Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
232425262728 
 
8 กุมภาพันธ์ 2557
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Planning & Emergency

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ครับ กินได้ นอนหลับ หายใจได้ ครบ 32 และมีเวลามาเขียนบล็อกเล่าเรื่องราวของร้านหนังสือให้อ่านกันอีกสัปดาห์ ในบรรยากาศย้อนแย้งระหว่างอุณหภูมิการเมืองอันร้อนระอุ ตัดกับอุณหภูมิอากาศเย็นเยียบหนาวเหน็บอันได้รับอิทธิพลจากลมเย็นขั้วโลก "Polar vortex" ที่พัดถล่มเข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือ จนอุณหภูมิติดลบ 50 องศา ประมาณพื้นผิวดาวอังคาร (ว่าเข้าไปโน่น) พร้อมๆกันกับที่ทวีปออสเตรเลียต้องผจญกับสภาพอากาศร้อนแทบชัก 30-40 องศา จนนักเทนนิสในออสเตรเลียนโอเพ่นบ่นกันไปหมด ... จะว่าไปผมเองเคยคิดไว้สมัยก่อนตอนที่มีข่าวเกี่ยวกับโลกร้อนหรือปรากฏการณ์เรือนกระจกใหม่ๆว่า อุณหภูมิคงไม่ร้อนยาวนานจนหน้าหนาวหายไปเลยสำหรับบ้านเรา ... เพียงแต่ดูจากอากาศแต่ละปีๆแล้ว ผมดูว่าจะปั่นป่วนและรุนแรงขึ้นมากกว่า เช่น หน้าร้อนก็จะร้อนจัด หน้าหนาวก็จะหนาวจัด หน้าฝนก็อาจจะเจอฝนตกหนัก และพีเรียด 4 เดือนของแต่ละฤดูในสมัยก่อน น่าจะไม่ใช่แล้ว คือรูปแบบของฤดูกาลอาจจะไม่แน่นอนและยุ่งเหยิงมากขึ้น เช่นปีก่อน หนาวแป๊บนึงช่วงเดือนธันวา พอเลยวันปีใหม่มาก็ร้อนเลย ลากยาวไปหลายเดือนเลยค่อนปีไปสิงหาโน่น ถึงเริ่มเจอฝนตก ส่วนปีนี้หนาวนานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว จนวันที่เขียนนี่ก็ยังเจอมวลอากาศเย็นกลับมาซ้ำอีกรอบ ไม่รู้ว่าจะเลยวาเลนไทน์ไปเลยหรือเปล่า

... ผมเองสัปดาห์ก่อนยังต้องโด๊ปยาแก้แพ้อากาศเข้าไปหลายวันเหมือนกัน เพราะเจออากาศเย็นต่อเนื่องจนเริ่มคัดจมูก น้ำมูกไหล ทั้งๆที่ก็พยายามดื่มน้ำชาอู่หลงร้อนๆทั้งวันและทุกวันอยู่แล้ว ฉะนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ถ้าต้องเจอลมเย็นขั้วโลกขนาดพื้นผิวดาวอังคารที่สหรัฐเจออยู่ละก็ คงจะจอดไม่ต้องแจวแน่ๆเลยครับ


ภาพความ "หนาวนรก" จากลมวนขั้วโลก "โพลาร์ วอร์เท็กซ์" ที่อเมริกาเหนือเจออยู่ ... นี่เห็นนักวิชาการบอกว่ายอดดอยเมืองไทยอาจมีหิมะตกเร็วๆนี้ เพราะยอดหญ้านั้นอุณหภูมิติดลบ จนเกิดน้ำค้างแข็งจนทั่วไปหมด

ไม่เหมือนที่ฮาร์บิน ที่จัดเป็นเทศกาลน้ำแข็งทุกปี ตั้งแต่ 5 ม.ค. - 28 ก.พ. ... The world famous Snow & Ice Festival of Harbin, China is the largest ice and snow sculpture festival in the world. The 30th Harbin International Ice and Snow Festival of 2014 starts on January 5th and it will continue till February 28th. Discover this great festival of china which turns the Chinese city into a winter wonderland.

