Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
22 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน นักเดินทาง นักแสวงหา ผู้ตามความฝัน .... และว่าวตัวนั้น

ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน นักเดินทาง นักแสวงหา ผู้ตามความฝัน .... และว่าวตัวนั้น

สวัสดี และยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ เว้นช่วงไปนาน จากการเขียนบล็อคครั้งหลังสุด ได้แต่บอกว่าคิดถึงเหมือนกัน

จบไปอีกเล่มครับกับ ไคท์รันเนอร์ ภาคภาษาอังกฤษ อ่านแล้วได้อรรถรสเป็นอย่างยิ่ง ผมยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลย เข้าใจว่าเป็นการพยายามเข้าถึงเนื้อเรื่องจริงๆของผู้เขียน ก่อนที่จะถูกดัดแปลงไปเป็นบทภาพยนตร์ แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งก็ต้องบอกว่า ล้าหลังกว่าคนอื่นตั้งเยอะ หนังฉายไปตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว ยังไม่ได้ดูเลย ..... ก็ว่ากันไป

อย่างว่านะครับ สมัยนี้มีคนพูดถึงการใช้ชีวิตให้ช้าลง เดินให้ช้าลง กินอาหารสโลว์ฟู้ด หนังสือเวย์เขาพูดออกบ่อยๆ .... ก็ขอดูหนัง ช้ากว่าเขาหน่อย .... แล้วแต่ชอบครับ

อ่านแล้ว หลับตาหรือลืมตา ก็นึกภาพได้เลยครับถึงสัมพันธ์ภาพ มิตรภาพ ระหว่างเด็กทั้ง 2 คนก่อนจุดกำเนิดของเหตุการณ์ในวันแข่งว่าว ความเปลี่ยนแปลงที่ตามมา ความเจ็บปวด ตะกอนที่ยังคงฝังอยู่ในชีวิตและจิตวิญญาณของอาเมอร์ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนับเป็นสิบๆปี ความซื่อสัตย์จงรักภักดีอันบริสุทธิ์ของฮัสซัน ความจริงอันเจ็บปวด และบาปของพ่อตลอดจนการชดใช้ที่ไม่มีวันหมด และแม้กระทั่งความรู้สึกที่ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลยของเด็กอายุ 10 กว่าขวบ ที่ตัดสินใจตายดีกว่าอยู่

ประโยคที่ฮัสซันกล่าวกับอาเมอร์ และหลายสิบปีต่อมา อาเมอร์กล่าวต่อโสห์รับ ลูกชายของฮัสซัน-หลานของตัวเองว่า .... "For you, a thousand times over" - ผมรู้สึกว่ามันมีความหมายมากมายเกินกว่าจะหาทางแปลได้เป็นภาษาไทย

ประโยคที่ ราฮิม คาห์น บอกกับอาร์เมอร์ว่า .... "a way to be good again" - ประโยคนี้บอกได้เลยว่าคนฟังเป็นยังไง ทำอะไรที่เลวร้ายแค่ไหน คนพูดรู้อะไรมาบ้าง

ผมอ่านไปตลอดเล่มตามความรู้สึกของคาห์ลิด ฮอสเซนี คนเขียน ไม่ว่าจะซาบซึ้ง สุข เศร้า สับสน กดดัน และอื่นๆ โดยไม่เจอบทไหนที่จะทำให้รู้สึกขบขันเลย - แต่พอท้ายเล่มใกล้จบ ผมกลับเจอหักมุมอยู่ตอนหนึ่ง ที่ทำให้หัวเราะแทบตกเก้าอี้ เป็นบทที่อาเมอร์บอกกับพ่อตาในระหว่างมื้ออาหาร หลังจากพาโสห์รับกลับมาด้วย

