กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
สิงหาคม 2565
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
space
space
28 สิงหาคม 2565
space
space
space

องค์มรรคที่ ๔ สัมมากัมมันตะ



 
    องค์มรรคที่  ๔  กะตะโม  จะ  ภิกขะเว  สัมมากัมมันโต  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  การทำงานชอบเป็นอย่างไรเล่า ?  ปาณาติปาตา เวระมะณี   เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการฆ่า  อะทินนาทานา  เวระมะณี   เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ กาเมสุ  มิจฉาจารา  เวระมะณี  เจตนาเป็นเครื่องเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย.  อะยัง  วุจจะติ  ภิกขะเว  สัมมากัมมันโต  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  อันนี้  เรากล่าวว่า สัมมากัมมันตะ  
 
    การงานเป็นสิ่งคู่กันกับชีวิต  เราจะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรไม่ได้  เพราะชีวิตต้องอาศัยงาน  งานก็อาศัยชีวิต   งานคือชีวิต  ชีวิตคืองานบันดาลสุข  เราจะอยู่เป็นสุขด้วยการทำงาน  เราสังเกตว่า  วันไหนเราได้ทำอะไรมากๆ  ละก็สบายใจ  สำหรับคนที่ขยัน.  คนที่เกียจคร้านเขาไม่สบายดอก  เขาชอบนอน  ชอบพักผ่อน  ชอบทำอะไรที่ไม่เป็นเรื่อง  พวกเกียจคร้าน   แต่ถ้าพวกขยันเขารักงาน  ทำงานตลอดเวลา  มีความเพลิดเพลินอยู่ในงาน   ได้ทำงานแล้วสบายใจ  รู้สึกว่าชีวิตมีค่า  มีราคา  คนเราจึงต้องทำงาน   คนที่ทำงานแล้วจิตใจไม่ฟุ้งซ่าน  ไม่ก่อกรรมชั่ว  พวกที่ทำชั่วมักจะเป็นพวกว่างงาน ไม่มีงานทำเลยทำเรื่องยุ่งเรื่องเสียหาย.
 
    เคยเข้าไปในคุกที่ปีนัง  คนไทยไปติดอยู่หลายคน  เขานิมนต์เข้าไปเทศน์กับคนไทย  ไปเดินดูในคุก  นักโทษไม่มีใครว่าง  เขาให้ทำงานทั้งนั้น   ไม่มีอะไรทำก็ให้เอากาบมะพร้าวมานั่งทุบเล่น  ทุบกาบมะพร้าวเรื่อยไป  ทุบหิน  ทุบมะพร้าวบ้าง  ทำโน่นทำนี่  ไม่ให้อยู่นิ่ง  เขาบอกว่าผู้ต้องขังนี่อยู่นิ่งไม่ได้  อยู่นิ่งแล้วฟุ้งซ่าน  เดี๋ยววางแผนจะทำโน่นทำนี่ให้เสียหาย  ต้องจ่ายกำลังส่วนเกินออกไปเสียให้มันเป็นงานเป็นการ  จึงมีงานทำกันทุกคน  ไม่ให้อยู่เฉย ๆ.   
คุกในเมืองไทยเรานี่ก็เหมือนกัน   เขาให้มีงานทำ  ทุกคนต้องทำงาน  แล้วก็ไม่ยุ่ง  จิตใจสบาย  มนุษย์เราจึงมีงานเป็นอาชีพ   เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต   เพื่อให้เกิดความสุขความสบายในทางจิตใจด้วย  แต่ว่าการกระทำนั้นต้องไม่เป็นการเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน  ทำอะไรต้องถือหลักว่า  “จะไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่นให้เดือดร้อน  ไม่ทำใครให้เดือดร้อน”   จึงจะดี  ในสัมมากัมมันโต นี้  ท่านจึงวางหลักไว้ว่า   “ให้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ให้งดเว้นจากการลักของเขา  ให้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม  เท่ากับศีล  ๕  ข้อมาอยู่ในสัมมากัมมันตะนี้   ๓  ข้อ  อยู่ในสัมมาวาจาอีก ๑  ข้อ
 