วันก่อนได้โปสการ์ดลูกค้าฝากส่งมาใบนึง ภาพเป็นไนท์มาร์เก็ตธรรมดานี่แหละครับ แต่ปลายทางไปไกลถึงฮาร์บิน ... โฮ่ ไอเย็นหิมะโชยมาเชียว

ส่วนร้านหนังสือก็ยังคงเปิดอยู่นะครับ รับลมหนาวที่หนาวเข้าไปในหัวใจของคนในวงการธุรกิจท่องเที่ยวตอนนี้เลย เพราะ "อาเฉิน" มาแล้ว หลังจากที่ระเบิดลงหลายลูก ทำให้รัฐบาลของหลายประเทศประกาศเตือนนักท่องเที่ยวของเขาให้หลีกเลี่ยงการเข้ามาเที่ยวในบ้านเรา เพราะฉะนั้นลูกค้านักท่องเที่ยวก็หายหมดสิครับ จากที่เข้ามาน้อยลงๆ ช่วงปลายปีก็กลายเป็นหายไปเกือบหมด เหมือนกับเราค่อยๆหรี่น้ำก๊อกจนเกือบปิดวาล์ว เพราะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักที่ซื้อไกด์บุ๊คเป็นเล่มหายไปเลย เหลือแต่ลูกค้าแลกหนังสือกับซื้อแผนที่เท่านั้นเอง ... ว่าแต่จะเลยไปถึงไหนต่อไหนกันบ้างก็ไม่รู้ ... ก็ต้องสู้กันต่อไป ทาเคชิครับ SmileySmileySmiley

... ก่อนปีใหม่ จำได้ว่าลูกค้าหนุ่มจากบราซิลคนหนึ่งเข้ามาที่ร้านถึง 3 รอบในวันสุดสัปดาห์อันแสนสับสน พร้อมๆกับการเรียกระดมคนชุมนุมใหญ่ที่ถนนราชดำเนิน อันทำให้การจราจรบางลำพูกลายเป็นจลาจล เห็นแต่แถวแบ็คแพ็คเกอร์เดินตามกันเป็นขบวน ท่ามกลางรถติดเต็มถนนแทบจะไม่ขยับตั้งแต่สายๆบ่ายๆ

ใกล้เที่ยง ลูกค้าหนุ่มชาวบราซิลเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเป้ใบใหญ่ที่แบกหลังไว้ หน้าตาคล้ายมาร์ค ซัคเคอร์เบอร์กอยู่ใต้ครอบหมวกสักหลาด หน้ามันเหงื่อกับผมหยิกยุ่งบ่งบอกความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าที่เจ้าตัวเผชิญมา ก่อนจะเอาโลนลีแพลนเน็ตอินโดนีเซีย 2013 เวอร์ชันล่าสุดขึ้นมาวางบนโต๊ะ พร้อมกับมองสอดส่ายไปที่แป้นหมุนโชว์เหรียญสะสมของต่างประเทศหลายแบบ

"คุณมี เวิร์ลด์คอยน์ ไหม ... เหรียญสะสมของหลายประเทศน่ะ ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะ แล้วก็ไกด์บุ๊คของเซาท์อีสเอเชียด้วย" ชายหนุ่มถามมาพร้อมกับสายตาสอดส่ายไปตามชั้น

"มีสิ อยู่ด้านนี้สำหรับเหรียญ แล้วก็หนังสือไกด์บุ๊คต้องเป็นด้านโน้น" ผมพยักหน้าหยิบซองเหรียญสะสมจากหลายประเทศทั่วโลกจากชั้นออกมาวางให้เลือกอยู่ 3-4 ซอง พร้อมกับชี้ไปที่ชั้นหนังสือด้านหลัง

ชายหนุ่มเลือกๆอยู่อึดใจเดียวก็ได้เหรียญชุดที่ต้องการแยกไว้ ก่อนจะเดินไปเลือกหนังสือได้ไกด์บุ๊คมูนปีเก่าของ เวียตนาม กัมพูชา ลาว ปกสีเขียวเล่มหนาใหญ่มาวางไว้คู่กัน

"เราจะทำยังไงดี คุณรับซื้อหนังสือด้วยหรือเปล่า ผมมีไอ้นี่ไม่ใช้แล้วอยู่เล่มนึง" ชายหนุ่มถามมาพร้อมกับเอามือดันโลนลีแพลนเน็ตอินโดนีเซียเล่มนั้นมาที่ผม

