กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
มิถุนายน 2565
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
space
space
1 มิถุนายน 2565
space
space
space

บุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง ต่อ




   มีคนอยู่ครอบครัวหนึ่ง ผมคุ้นเคย มีลูกชายคนเดียว แล้วก็มีนาไร่เยอะ ร่ำรวยคนหนึ่งละในจังหวัดนั้น ลูกชายไม่เอาถ่าน ความจริงก็เรียนได้ ธ.บ. เหมือนกันละ ได้สวมเสื้อครุยแล้ว แต่ว่าไม่เอาถ่าน ทำงานก็อย่างนั้น ทำแล้วก็ชอบเที่ยวชอบสนุก ภรรยาก็ไม่มีเป็นหลักเป็นฐาน เอาคนนั้นมาอยู่ได้ ๗ วัน พาไปส่ง พาคนนั้นมาอยู่ได้ ๑๕ วันพาไปส่ง   ถ้าไปถามมารดาเขา โอ้ย ลูกสะใภ้ ฉันจำหน้าไม่ได้ ไม่รู้ว่าใครมั่ง มันเอามาแล้วมันก็เอาไปคืน มันอยู่กันอย่างนี้แหละ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันมันจะเป็นฝั่งเป็นฝา แล้วก็จ่ายเงินเปลือง ทำหนี้ทำสินไว้บ่อยๆ พ่อแม่ก็ต้องไปไถ่คืน ต้องไปจ่ายกันอยู่เสมอ เป็นทุกข์เดือดร้อน

ผมไปเยี่ยมครอบครัวนี้บ่อยๆ เขาก็เปิดเผยให้ฟังว่าจะทำอย่างไรในเรื่องนี้ ก็เลยแนะนำว่า น้าทั้งสองนี้ต้องเด็ดขาดหน่อย ปีนี้ปี ๒๕๐๐ เรียกลูกมาพูดกันหน่อย ทำความเข้าใจกัน แกก็ถามว่าจะทำความเข้าใจกันอย่างไร บอกว่า เรามาตั้งต้นชีวิตใหม่กันทีเถอะ ปี ๒๕๐๐ นี้ คือว่าเงินที่จะให้ใช้ปีหนึ่งให้เท่านั้น ใช้ให้พอ ถ้าใช้หมดแล้วไปเป็นหนี้เป็นสินอะไรกัน  ไม่ยอมไปจ่ายทั้งนั้น  ต้องเด็ดขาดไปอย่างนี้   แล้วก็ถามว่าคุณน้าทั้งสองทำได้ไหมล่ะ

น้าผู้ชายบอกว่าผมทำได้  เอาจริงกันเสียที  น้าผู้หญิง  บ่นออดแอด  มันก็ลำบากลูกของเรา ถ้ามันไปตกทุกข์ได้ยาก  มันก็ต้องช่วยมันอีกนะแหละ ว่าอย่างนั้น เลยบอกว่า นี่แหละความเสียหายมันอยู่ที่คุณน้ารักลูกไม่ถูกเรื่อง  ทำให้ลูกเสีย  ต้องเด็ดขาด ผลที่สุดไม่รับหลักการ แม่ทำไม่ได้ เพราะใจอ่อนรักลูกนั่นเอง ลูกก็ถลุงต่อไปจนคุณแม่ตาย พอแม่ตาย เหลือแต่พ่อ พอก็เด็ดขาด ออกจากบ้านเลย ไปอยู่วัด ถือศีลกินเพล ไม่มาบ้านเลย ไม่ไปเฉยๆ นะ ไม่ให้สตางค์ไว้ใช้เสียด้วย เรื่องมันเป็นอย่างนั้น เจ้าลูกชายก็เดือดร้อนน่าซี่ ไม่มีสตางค์ใช้

   ผมไปเยี่ยม  ไปถึงก็เอาน้ำมาถวาย  ปกติไปเยี่ยมนี่เคยซื้อน้ำเย็น  โอเลี้ยงมาถวายนะ วันนั้น ถวายน้ำเฉยๆ แล้วบอกว่าผมไม่ไหวแล้วเวลานี้  ต้องเก็บมะพร้าวหลังบ้านไปขายแล้ว สะตงสตางค์ไม่มี  ตั้งแต่แม่ตายผมลำบากแย่  เลยบอกว่า  ดีแล้วละ  อย่างนี้ดีแล้วเราจะได้รู้สึกตัวเสียบ้างว่า มันลำบากอย่างไร  อยู่สบายมานานแล้วนี่ ไม่เคยลำบาก  แม่ตายแล้วลำบากเสียมั่งจะได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที  เรามันไม่ไหวนี่  บทเรียนแบบนี้มันหนักหน่อย

หลวงพ่อช่วยทีเถอะ   

ช่วยยังไง ?

