทีนี้ ถ้าหากว่าตรงกันข้าม ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง มันก็มีอยู่ในใจเหมือนกัน
ถ้าเป็นเรื่องดี ก็มีประโยชน์: อโลภะ เกิดขึ้นเป็นความคิดที่ดี คิดจะให้ทาน คิดจะมีเมตตา คิดจะทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์เป็นอโลภะ อโทสะ ไม่ร้อน ไม่หุนหันพลันแล่น ใจเย็นใจสงบ อโมหะ แจ้งอยู่ตลอดเวลา หมายความว่า มองอะไรเห็นชัดแจ่มแจ้ง ไม่มัวเมา ไม่มืด ไม่บอด อันนี้ เป็นฝ่ายดี
เมื่อรู้จักฝ่ายชั่วร้าย ฝ่ายดีไม่ต้องพูดมาก มันตรงกันข้าม แล้วก็เป็นสิ่งที่เป็นคุณ เราควรให้ฝ่ายชั่วดับไปให้ฝ่ายดีเกิดขึ้น และช่วยกันประพฤติดี ทำความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา อย่าให้มีความโลภ แต่ให้มีความไม่โลภ อย่าให้มีความโกรธ ให้มีความไม่โกรธ อย่าให้มีความหลง แต่ให้มีความไม่หลง เกิดขึ้นในใจ เรียกว่าเป็นฝ่ายกุศลมูล คนไม่โลภ ก็บริจาคทาน คนไม่โกรธ ก็มีใจเมตตา ปรารถนาความสุขความเจริญแก่เพื่อนมนุษย์ คนไม่หลง ก็มองเห็นอะไรแจ่มแจ้งตามสภาพที่เป็นจริง สิ่งทั้งหลายมันก็ไม่วุ่นวาย
นี่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในใจของเรา ต้องคอยกำหนด รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นแล้วคอยแก้ไข เรื่องการปฏิบัติที่สำคัญก็อยู่ตรงนี้ ตรงที่คอยกำหนดรู้ความคิดของเรา แล้วก็การกำหนดรู้อยู่ที่จิตตัวเดียว ปากก็มาจากจิต มือก็มาจากจิต จิตพาจูงไป การกระทำทางกายทางวาจานั้นมาจากจิต จิตเริ่มก่อน ถ้าจิตใจเริ่มดีก็พูดดีทำดี ถ้าจิตใจเริ่มชั่วก็พูดชั่วทำชั่ว อะไรๆมันก็ออกมาจากจิตใจของเราทั้งนั้น ไม่ใช่มาจากที่ไหน เพราะฉะนั้น การปฏิบัติความจริง ไม่ใช่เรื่องมาก มีเรื่องเดียว คือ “คุมจิต” เท่านั้น
ถ้าคุมจิตได้คือการรักษาสมาธิ การรักษาปัญญาก็จะมีขึ้น มันมาพร้อมกัน แต่ถ้าเราไม่ได้คุมจิตมันก็จะไปกันใหญ่ เรื่องอะไรร้ายๆ ไม่ดีไม่งามรุมกันมาเถิด เพราะเราไม่ได้คุมไม่ได้รักษาจุดศูนย์กลางไว้ เราต้องคุมจิตให้อยู่ คุมไว้ด้วยสติ ด้วยปัญญา คอยกำหนด
ที่ไปนั่งกัมมัฏฐาน ก็คือหัดคุมจิต คอยคุมไว้ทุกโอกาส ไปไหนก็คุมไว้ ยืน เดิน ก็คุมไว้ ทำบ่อยๆ มันก็ชินเป็นนิสัย มีสติทันท่วงที คล้ายกับบริหาร ฝึกบ่อยๆ ก็เก่ง คนขับรถยนต์เป็นก็เพราะว่าขับนาน มันก็เป็น เก่ง หลบได้ทันท่วงที นักมวยก็เหมือนกัน ชกบ่อยๆก็เก่งเตะมารับได้ คนไม่เป็นก็ต้องขึ้นไปเป็นกระสอบทรายให้เพื่อนต่อยเล่นเท่านั้นเอง ลักษณะเป็นอย่างนั้น
อารมณ์ก็เช่นกัน เหมือนคู่ชกของเรา มันชกเราหน้าดำ ตาแดงไปตามๆกัน ถ้าเราไม่คุ้น เพราะฉะนั้น เราต้องหัดต่อสู้ หัดควบคุม หัดรักษาจิตใจไว้ให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย แล้วเราจะรู้สึกว่าใจเราเย็น ใจเราสบาย อารมณ์ร้ายๆ ไม่เกิดขึ้นรบกวนจิตทำให้วุ่นวาย นั่นแหละคือสิ่งที่เราต้องการ การปฏิบัติอยู่ตรงนั้น ตรงที่จิตใจสงบ สะอาด สว่าง อยู่ด้วยปัญญา รู้เท่า รู้ทัน ในสิ่งทั้งหลายตามสภาพของมัน เราก็อยู่สบาย ไม่วุ่นวายมากเกินไป นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น กับ สิ่งทีเกิดขึ้นในใจของเรา ให้รู้ไว้
วันนี้ ก็ให้จำไว้ย่อๆ ว่า (๑) จิตของมนุษย์นี้ไม่มีกิเลสอยู่ตลอดเวลา กิเลสเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว เมื่อมีอารมณ์มากระทบ จิตนี้เป็นสิ่งแก้ได้ ไม่ใช่แก้ไม่ได้ การแก้อยู่ในอำนาจ อยู่ในจิตของเรา (๒) ประการที่สอง ให้รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต ทำจิตให้เศร้าหมอง เรียกว่ากิเลส ตัวความอยากมี ๓ ตัว คือ โลภ โกรธ หลง เป็นตัวกิเลสใหญ่ที่ทำให้จิตของเราเป็นอกุศลเป็นบาป ซึ่งเราต้องแก้ด้วยความยินดีตามมีตามได้ พอใจในการเสียสละ มันแก้โลภได้ ส่วนโทสะนั้น ต้องมีสติ มีปัญญาคอยคุมไม่ให้มันเกิดขึ้นครอบงำจิตใจตั้งอยู่นานๆ เอาสติคุมก่อนแล้วเอาปัญญามาพิจารณา ความหลงก็ต้องศึกษาให้รู้ทั่วตามสภาพที่เป็นจริง ในเรื่องต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในจิตใจของเรา (๓) งานสำคัญที่เราควรทำทุกวันๆ ก็คือการชำระตัวเอง พิจารณาตัวเอง เพื่อให้รู้ว่าอะไรที่เกิดขึ้น อะไรที่ตั้งอยู่ แล้วมีอะไรเกิดต่อมา เราควรจะแก้ไขมันโดยวิธีใด อันนี้ เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจก่อน
Create Date : 30 มิถุนายน 2565 |
Last Update : 22 มกราคม 2567 10:13:02 น. |
|
0 comments
|
Counter : 451 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|