  ปาณาติบาต  -  การฆ่า.   ถ้าพูดกับคนบางประเภท  เขาบอกว่า  เรื่องฆ่านี้บางทีก็จำเป็นเหมือนกัน  เช่นฆ่าสัตว์เอามาเป็นอาหาร ฆ่าปูฆ่าปลาอะไรอย่างนี้  เขาว่ามันจำเป็นแก่การดำรงชีวิต  อันนี้ก็ไม่เถียงเพราะว่าคนบางพวกอยู่ในที่ที่จะต้องทำอย่างนั้น  ต้องทำปาณาติบาต  คือการฆ่าสัตว์  เป็นชาวประมงจับปลา  หรือว่าคนที่อยู่ตามริมน้ำ ริมเขา  ก็ต้องไปล่าสัตว์เอามากินเป็นอาหาร  พวกนั้นจำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น  แต่ว่าเราก็ต้องมีข้อจำกัดไว้บ้าง   เช่นเราเป็นชาวประมง  เราหากินทางจับปลา  อย่าไปเป็นคนดุร้าย  ไปฆ่าเพื่อนมนุษย์ ไปฆ่าสัตว์ใดๆ  ไปฆ่ามนุษย์  ไปเป็นคนเหี้ยมโหดดุร้าย ให้เห็นว่าการจับปลานั้นเรื่องที่จำเป็นแก่การครองชีพ  อย่างนี้ก็เรียกว่ามีคุณธรรม 
ไม่ใช่มืดไปหมด  แต่ว่ามีแสงสว่างอยู่บ้าง   รู้จักยับยั้งช่างใจ  ไม่เหี้ยมโหดดุร้าย เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเรา  แต่ถ้างดเว้นไม่ฆ่าเลยมันก็เป็นเรื่องวิเศษไปอีกอย่าง  เหมือนคนในประเทศอินเดียเขาไม่ฆ่าเลย  ชาวอินเดียที่เป็นฮินดูเขาไม่ฆ่าสัตว์ เพราะเขาไม่กินเนื้อสัตว์ทุกประเภท  ไม่ว่าสัตว์อะไรเขาก็ไม่กิน กินแต่พืชผักเป็นอาหาร  เขาก็อยู่ได้  ร่างกายก็แข็งแรงใหญ่โตดี   ดูแขกแถวพาหุรัด ร่างกายล่ำสันทั้งนั้นทั้งๆ  ที่ไม่ได้กินเนื้อกินแต่พืชผักต่างๆ  เป็นอาหาร ประเทศอินเดียจึงต้องปลูกผักเป็นการใหญ่เพื่อเลี้ยงคน  ส่วนสัตว์อื่นๆ นั้น เช่นนกต่างๆ ก็ยังอยู่กันสบาย ไม่มีใครรังแก  เป็นการแผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้อยู่เย็นเป็นสุข
 
  อะทินนาทาน  ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้.  เราอยากได้อยากมีอะไร  ให้แสวงหาในทางสุจริต  ทำมาหากินตามหน้าที่ในทางสุจริต  เพื่อไปซื้อสิ่งที่เราอยากจะมีจะได้ ไม่ไปหยิบฉวยเอาของใครๆ มาใช้ประโยชน์ส่วนตัว   เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นการขโมย  เป็นการไม่ชอบไม่ควร  ควรจะเคารพในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของผู้อื่น  ของเราเรารักอย่างใด  ก็รักของผู้อื่นอย่างนั้น  ไม่ต้องการล่วงล้ำกรรมสิทธิ์ของกันและกัน  เรียกว่างดเว้นจากอะทินนาทาน  ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น  เพราะต่างคนต่างทำมาหากิน  ไม่ลักไม่ขโมยกัน เศรษฐกิจก็ดี  บ้านเมืองอยู่สงบเป็นสุขด้วย.
 