ไปตามพ่อกลับบ้านที บอกว่าผมแย่แล้ว ว่าต่อไปนี้จะไม่เลอะเทอะแล้ว เอ้า ก็ไปให้เขาหน่อย เสร็จแล้วก็ไปเหมือนกัน ไปติดต่อกับพ่อเขา เล่าเรื่องให้ฟังเสร็จ พ่อบอกว่า ผมยังไม่กลับ กลับไปก็โน้นแหละเผาศพแม่เขา ตอนนี้ ยังไม่กลับ กลับมาบอก เออ ไม่สำเร็จโว้ย ฉันไปเทศน์เอากัณฑ์ใหญ่แล้ว ท่านไม่ยอม ท่านใจแข็งจริง ก็ดีเหมือนกัน เราจะได้ดีขึ้นหน่อย คราวนี้ ว่าซ้ำมันอีก หน้าเศร้าสร้อยหงอยเหงา มันก็ยังนี้แหละ เอาจริงเข้ามั่งมันก็ค่อยยังชั่ว  แต่ว่าผลที่สุดก็ต้องช่วยอยู่ดี ไปไม่รอด เพราะความรักมันตัดไม่ขาด   พ่อแม่รักลูกตัดไม่ขาด   แต่ลูกตัดพ่อตัดแม่ได้ พี่ตัดน้องไม่ค่อยได้ แต่น้องตัดพี่ได้ พี่ฆ่าน้องไม่ค่อยได้นะ แต่น้องฆ่าพี่ได้ เรื่องมันเป็นอย่างนั้น พ่อแม่เราบุญคุณเหลือหลาย ถ้าเรานั่งคิด

  เพราะฉะนั้น เขาสอนให้คิดอยู่บ่อยๆ ให้นึกถึงเสียบ้าง อย่างน้อยวันหนึ่งสักครั้งหนึ่ง  ถามตัวเองว่า ใครให้กำเนิดเรามา ใครเลี้ยงเรามา ใครให้การศึกษาแก่เรา  ไอ้ที่เราได้เป็นเนื้อเป็นตัว มีความสุข   ความสบายอยู่ในชีวิตประจำวันนี้เพราะใคร ?   ตั้งปัญหาถามเสียบ้าง  ถ้าคิดอย่างนี้ เราก็จะรักมากขึ้น แล้วก็จะทำอะไรให้ท่านสบายใจ การทำให้พ่อแม่สบายใจนี้ ถือว่าเป็นหน้าที่ คือเราเป็นลูกนี่ ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เราก็ต้องเลี้ยงท่านตอบแทน
ช่วยเหลือกิจการงานให้แก่ท่าน
เจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องรักษา
ประพฤติตนให้เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่
แล้วก็ทำตนให้เหมาะสมที่จะรับมรดกของท่านต่อไป
เมื่อท่านตายไปแล้วก็ต้องทำบุญอุทิศไปให้ท่าน ดำรงวงศ์สกุลของท่านไว้  อันนี้ เป็นหน้าที่ของลูกที่จะพึงกระทำ.