ผมหยิบหนังสือขึ้นมาดู พลิกสำรวจหน้าในก่อนพยักหน้า "ไดเร็คสวอปสำหรับหนังสือ คุณตกลงไหม แล้วเหรียญนี่คุณก็จ่ายเงินตามราคาปกติ"

ชายหนุ่มพยักหน้า ตกลงอย่างว่าง่าย เอาหนังสือกับซองเหรียญใส่ลงกระเป๋า แล้วถามต่อ "ผมจะไปซื้อกล้องได้ที่ไหนบ้าง เอาราคาไม่แพงนะ พอดีมันหายไป 2 วันก่อนน่ะ พร้อมกับพาสปอร์ทด้วย ตอนที่ผมกินเหล้าคืนก่อน ... ผมนี่งี่เง่าชิบหายเลย" ถามเสร็จก็ส่ายหน้าเซ็ง ทำมือเป็นปืนระเบิดขมับตัวเอง

"ข้างนี่ก็มีร้านขายกล้องอยู่นะ ถัดไป 2 ร้าน หรือในถนนข้าวสารก็เห็นมีอยู่บ้าง ราคานี่ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่ อาจจะไม่ถูกนักเพราะที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ถ้าคุณอยากเลือกเยอะๆและราคาถูกแน่นอนละก็ ผมแนะนำให้ไปที่พันธุ์ทิพพลาซ่า แหล่งจำหน่ายสินค้าไอทีขนาดใหญ่ แต่ไม่ใช่เดินไปแน่ๆ" ผมตอบพร้อมกับถามเพิ่มไป "ทำหายยังไงนี่ ... แล้วพาสปอร์ทคุณล่ะ"

"พาสปอร์ทผมได้ใหม่มาแล้ว ผมไปที่สถานฑูตบราซิลวันรุ่งขึ้น จ่ายไป 5-6 พันมั้ง เขาก็ออกเล่มใหม่ให้เลย ... เร็วมาก ... พอดีคืนวันนั้น ผมนั่งกินเหล้าอยู่ในถนนข้าวสารนี่แหละ เมาด้วย กล้องกับพาสปอร์ทอยู่ในถุง ซึ่งผมวางไว้ใต้เก้าอี้ ผมดื่มเมานิดหน่อยก็เลิกแล้วลุกออกไปซัก 15 นาที พอนึกขึ้นได้กลับมาที่โต๊ะอีกทีก็ช้าไปแล้ว" ชายหนุ่มเล่าให้ฟังก่อนนึกขึ้นได้ ก้มลงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาวาง และขอความช่วยเหลือต่อมา "เอ้อ ... คุณช่วยผมหน่อยสิ ผมซื้อซิมเมืองไทยมาเมื่อวานนี้ใส่แล้วมันใช้ไม่ได้ ขึ้นอะไรก็ไม่รู้"

ผมลองเปิดเครื่องเช็คดูหน้าจอ เห็นตัวหนังสือกับภาษาก็ถามกลับไปว่า "นี่มันไม่ใช่ภาษาอังกฤษนี่ ภาษาบราซิลเหรอ คุณใส่ซิมไปแล้วยัง"

ลูกค้าพยักหน้า ขมวดคิ้ว "ใส่แล้ว ภาษานั่นไม่ใช่ภาษาของผมหรอก น่าจะเป็นภาษาอินโดนีเซียน่ะ ผมเพิ่งออกมาจากที่นั่น"

ผมพยักหน้า เม้มปาก "โอเค เข้าใจละ งั้นก็ 2 ซิม ผมแกะดูนะ" ก่อนจะปิดเครื่อง แกะแบตเตอรี่ออก ถูกต้องครับ เหตุการณ์เป็นอย่างที่ผมเดา ลูกค้าเอาซิมเมืองไทยใส่ลงช่องซิม 2 ส่วนช่องซิม 1 ยังเป็นซิมเก่าจากอินโดนีเซีย เครื่องตั้งค่าไว้ที่ซิม 1 และภาษาต่างดาวจากหน้าจอทำให้ผมไม่อยากเสี่ยงเปลี่ยนเมนูจากซิม 1 ไปยังซิม 2 ... เลยดึงเอาซิมอินโดออกมาวางไว้ และเปลี่ยนซิมเมืองไทยจากช่องซิม 2 มาใส่ที่ช่องซิม 1 แทน