ถ้าลองพูดเป็นภาษาไทยบ้านๆ ก็น่าจะประมาณว่า ... โอเค ถูกแล้วที่คุณพ่อ(ตา)สงสัย และะคนอื่นก็อาจจะถามกัน ว่าผมไปเอาไอ้เด็กนี่มาจากอัฟกานิสถานทำไม เรื่องก็คือว่า พ่อของผมไปนอนกับเมียของคนใช้ แล้วมีลูกเกิดมา ลูกคนนั้นคือฮัสซัน ตอนนี้ฮัสซันตายแล้ว เด็กคนนี้คือลูกของฮัสซัน เป็นหลานของผมเอง คุณพ่อ(ตา)บอกเขาตามนี้ได้ เอ้อ ... แล้วก็ต่อไปกรุณาอย่าเรียกว่า ไอ้เด็กนี่ เขามีชื่อครับ เรียกเขาว่า โสห์รับ

หลังจากอาร์เมอร์พูดจบ ทุกคนก็กินอาหารมื้อนั้นต่อจนหมดอย่างเงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรซักคำ

.............................

หลังจากอ่านจบไปไม่นาน วันหนึ่งลูกค้าหนุ่มชาวอิสราเอลเข้ามาที่ร้าน ถามหาหนังสือภาษาฮีบรูว์สำหรับอ่านระหว่างเดินทางไปฟูลมูนปาร์ตีที่เกาะพงัน ผมพยักหน้าบอกว่ามี พลางชี้มือไปที่ชั้นวางหนังสือด้านขวามือว่า ด้านนี้เป็นหนังสือสำหรับอ่าน ส่วนถ้าต้องการเป็นหนังสือไกด์บุ๊ค ผมก็มีโลนลีแพลนเน็ตภาษาฮีบรูว์ไว้ให้เลือกอยู่พอสมควร แต่ช่วงนี้ไฮซีซันของนิวซีแลนด์แล้ว ดังนั้นโลนลีแพลนเน็ตนิวซีแลนด์ภาษาฮีบรูว์โดนซื้อไปหมดแล้ว ถ้าต้องการเป็นภาษาอังกฤษละก็ผมมีให้ คืนได้ครึ่งราคาเหมือนกันหลังจากกลับมา ลูกค้าหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ แล้วหันกลับมาที่ชั้นหนังสืออ่าน เลือกดูสักพักก็ถามผมว่า

"คุณมีเรื่องไหนเจ๋งๆ แนะนำไหม"

ผมมองดูที่ชั้นแล้วตอบไปว่า "คุณอ่านไคท์รันเนอร์หรือยัง ผมมีอยู่นี่เล่มหนึง"

ลูกค้ายิ้มแล้วตอบว่า "อ๋อ อันนั้นผมอ่านแล้ว มันเป็น 1 ออฟเดอะเบสต์ เลยแหล่ะ คุณล่ะอ่านหรือยัง"

ผมยิ้มกว้างสุดเหยียด ตอบอย่างภาคภูมิใจ "ผมอ่านแล้ว มันเยี่ยมจริงๆ"

"ช่าย มันเยี่ยมจริงๆ แล้วคุณอย่าลืมไปหาซีดีมาดูล่ะ" ลูกค้าหนุ่มตอบพลางถามหาหนังสือสงครามโลก

ผมชี้กลุ่มหนังสือสงครามที่แยกไว้ให้ดู ค่อยๆหุบยิ้มลง พลางคิดในใจ อืมมม .... สงสัยต้องตามหาซีดีมาดูสะแล้ว หลังจากนั้นคุยกันไปมาพักหนึ่ง ผมถามขึ้นมาว่า

"คุณมาเที่ยวเมืองไทยนานหรือยัง"

"ผมเพิ่งมาไม่นานนี้เอง เพิ่งปลดประจำการจากทหารมา 5 ปี ปกติคนอิสราเอลเรียนจบเกรด 12 (เทียบเท่าม.6 หรือ ปวช.ของเรา) แล้วต้องเข้ารับราชการทหารก่อน 3-5 ปีแล้วแต่เลือก หลังจากนั้นก็จะปลดประจำการ แล้วจะทำงานเลย หรือเรียนต่อปริญญาตรีก็แล้วแต่ กว่าจะจบปริญญาตรีก็อายุประมาณ 27-28" ลูกค้าหนุ่มสาธยาย