  กาเมสุมิจฉาจาร   นั้น  กินความกว้าง  ไม่ใช่หมายความแค่เพียงว่าไปทำชู้สู่ชายเท่านั้น  หามิได้  แต่หมายความว่า  ไม่ประพฤติผิดในกามประเวณี ในประเพณีของกาม  คือไม่เที่ยวซุกซนหาโรคหาภัยใส่ตน  เช่นเราไปเที่ยวกับผู้หญิงสำส่อน   อย่างนี้มันผิดประเวณีในทางกาม  เราจะต้องมีคู่ครองเป็นหลักเป็นฐาน  ถ้าไม่มีคู่ครองก็ถือว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์  แม่บ้านอยู่บ้านก็เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์  ไม่แตะต้องสิ่งเหล่านั้น  ถ้าจะมีก็ให้มีเป็นฝั่งเป็นฝา  ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร  “อดข้าวดอกสินะเจ้าชีวาวาย  ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา”   ในหนังสือพระอภัยมณีเขียนไว้  นางผู้หญิงคนหนึ่งพูดว่า อดข้าวดอกสินะเจ้าชีวาวาย  ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา อดเรื่องนั้น ไม่ตาย  อยู่ได้  เราก็ไม่ประพฤติผิดประเวณีในทางกาม  ทำให้ถูกต้องเมื่ออายุสมควร.
 
  การแต่งงานจะต้องคิดว่า  เราเลี้ยงเขาได้หรือเปล่า  เพราะเราไปเป็นสามีเขา  สามีหมายความถึงเป็นเจ้าของ  ภรรยา  แปลว่า   ผู้ที่เราจะต้องเลี้ยง  คำมันบ่งชัดไว้เลย  ภรรยา  แปลว่า   ผู้ที่ผู้ชายจะต้องเลี้ยง  ผู้ชายก็คือสามี  เพราะฉะนั้น  เราจะต้องดูกำลังกระเป๋าว่าเราจะเลี้ยงเขาได้  ถ้าเลี้ยงไม่ได้ก็อย่าไปยุ่งก่อน  อดทนไว้ก่อน   ไม่เป็นไรดอก  บางคนว่าธรรมชาติต้องการ  ธรรมชาติมันต้องการ  แต่เราคุมไว้ ธรรมชาติก็ไม่ว่าอะไรดอก  ไม่ถึงกับเป็นโรคประสาทดอก  ถ้าเราควบคุมจิตใจได้  คนที่เป็นโรคประสาทก็เพราะคุมไม่ได้  ไม่ควบคุมนั่นเอง  จึงเป็นอย่างนั้น  ต้องนึกถึงว่า  “หญ้าพอหรือไม่”  หญ้าที่จะเลี้ยงเขาน่ะ  มีนิทานเรื่องหนึ่งว่า
 
   มีพระองค์หนึ่งประสงค์จะสึก  เพราะจะได้รับมรดกเป็นเงิน  ๑,๐๐๐  กหาปณะ  ก็ไปทูลลาพระพุทธเจ้าว่าจะสึก  พระพุทธเจ้าว่า ทำไมจะสึกล่ะ  เวลานี้มีเงิน  ๑,๐๐๐  กหาปณะ  อยากจะไปสร้างบ้านสร้างเรือน  พระองค์บอกว่า  ไหนเอาเงิน  ๑,๐๐๐  กหาปณะมานับดูซิ  เอาเม็ดกรวดมาวางแทน  แล้วก็นับแบ่งเอาไปซื้อวัวเท่านั้น  ทำนั่นเท่านั้น  ทำนี่เท่านี้  พอไหม  ไม่พอ  คิดแล้วไม่พอ  ไม่พอแล้วเธอจะทำอย่างไร  ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ลาสิกขา 
แล้วพระองค์ก็เล่าเรื่องให้ฟัง   บอกว่า ในอดีตกาลนานมาแล้ว  มีพ่อค้าคนหนึ่ง  มีลาผู้ตัวหนึ่ง  เทียมเกวียนบรรทุกสินค้าไปขาย   พอไปถึงก็ปลดออก  เจ้าลาก็ไปเที่ยวทัศนาจรของมันตามเรื่อง ก็ไปเจอนางสาวลาเข้าตัวหนึ่ง  สวยดีติดใจ  พอเจ้าของขายของเสร็จก็เรียกลาตัวนั้น  แต่มันทำเฉย  เที่ยวเดินตามนางสาวลาเฉย  ไม่พูดไม่จา ทำหูทวนลมเสียอย่างนั้น  เจ้าของบ้านเข้าไปจับก็กระโดดขวิดหน้าขวิดหลัง  แสดงว่าฉันเป็นอิสระแล้ว  ฉันจะมีเมียแล้ว  เจ้าของมองๆ ดูก็รู้ว่าเจ้านี่ชอบใจนางสาวลา  เลยบอกว่า  ลาตัวนี้ไม่สวยดอก  ที่บ้านเรามีสวยกว่านี้  กลับไปถึงบ้านแล้วฉันจะจัดการให้.    ลาโง่นี่    เขาเรียกว่าลาโง่สมชื่อ  พอได้ยินเช่นนั้นก็เปลี่ยนใจ  ไปที่โน่นดีกว่า ก็เลยเทียมเกวียนต่อไป  
พอกลับถึงบ้าน เจ้าของก็เฉย  ไม่พานางสาวลามาให้สักที  ลาก็ประท้วงถามว่า  เป็นอย่างไร  สัญญาที่จะให้ไม่เห็นจัดการเสียที  เจ้าของบอกจะจัดการอยู่เหมือนกัน  แต่ว่าหญ้าที่ให้กินมีฟ่อนเดียวนะ  ถ้าได้นางสาวลามาก็ต้องแบ่งหญ้าฟ่อนเดียวนั้นให้นางสาวลากินด้วย  เอาไหมล่ะ   ลายืนนิ่ง  หญ้าไม่พอ   ก็เลยเปลี่ยนใจบอกไม่ต้องดอก   ถ้าเป็นอย่างนั้น  นิทานว่าเป็นอย่างนั้น 
เขาจึงพูดเป็นคำเตือนว่า “คิดถึงหญ้าเสียบ้าง”   ใครจะแต่งงานก็คิดถึงหญ้าเสียก่อนว่าพอหรือยัง  ไม่ใช่ว่าแต่งแล้วจะไปอยู่กับแม่ยายพ่อตา  เป็นภาระให้แก่เขาอีก  แล้วเดี๋ยวก็เกิดหลานออกมาอีกคน  หนักเข้าไปอีก  เดือดร้อน
 