"เอ้านี่ของฝากจากอินโดนีเซีย และตอนนี้คุณมีแค่ซิมเดียวแล้ว" ผมเอาปลายนิ้วดันซิมอินโดตรงหน้าส่งไปให้ พร้อมกับใส่แบต ปิดฝา เปิดเครื่องใหม่และเช็คเบอร์ เช็คยอดเงิน

"เบอร์มีแล้ว รับสายได้ โทรออกไม่ได้ เพราะไม่มีเงินสักบาท คุณต้องไปเติมเงินก่อนนะ ที่ 7-11 ฝั่งโน้น บอกเขาว่าจะเติมเงินโทรศัพท์มือถือ เท่าไหร่ก็แล้วแต่ หลังจากนั้นคุณถึงจะโทรออกได้" ผมบอกชื่อเครือข่ายของซิมที่ลูกค้าซื้อมา ลูกค้าหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ

"มันใช้อินเตอร์เน็ตได้ไหม แล้วถ้าผมจะไปกัมพูชาต่อ ที่นั่นยังโทรได้หรือเปล่า" ลูกค้าถามต่อ ทำหน้าต้องการความช่วยเหลือระดับสูงสุด

"ซิมบริษัทนี้ คุณต้องโทรไปศูนย์บริการให้เขาตั้งค่าให้นะ แล้วก็คุณต้องเติมเงินก่อนให้พอตามแพ็คเกจอินเตอร์เน็ต เพราะเขาจะหักเงินคุณไปก่อนเลย ซึ่งคุณต้องเลือกเอาเองว่าลักษณะการใช้อินเตอร์เน็ตของคุณเป็นแบบไหม ราคาจะไม่เท่ากัน มีเยอะ ทั้งรายสัปดาห์ รายเดือน หรือจะคิดตามปริมาณการใช้ ... ส่วนที่กัมพูชา โดยปกติจะใช้ไม่ได้นะ แถวชายแดนอาจยังพอได้อยู่ แต่ถ้าเลยพรมแดนเข้าไปลึกๆแล้วละก็ ผมว่าซิมกัมพูชาน่าจะเวิร์คกว่า ... คุณจะใช้อินเตอร์เน็ตนานแค่ไหนก่อนไปกัมพูชา" ผมตอบเท่าที่พอช่วยได้ พร้อมถามเพิ่มไปอย่างอยากช่วย

"ไม่รู้สิ ... อาจจะซักวันเดียวละมั้ง ผมกำลังคิดอยู่ว่าพรุ่งนี้ผมจะไปกัมพูชาได้ไหม หารถได้ไหม" ชายหนุ่มเม้มปาก ตอบมาอย่างไม่แน่ใจ

"ฮึ้ยยยย ... ถ้าวันเดียว ยูไปร้านอินเตอร์เน็ตดีกว่ามั้ง" ผมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ส่ายหน้าบอกไป

"งั้นผมเติมเงินสักร้อยนึง เอาไว้โทรออกอย่างเดียวดีกว่า" ลูกค้าพยักหน้าประเมินสถานการณ์ก่อนขอบคุณและออกจากร้านไป

คล้อยหลังไปไม่ถึงชั่วโมง ลูกค้ากลับมาอีกพร้อมกับคำถามที่ต้องการคำตอบ ประกอบการตัดสินใจ ... เอ๊ะ นี่ตูข้ากลายเป็นพนักงาน ททท. ไปแล้วละมัง ... หรือหน้าให้

"ผมตัดสินใจแล้ว จะซื้อตั๋วรถไปกัมพูชาพรุ่งนี้ คุณรู้ไหมว่าผมต้องเสียค่าวีซ่าเท่าไหร่ แล้วเขารับเงินไทยหรือเปล่า" พ่อหนุ่มถามมาเป็นชุด

ผมเอาไกด์บุ๊คมาเปิดดูที่รายละเอียดการเข้าประเทศ "ประมาณ 20 ไม่เกิน 30 เหรียญนะ คุณเตรียมรูปไปให้พร้อมเลย แล้วเงินก็สำรองไว้ทั้งบาทไทย ทั้งดอลลาร์ยูเอส จะดีมาก ทั้งหมดน่าจะต้องใช้ที่ด่าน ไม่งั้นต้องเดินหาตู้เอทีเอ็มกดตังค์ หาร้านถ่ายรูปอีก ไม่สนุกหรอก"