"แต่คุณเลือกมาเที่ยวก่อนใช่ไหม แผนของคุณสักกี่เดือน" ผมถามยิ้มๆ

"ใช่ ผมเที่ยวก่อน แต่ไม่ได้กำหนดเวลานะ" ลูกค้าตอบ

"ขอโทษที คุณมีเงินมาเที่ยวเยอะสิ" ผมถามต่อ

"ก็พอสมควร ตอนเป็นทหาร ผมได้เงินเดือนคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท ปีนึงก็เกือบ 4 แสน ผมเป็นทหารอยู่ 5 ปี คุณก็ลองคิดดูแล้วกัน" ลูกค้าตอบยิ้มๆบ้าง

ผมตาเหลือก "เกือบ 2 ล้านบาท มิน่าล่ะคุณถึงไม่ได้กำหนดแผนไว้ว่าจะเที่ยวสักกี่เดือน"

"ผมก็คงไปเรื่อยๆ จนกว่าเงินจะหมด อาจจะเป็นปี แล้วค่อยคิดอีกทีว่า จะกลับไปทำอะไรที่อิสราเอล จะเรียนต่อหรือจะทำงานเลย" ชายหนุ่มทิ้งท้าย ก่อนจะเลือกหนังสือสงครามโลกไปเล่มหนึ่ง

ค่ำวันนั้น ผมมีโอกาสได้คุยกับละอ่อนชาวเยอรมันอีกคนนึง เข้ามาถามว่าผมมีหนังสือของเฮสเสหรือเปล่า

ผมตอบไปว่า "ผมมีแต่ที่เป็นภาษาไทย เอาไว้อ่านเอง วางโชว์ไว้ในตู้กระจก ภาษาอังกฤษไม่มี หายาก" พอตอบเสร็จ ผมก็ถามต่อไปว่า

"คุณดูอายุยังน้อยอยู่เลย แต่คุณอ่านงานของเฮสเสด้วยหรือ คนเยอรมันอ่านงานของเฮสเสเยอะไหม"

"ก็เยอะพอสมควรนะ แต่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นกลุ่มวัยกลางคน วัยทำงาน รุ่นผมนี่ไม่ค่อยเห็นมีใครอ่านกันนะ" ละอ่อนผู้ถักผมเดรดจ์ล็อคกล่าว

"ขอโทษที คุณอายุเท่าไหร่ มาจากยุโรปหรือเปล่า" ผมชำเลืองมองผมสีทอง แล้วถามไป

"ผมอายุ 18 มาจากเยอรมัน" รอยยิ้มเปิดเผย

"อ้าว คุณไม่เรียนหนังสือเหรอ" ผมถามอย่างสงสัย

"คืออย่างนี้ ผมน่ะไม่ได้เรียนหนังสือหรอก ที่เยอรมันน่ะ ผมทำงานเก็บเงินมาระยะหนึ่งแล้วก็มาเที่ยวเมืองไทยที่นี่ตั้งแต่ต้นปี ผมมีเงินมาไม่มากนัก ผมไปอยู่บนดอยที่เชียงใหม่ ทำงานอาสาสมัครแลกอาหารกับที่พักน่ะ" หนุ่มน้อยเล่าให้ฟัง

อืม ผมพยักหน้าหงึกๆ พลางนึกในใจ พ่อแม่ก็ปล่อยมาได้เนอะ "แล้วคุณจะกลับไปเมื่อไหร่ล่ะ ทำงานอะไรที่เยอรมัน"

"ผมว่าคงจะกลับไม่นานนี้แหล่ะ ให้ผ่านปีใหม่ไปก่อน หลังจากนั้นก็คงจะไปทำงานในฟาร์มเหมือนเดิม ว่าแต่คุณอ่านงานของเฮสเสเหมือนกันเหรอ" หนุ่มน้อยยิ้มสดใส ถามมา

"ใช่สิ สิทธารถะ คือ 1 ในท็อปไฟว์ตลอดกาลของผมเลยนะ" ผมกล่าว

"เหรอ คุณอ่านอะไรอีก บอกกันมั่งสิ" หนุ่มน้อยถามกระตือรือล้น

"ท็อปไฟว์ของผมก็มี สิทธารถะของเฮสเส / โจนาธานของริชาร์ด บากส์ / เฒ่าผจญทะเลของเฮมมิงเวย์ / หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยวของมาร์เกส และแน่นอน เจ้าชายน้อยของเอ็กซ์ซูเปรี" ผมยักคิ้วให้