   ถ้าพูดย่อๆ สั้นๆ ก็ว่า

   เมื่อพ่อแม่ยังอยู่นั้น เราต้องเลี้ยง การเลี้ยงพ่อแม่นั้น เลี้ยง ๒ สถาน เลี้ยงกาย กับ เลี้ยงใจ  เลี้ยงกาย หมายความว่าให้ท่านอยู่สบาย ให้มีที่อยู่ที่กิน ที่หลับที่นอน ห้องน้ำ ห้องส้วม ทำให้ท่านอยู่สบาย ถ้าเราสบายแล้ว ต้องทำให้ท่านสบายพอสมควร เช่น บ้านช่องไม่ค่อยเรียบร้อย ไปซ่อมไปแต่งให้สบาย ทำเรือนชั้นเดียวให้พ่อแม่อยู่ คนแก่สองชั้นขึ้นไม่ไหว ขึ้นลงลำบาก ทำห้องน้ำห้องส้วมไว้ให้ได้ใช้น้ำใช้ส้วมสะดวก ไปไหนมาไหนก็ไม่เดือดร้อน สบาย นี่เรียกว่าเลี้ยงกายให้สบาย

   เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องรักษา ไอ้เรื่องรักษานี่นะ สมัยนี้พ่อแม่เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ามีเงินมีทองก็มักจะจ้างพยาบาลให้ดูแลรักษา เมื่อมีพยาบาลแล้วก็นึกว่ามีคนรักษาแล้ว เราเป็นลูกไม่ค่อยเข้าใกล้ ไม่ไปเยี่ยมเยียนถามอาการ ๔ วัน ๕ วันหายไป แล้วก็โผล่หน้าเข้ามาคุยเสียทีหนึ่ง เห็นแม่นอนอยู่ เอ้า หายไป เวลาตื่นก็ไม่มา มาเวลานอนเสียด้วย แม่ตื่นขึ้นไม่เห็นลูก อันนี้ เขาเรียกว่า ไม่รู้น้ำใจ

   น้ำใจของแม่ของพ่อ   คนไหนจะมาเยียวยารักษามันก็ไม่ชื่นใจเหมือนกับลูกในไส้ดอก ลูกไปรักษานี่มันชื่นใจนักหนา เพียงแต่เข้าไปจับมือนวด จับเท้าบีบ ถามว่าแม่เป็นอย่างไรบ้าง วันนี้ ดูอาการแม่ดีขึ้น กินข้าวได้หรือเปล่า นอนหลับหรือเปล่า นี่มันเป็นยาวิเศษนะ อย่านึกว่าเรื่องเล็ก ไอ้เรื่องอย่างนี้ เป็นยาชั้นดีเลย ที่จะช่วยให้พ่อแม่หายเจ็บหายไข้

   ให้เราสังเกตว่า พ่อแม่เจ็บหนัก เขาโทรเลขไปบอกลูกซึ่งอยู่ห่างไกล แม้เจ็บหนักก็ยังไม่ตาย เอาใจไว้คอยว่าอย่างนั้น แต่พอลูกมาถึงที่ อยู่ไม่เท่าใดก็สิ้นใจ เขาบอกคอยคุณอยู่ เรียกว่าเอาใจไว้คอย ยังแข็งใจหายใจอยู่ ถ้าลูกไม่มากูไม่ตาย บ่นว่ายังงั้นเถอะ แข็งใจไว้คอย นี่พ่อแม่เป็นอย่างนั้นคอยลูกๆ เรามีหน้าที่เป็นลูกนี้ต้องเอาใจใส่ ต้องดูแลรักษาเยียวยา นั่งใกล้ๆชวนคุย อ่านหนังสือธรรมะให้ฟัง ท่านต้องการรับประทานอะไร ก็ต้องไปหามาให้กิน อย่างนี้จึงจะดี

   ในหนังสือเซ็น เป็นหนังสือจีน เขาเรียกว่า “ยี่จับสี่ห่าว” มีเรื่องนิทานเกี่ยวกับความกตัญญูหลายเรื่อง ดีๆทั้งนั้นละ ๒๔ เรื่อง เรื่องดีๆ มีบางเรื่องน่าขำ คือว่า แม่ป่วยแล้วก็เป็นคนยากจน เจ้าลูกชายก็นั่งพัดให้แม่  พัดตลอดเวลา นั่งๆ พัดไปนึกว่า เอ เรานี่พัดอยู่อย่างนี้ไม่ไหว มันต้องง่วงแล้วต้องหลับ ถ้าหลับยุงก็จะกัดแม่ แล้วเราจะทำอย่างไร ถ้าเราหลับไม่ให้ยุงกินแม่ ? นึกได้ เลยถอดผ้านุ่ง ถอดเสื้อออก เอาไปคลุมให้แม่หมด เสร็จแล้วก็นอนคว่ำเปิดหลังให้ยุงกิน ถ้ายุงกินก็มากินข้าเถอะวะ เอาผ้าคลุมแม่แล้วยุงมันจะไปกินแม่ทำไม เลยนอนเปิดหลังให้ยุงกินแทนแม่ อันนี้ คือความรักของลูกที่มีต่อแม่