   เพราะฉะนั้น  คิดดูซิ  หญ้าพอไหม  ถ้าหญ้าไม่พอก็อย่าไปยุ่ง  สวดมนต์ไหว้พระไปก่อน.  ขยันตั้งหน้าทำมาหากินไปก่อน  จนกว่าจะมีเงินมีทอง  แล้วก็ค่อยแต่งงานเป็นหลักเป็นฐานต่อไป  เมื่อยังไม่แต่งงานก็ไม่ประพฤติผิดประเวณี  คือ ไม่ไปเที่ยวสำส่อน.  ที่เราไปเที่ยวๆ น่ะ  ส่งเสริมสิ่งชั่วร้ายในสังคมทั้งนั้น  ส่งเสริมการค้ามนุษย์  การค้าเด็ก  ส่งเสริมโรคร้ายในสังคม  ส่งเสริมความชั่วร้ายทำลายศีลธรรมของสังคม    ไม่ดีทั้งนั้น   ก่อนบวชถ้าไปเที่ยวมาบ้างก็ให้อภัย  เพราะเรื่องยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง.  เห็นแจ้งเรื่องนั้น  แต่ไม่เห็นแจ้งในธรรมะ  ทีนี้บวชเรียนแล้วก็ให้นึกว่าเราบวชเรียนแล้ว   เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ได้รับการอบรมบ่มนิสัยในทางธรรมะแล้ว  เราจะไม่ส่งเสริมสิ่งชั่วร้ายต่อไป  เราจะอยู่อย่างนี้  อยู่อย่างสบายๆ.
 
   คราวก่อนนี้  หลายปีมาแล้ว  พบนายอำเภอคนหนึ่ง  แกเป็นนายอำเภออยู่สะเดา  นั่งรถไฟมาด้วยกัน  ผู้แทนราษฎรสงขลาถามแกว่า  นายอำเภอทำไมไม่แต่งงานสักที  แกตอบว่าผมไม่แต่งงานก็เป็นนายอำเภอได้  มีคนพูดกับผมบ่อยๆ  ว่า ทำไมผมไม่แต่งงาน  ปลัดกระทรวงมาก็ยังถามผม  ผมบอกว่าผมไม่มีแม่บ้าน  ผมก็มีข้าวให้ปลัดทานได้  แกบอกว่า ผมไม่อยากมี จะอยู่ไปอย่างนี้อยู่ไปจนแก่ออกรับบำนาญ  แล้วก็ไปสร้างบ้านอยู่ในสวนเงียบๆ  คนเดียว  สบายๆ  มีเงินมีทองก็จะสงเคราะห์เด็กๆ ที่ยากจนไปตามเรื่อง  พอนั่งรถมาถึงสุราษฎร์เห็นลงหายไป  พอกลับขึ้นมาถามว่าเรื่องอะไร  พี่สาวเขามาดักพบ   ไม่มีเรื่องอะไรดอก  พาผู้หญิงมาให้ดู   ผมไม่ชอบ  กวนใจไปเข้าเรื่อง  หาว่าพี่สาวกวนใจไม่เข้าเรื่องอีก.
 