"วาว .... ผมอ่านเฮสเส และมูราคามิ"

ผมยิ้มแล้วชี้ไปที่หนังสือของมูราคามิให้ดู ชายหนุ่มพลิกดูอย่างดีใจ ดูราคาแล้วชำระค่าหนังสือ ผมอวยพรขอให้โชคดี หลังจากหนุ่มน้อยออกไปแล้ว ผมนึกถึงลูกค้านักปั่นอีกคู่หนึ่ง หนุ่มสเปนกับสาวอังกฤษ ทั้งคู่เดินทางโดยขี่จักรยานไปเรื่อยๆ 8 ปีแล้วไม่ได้กลับบ้าน เขามีความฝันว่าจะขี่จักรยานเที่ยวรอบโลก คงไม่ได้เป็นเหมือนทริปนั่งบอลลูน 80 วันรอบโลกในหนังสือ แต่ประมาณว่า ใช้ชีวิตเดินทางไปเรื่อยๆโดยมีจักรยานเป็นพาหนะ ทั้ง 2 เคยแวะเวียนมาที่ร้านของผมหลายครั้ง ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟัง

ก่อนปิดประตูร้านตอน 5 ทุ่ม ผมมองเหม่อไปยังแสงไฟในถนนข้าวสาร ผู้คนมากมายผ่านไปมา แต่ใจกระหวัดคิดถึงสิทธารถะ พราหมณ์หนุ่มผู้ทิ้งทุกอย่างออกเดินทาง ใช้ทั้งชีวิตตามหาความรู้แจ้งแห่งองค์พระศาสดา จนพบกับวาสุเทพ พบกับสายน้ำ

เขาเหล่านั้น แค่ท่องเที่ยวหรือเดินทาง ....

มีใครในนั้น หา "อะไร" หรือเปล่า .... แล้ว "พบ" ไหม ....

ผมถามตัวเอง แล้วเราล่ะ ?

แล้วพบกันอีกนะครับ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ .... สวัสดีปีใหม่ 2554


Create Date : 22 ธันวาคม 2553
Last Update : 22 ธันวาคม 2553 13:29:52 น. 4 comments
Counter : 1216 Pageviews.

 


โดย: pragoong วันที่: 22 ธันวาคม 2553 เวลา:15:26:34 น.  

 
ร้านหนังสือ เปรียบเสมือนจุดนักพบของคนรักหนังสือนะคะ
^^


โดย: nibble วันที่: 28 ธันวาคม 2553 เวลา:10:44:38 น.  

 
ใช่เลยครับ บางร้าน มีหนังสือดี บรรยากาศดีๆ ได้แวะไปเยี่ยมก็มีความสุขแล้วครับ


โดย: เจตตจัน (jettajan ) วันที่: 10 มกราคม 2554 เวลา:9:32:24 น.  

 
อ่านบทนี้ถูกใจหลายอย่าง เด่นสุดมีสองอย่างคือ ไคท์รันเนอร์ กับ มูราคามิ

ไคท์รันเนอร์ ผมได้ดูในเวอร์ชั่นหนัง ประทับใจมาก น้ำตาหล่นเรี่ยราดรายทาง สะท้อนใจ ประทับใจ กินใจ หลากหลายไปหมด เราไม่มีวันเข้าใจคนอื่นร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบางทีตัวเราเองยังไม่สามารถเข้าใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ , ส่วนเวอร์ชั่นหนังสือยังไม่ได้หยิบมาอ่านเลย

ส่วน มูราคามิ สั้นๆได้ใจความ มูราคามิ เป็นศาสดาศาสนาหนังสือสำหรับผม ผมจึงชอบและติดตามทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา ผมมักเรียกเขาว่า เฮียมู ในกลุ่มคนรักหนังสือของผม และที่บล็อคของผมก็เขียนถึงแกไว้เต็มไปหมด

ชอบงานเขียนของคุณมากครับ จะตามอ่านเรื่อย ๆ นะครับ


โดย: i.am.Victor วันที่: 16 พฤศจิกายน 2554 เวลา:14:33:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.