   อีกเรื่องหนึ่ง ที่ขำกว่านั้น แม่ป่วยแล้วอยากจะกินหน่อไม้ หน้านั้น มันก็เป็นฤดูแล้ง หน่อไม้ไม่ค่อยจะมี   ลูกชายก็รู้ว่าแม่อยากจะกินหน่อไม้ ก็เที่ยวไปในป่า  เดินพูดกับกอไผ่ กอไผ่เอ๋ย แม่ฉันป่วย อยากจะกินแกงหน่อไม้   งอกขึ้นมาสักหน่อสองหน่อเถอะ ให้ฉันได้เอาไปต้มไปแกงให้แม่กิน พูดทุกวัน วิ่งไปพูดทุกวัน   จนต้นไผ่ทนไม่ไหว   ต้องงอกหน่อขึ้นมา ให้ลูกชายเอาไปต้มให้แม่กิน นี่เขาเรียกว่าเรื่องฟังแล้ว มันไม่น่าจะเป็นไปได้   มันไม่เป็นไปได้   ไอ้ที่เราจะวิ่งไปบอกกอไผ่ให้งอกหน่อน่ะ มันเป็นไปไม่ได้   แต่เนื้อเรื่องมันอยู่ตรงนี้    ตรงที่ว่าลูกชายอุตส่าห์วิ่งไปหาจนได้ วิ่งไปหาหน่อไม้มาจนได้ แสดงน้ำใจว่าแม่ต้องการอะไร เราต้องหามาให้แม่กินจนได้ ยิ่งเจ็บไข้ได้ป่วยต้องไปหามา แพงก็ต้องหา ยากก็ต้องหา คือน้ำใจต้องไปหา หาให้แม่กินจนได้ นี่ก็มี
 


   ในหนังสือสามก๊ก   ก็มีเรื่อง    เรื่องอะไรล่ะ   เรื่องลกเจ๊ก  เวลาขงเบ้งไปเจรจาความเมืองที่เมืองกังตั๋งน่ะ พอไปถึงเมือง แหม ขุนนางเมืองกังตั๋งมีโลซกเป็นหัวหน้า เขามักจะพูดล้อเลียนใครๆ ว่า ไอ้โลซก โลซกไม่ใช่คนอย่างนั้น ไม่ใช่คนเซ่อๆ อะไร   โลซกเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน   เป็นพวกบูชาสันติภาพ   ไม่อยากจะรบทัพจับศึก  อยากจะผูกมิตรไมตรีกัน ไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน เป็นคนที่ชอบสันติ เลยไปหาขงเบ้ง ไปเจรจาอันนี้ พอขงเบ้งมาก็ แหม พวกขุนนางฝ่ายพลเรือนอื่นๆ นะ โลซกเป็นหัวหน้า   เตรียมรับปากไว้เชียว  จะปะคารมกับขงเบ้งขึ้นมา เรียกว่า สองเพลงตกม้าตาย สามเพลงตกม้าตาย ไปไม่รอดทั้งนั้นแหละ ขงเบ้งตอกหงายไปเลย  ผลที่สุด ลกเจ๊ก ขึ้นมา ข้าพเจ้าชื่อลกเจ๊ก

   ขงเบ้งว่า อ้อ เมื่อเป็นเด็กเคยลักส้มให้มารดา ว่าอย่างนั้น ว่าเสียคนไปเลย หาว่าลกเจ๊กเป็นคนมือไวใจโจร ลักส้มไปให้แม่

   ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ลกเจ๊กไม่ใช่เด็กมือไวใจโจร   ถ้าเป็นเด็กมือไวก็ไม่ได้เป็นขุนนางนะซี่ แต่ว่าเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณแม่  พ่อไม่มี  เลยก็รู้แต่คุณแม่  แม่ชอบกินส้ม   วันหนึ่ง เศรษฐีเขาทำบุญแซยิดที่บ้าน ลกเจ๊กก็เลยไปรับเชิญว่าอย่างนั้น เขารับเชิญให้ไปกินเลี้ยง ธรรมเนียมจีนเขา ก่อนจะกินข้าว ก็กินเม็ดแตงโมบ้าง กินส้มบ้าง กินเล่นไปก่อน ก่อนจะถึงเวลากินข้าว พอลกเจ๊กไปหยิบส้มมากินผลหนึ่ง พอปอกกินเข้าไปกลีบเดียว มันหวานชื่นใจ กลืนไม่ลง นึกถึงคุณแม่กลืนไม่ลง เลยนึกในใจว่า แหม  คุณแม่ชอบส้มแบบนี้  ต้องเอาไปสักสองผล เลยหยิบใส่ในมือเสื้อ ข้างละผล มือเสื้อมันกว้างนี่   เสื้องิ้วนะ   เสื้อโบราณจีนเขาใช้   พอเอาส้มใส่ในมือเสื้อแล้วก็เที่ยวเดินทำท่าพนมมือเรื่อยไป   ทำท่าเป็นเด็กอ่อนน้อมเสียเหลือเกินละ  ความจริงกลัวส้มหล่นเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร

   พอถึงเวลากินข้าวก็ไปกินข้าว ประคองส้มไม่ให้หล่น เสร็จแล้วเศรษฐีจะแจกของแก่เด็กยากจน เขาก็เลยเข้าไปคำนับ พอคำนับเท่านั้น ส้มไหลออกจากมือเสื้อเลย  เศรษฐีเห็นก็ยิ้มๆ แล้วรู้แล้วว่ามันมาแต่ไหน ลกเจ๊กยืนพนมมือทำท่าว่าส้มมันอยู่ในมือของข้าพเจ้าเอง เอ้า ทำไมมันเข้าไปอยู่ในมือเสื้อของเจ้า เขาก็บอกว่า แหม กินส้มนี้กลีบเดียว นึกถึงคุณแม่ กินไม่ลง อยากจะเอาส้มนี้ไปฝากคุณแม่สักสองผล เพราะว่าท่านชอบส้มรสนี้

   เศรษฐีได้ฟังแล้วตื้นตันใจ เด็กตัวเท่านี้มีความคิดอย่างนี้ รักแม่ถึงขนาดนี้ ควรแก่การชุบเลี้ยง เลยบอกว่า เอาไปสองผลมันน้อยไป ให้คนใช้เอามาให้ถาดหนึ่ง ลกเจ๊กก็เลยถือยิ้มแป้นไปเลย เอาไปให้คุณแม่

   แล้วต่อมาเศรษฐีคนนี้แหละชุบเลี้ยงลกเจ๊กให้เล่าเรียนหนังสือ ลกเจ๊กเมื่อได้เรียนหนังสือแล้วนึกอยู่ตลอดเวลาว่า เราได้เรียนเพราะเศรษฐี อย่าให้เขาผิดหวัง ให้เขาได้รับความชื่นใจ เพราะเราตอบแทนเรื่องอื่นไม่ได้ ก็ตอบแทนด้วยการให้เขาชื่นใจสบายใจ เรียนให้เก่ง เรียนให้ดี แล้วก็ตั้งใจเรียนจนกระทั่งจบชั้นขึ้นไป เข้าไปสอบเป็นขุนนางบุ๋นกับเขาได้ ก็เลยได้เป็นขุนนางในเมืองกังตั๋ง นี่เพราะอะไร เพราะน้ำใจกตัญญูกตเวทีต่อแม่บังเกิดเกล้า จึงส่งผลให้ได้เป็นขุนนางในเมืองกังตั๋ง กตัญญูน่ะมันเป็นอย่างนี้ คนโบราณเขาถือนักถือหนาในเรื่องความกตัญญูนี้.

 




 

Create Date : 01 มิถุนายน 2565
0 comments
Last Update : 18 มกราคม 2567 18:28:56 น.
Counter : 298 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space