ลูกค้าหนุ่มกล่าวขอบคุณพร้อมโบกมือให้ก่อนหันหลังเดินออกจากร้านไป ปล่อยให้ผมนั่งส่ายหน้าหัวเราะอยู่คนเดียว ดูๆแล้วพ่อหนุ่มจากดินแดนกาแฟคนนี้จะเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ขนานแท้ที่ ไม่มีการเตรียมการอะไรมากนัก เข้าทำนอง "แผนคือการไม่วางแผน เอาไว้ไปแก้สถานการณ์เอาข้างหน้า" ... เอ๊ะ คุ้นๆ ว่ามาจากหนังเรื่องไหนสักเรื่อง ... นึกไม่ออก

ตอนเย็น-แดดร่มลมตก พ่อหนุ่มเข้ามาเป็นรอบที่ 3 เข้ามารายงานสถานการณ์

"ผมไปเช็คมาแล้ว ค่าวีซ่า 16 ดอลลาร์ ... แล้วก็นี่ตั๋วรถไปเสียมเรียพ 300 บาท โอเคไหม ราคานี้ รถสภาพเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้ ... หรือคุณว่าไง"

ผมกอดอกหัวเราะ พลางชี้มือไปที่รถตู้แล่นผ่านหน้าร้านขวักไขว่รับลูกค้านักท่องเที่ยว "โอเค โอเค ดี ... 16 ดอลลาร์ก็แค่ 480 บาทเอง ... ค่ารถก็ประมาณนี้แหละ ... สภาพรถก็รถตู้ที่วิ่งๆอยู่ทั่วไปนั่นแหละ ถ้าโชคดีก็แอร์เย็นฉ่ำ ถ้าโชคร้ายแอร์อาจจะไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่นัก ถ้าโชคดีคุณอาจจะได้รถตู้หลังคาสูง เบาะกว้าง นั่งสบายหน่อย แต่ถ้าโชคร้ายก็เป็นรถตู้รุ่นเก่า หลังคาไม่สูงนัก เบาะที่นั่งเล็ก เบียดๆกันนิดหน่อย ... แต่ไม่เป็นไรน่ะ แค่ 3 ชั่วโมงเองจากที่นี่ หลับแป๊บเดียวก็ถึงด่านแล้ว"

พ่อหนุ่มพยักหน้ายิ้มดีใจ ก่อนจะเก็บเอกสารเข้ากระเป๋า ถามต่อ "ผมต้องหาที่นอนแล้ว เหลือเงินอยู่ 600 เอง สำหรับกินกับนอนวันนี้ ... คุณรู้จักถนนตะนาวไหม ผมจะไปหาที่พักแถวนั้น เห็นเขาว่าไม่แพง"

ผมพยักหน้าหัวเราะ โบกมือ แล้วชี้ตรงไปทางถนนข้าวสาร "เฮ้ย 600 บาทเหลือเฟือ ค่าห้องสัก 300 - ข้าวเย็น 100 นึง มีเหลือกินเบียร์ได้อีกตั้งหลายขวด สำคัญอย่า (เสือก) ไปลืมของไว้ที่ไหนอีกล่ะ ... ยูเดินตรงไปสุดถนนข้าวสารนี่เลยนะ จะเห็นเบอร์เกอร์คิงที่นั่น ถนนตะนาวนี่จะเป็นถนนเล็กๆเยื้องข้างๆไปหน่อยนึง" ... ไอ้ในวงเล็บผมพูดอยู่ในใจนะครับ 555

ค่ำวันนั้นขณะรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าร้าน ผมเห็นหมวกสักหลาดใบเดิมเดินดุ่มๆผ่านไปตรงหน้าโรงพักฝั่งตรงข้าม ใบหน้าคู่นั้นหันมาพอดีพร้อมกับมือที่โบกทักทายให้ ผมโบกมือตอบด้วยความสบายใจ บอกกับตัวเองว่า

"เป้หลังมันหายไปแล้ว คงได้ที่พักเรียบร้อย ยิ้มออกแบบนั้น ... และถ้าให้ดี พรุ่งนี้อย่าได้เจอกันอีก ก็แสดงว่าคืนนี้ไม่ได้ไปลืมพาสปอร์ทที่ไหน ไปต่อพรุ่งนี้คงเที่ยวได้สนุก"