   ผู้ชายที่เป็นโสดนี่ญาติๆ  ก็เป็นทุกข์  พ่อแม่ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน  เมื่อไรจะเป็นฝั่งเป็นฝาสักที พอได้แต่งแล้วก็สบายใจ.  วันก่อนนี้ไปในงานแต่งงานงานหนึ่ง  เป็นนายทหารถึงพันเอกแล้ว  หลวงพ่อรู้จักนายทหารคนนี้ตั้งแต่เป็นร้อยเอก   แกไปอยู่เชียงใหม่   อยู่เชียงใหม่หลายปี  กลับจากเชียงใหม่มาอยู่กับคุณพ่อ  ไม่เห็นผู้หญิงมาส่งสักคนเดียว  มีมาคนหนึ่งเป็นคุณยาย  ไม่ใช่สาวดอก  ผู้ชายหนุ่มๆ  รูปหล่อเป็นนายร้อยเอก  ไปอยู่เชียงใหม่   ไม่มีแฟนนี่นับว่าเก่งพอใช้  ใจดีพอใช้ 
นั่งมาในรถไฟก็เลยคุยกับพ่อเขา    บอกว่าลูกโยมนี่ดีนะ   พวกนายทหารหนุ่มๆ มาอยู่เชียงใหม่แล้วตกหลุมทั้งนั้นแหละ   ไม่มีใครรอดไปได้สักคนเดียว  แต่ลูกโยมไม่เห็นมีอะไร  มันไม่ค่อยยุ่ง  ทำแต่งานแต่การ  เลิกงานแล้วก็กลับบ้าน  เล่นกีฬากับเพื่อนฝูง   เหล้าก็ไม่ดื่ม   บุหรี่ก็ไม่สูบ  กับผู้หญิงยิงเรือก็ไม่ค่อยชอบ  เฉยๆ  เป็นคนบริสุทธิ์ไปได้  นานๆจะเจอสักคน  
หลายปีห่างกันไปไม่เคยพบ   มาอยู่ลพบุรีแล้วย้ายไปไหนต่อไหน   ผลที่สุดย้ายไปอยู่โคราช   วันนั้น   เขานิมนต์ไปแต่งงาน  ไปเจอเข้า  เอ้า   เจ้าบ่าวผู้การนี่เอง   เลยพูดกับเจ้าสาว  เจ้าสาวนี่เป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด  เลยบอกว่า   หนูนี่ได้สามีดีที่สุดแล้ว  เพราะว่า สามีของหนูหลวงพ่อรู้จักตั้งแต่เป็นร้อยเอก   อยู่เชียงใหม่ตั้งหลายปี  ไม่มีแฟน  เก่งพอใช้  นี่เขาเรียกว่าคู่กัน  คอยกันจนเจอกันจนได้  แต่งกันเรียบร้อยแล้ว   ได้ลูกเป็นผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว  อยู่มาได้  อยู่มาเฉยๆ
เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่เรา  ไปปรนเปรอมัน   ไปคิดมากๆ  คอยคิด  เรียกว่าให้อาหารมัน  อาหารใจ  คิดมากอย่างนั้นอย่างนี้  เห็นสวย เห็นงาม  ถ้าไม่ค่อยคิดมันก็เฉยๆ  แล้วก็ไม่เสียหาย  ข้อนี้  เป็นการประพฤติชอบ  ตามหลักที่เรียกว่า สัมมากัมมันตะ  คือ  การกระทำการงานชอบ  นี่เป็นองค์ที่ ๔.
 




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2565
0 comments
Last Update : 27 มกราคม 2567 15:05:19 น.
Counter : 301 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space