..... เห็นแล้วนึกถึงสาวทอมบอยแบ็คแพ็คเกอร์เกาหลีที่บินเดี่ยวอีกคนหนึ่ง เธอเข้ามาที่ร้านตอนค่ำ พร้อมกับขอความช่วยเหลือให้โทรศัพท์ไปยังเบอร์ปลายทางแห่งหนึ่ง ซึ่งเธอมีปัญหาบัตรเครดิตหายสดๆร้อนๆ และโทรศัพท์ก็โทรไม่ได้ เงินไทยที่ติดตัวไว้ก็กำลังจะหมด ผมแก้โทรศัพท์ไม่ได้ก็เลยเอาโทรศัพท์ของตัวเองให้เธอโทรอยู่ 3-4 ครั้งกับเบอร์ที่จดขยุกขยิกอยู่ 3 เบอร์ โทรเสร็จ เธอวางโทรศัพท์แล้วก็ก้มหน้าฟุบลงกับท่อนแขนที่วางอยู่บนโต๊ะ สะอื้นเงียบๆพักใหญ่ จนผมได้แต่อึ้ง ทำอะไรไม่ถูก ถามไปว่าเธอต้องการอะไรหรือเปล่า

หญิงสาวเงยหน้าชุ่มน้ำตาขึ้นมา บอกว่าศูนย์บริการบัตรที่เกาหลีให้เธอโทรไปที่อีกเบอร์หนึ่งซึ่งเป็นหน่วยบริการเบอร์ที่สอง จากนั้นโยนมาเบอร์ที่สามซึ่งเป็นเบอร์ของศูนย์บริการที่เมืองไทย แต่ก็ยังไม่ได้อยู่ดี ... ดูเหมือนฉันต้องหาทางอื่น ... คุณพอรู้จักร้านหรือแหล่งคนเกาหลีแถวนี้ไหม

มีสิ ... ร้านที่เป็นคนเกาหลีคงพอช่วยได้ ผมบอกไปถึงร้านอาหารเกาหลีแห่งหนึ่งแถวตรอกโรงไหม กับบริษัททัวร์เกาหลีอีกแห่งหนึ่งเลยแยกบางลำพูไปนิดหน่อย

ใช่ คงต้องอธิบายให้ฟังแล้วก็ขอใช้เบอร์บัญชีเขา ให้ที่บ้านฉันโอนเงินมาให้ก่อน

เธอมาเที่ยวคนเดียว ดูท่าจะใจเสียพอสมควร แต่หลังจากวันนั้นเธอก็หายไป ก็คงจะขลุกขลักนิดหน่อย เป็นหนึ่งในปัญหาที่อาจจะเจออยู่แล้วสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักจะตระเวณออกไปเผชิญสิ่งใหม่ในโลกกว้าง ตั้งสติให้ดีก็คงไม่เสียศูนย์อะไรมากนัก

เจตตจัน
085-8035412
087-0719858
02-2820358
jettajan227@yahoo.com

ปล. พูดถึงเพื่อนบ้านใกล้เคียง ช่วงนี้มีข่าวความเคลื่อนไหวเยอะ ทั้งบ้านเขาและถูกพาดพิงมาถึงบ้านเราด้วย เลยเอาโปสการ์ดฝากส่งจากบ้านเขามาให้ชมกัน 2 ชุด 2 อรรถรส



ชุดแรก 8 ใบฝากส่งไปฝรั่งเศส ภาพชนบทแบบดิบๆใกล้เคียงชนบทบ้านเรา พิมพ์ด้านหลังแสดงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรขอมในอดีต "Kingdom of Cambodia"



อีกชุดหนึ่ง 2 ใบ เป็นวิวแม่น้ำงามๆจากจังหวัด "Kampot" กับภาพสลักบนหน้าบันของปราสาท "Bantoey Srei" (บันเตียไสร) ... www.KraigLiebphotography.com  / purplemoonpublications@yahoo.com / (855)-12556476



Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2557
Last Update : 8 กุมภาพันธ์ 2557 1:39:04 น. 1 comments
Counter : 1457 Pageviews.

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 9 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา:6:16:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.