Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
4 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน วิกฤติโลก วิกฤติร้าน

สวัสดีครับ ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ และได้มาเขียนบล็อกอีกครั้ง หลังจากห่างหายไปนาน

วันที่ล่าสุดที่ได้เขียนไปคือ 3 กุมภาพันธ์ .... ไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าระยะเวลาจนถึงวันนี้ ห่างกันเพียง 2 เดือนเท่านั้น เราเจอวิกฤติธรรมชาติในระดับหายนะถึง 2 ครั้งด้วยกัน ทั้งแผ่นดินไหวที่เมืองไครส์เชิร์ชของนิวซีแลนด์ และสึนามิที่เมืองเซนไดของญี่ปุ่น แถมด้วยลูกติดพันจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ ไดอิชิ ที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะจบง่ายๆ

เพิ่มเติมอีกด้วยน้ำท่วม โคลนถล่มภาคใต้ของเรา จนถึงขนาดที่หลายประเทศประกาศเตือนนักท่องเที่ยวแล้วนะครับ ว่าให้หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าจังหวัดน้ำท่วม โดยเฉพาะที่สุราษฎร์ธานีที่จมน้ำทั้งจังหวัด ก็ขนาดสนามบินที่นครศรีธรรมราชยังเดี้ยง แล้วบ้านช่องของคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราๆ จะไปเหลืออะไรครับ

แต่ ... ทั้งๆที่น้ำท่วมขนาดนี้ คุณพี่ไกด์บ้าง ไม่ไกด์บ้าง บางท่านก็ยังอุตส่าห์บอกลูกค้าว่าไปด้าย ไปด้าย โดยไม่ได้สนใจเลยว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเป็นยังไง อันนี้ขอบอกกันตรงๆนะครับ ว่า ไม่ควร

ไม่ใช่อะไรครับ วันก่อนนี้เอง ลูกค้าจากยุโรป 2 หญิง 1 ชาย เข้ามาซื้อแผนที่ภาคใต้ที่ร้าน สนทนากันสักพัก ได้ความว่าเพิ่งมาถึงเมืองไทย วางแผนไว้ว่าจะลงใต้หลายวันอาจถึงสงกรานต์ ได้ข่าวเลาๆว่า น้ำท่วมที่เกาะสมุย แต่ไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นไง ถามคุณพี่ที่ถนนข้าวสารว่าไปได้ไหม เขาบอกไปด้าย ไปด้าย ไม่เป็นไร ก็ว่าจะไปจองตั๋วรถ พอดีมาแวะที่ร้านเสียก่อน ... ผมก็ยิ้มพยักหน้าหงึกๆ เรียกมาที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พร้อมกับเปิดข่าวให้ดูจากพี่กูเกิลว่า "Suratthani flood today" เสร็จแล้ว ก็ชี้ให้ทั้ง 3 ดูเอาเอง

หลังจากดูภาพ กับไล่อ่านเนื้อหาข่าวประมาณ 2 - 3 นาที ทั้ง 3 ก็พ่นเร็วปรื๋อเป็นภาษาบ้านเกิด พร้อมกับกล่าวขอบคุณที่ผมหาข้อมูลให้ดู เสร็จแล้วก็เดินขมวดคิ้วนิ่วหน้าออกไป ผมเองก็ไม่รู้นะครับว่า ทั้ง 3 จะเอายังไงต่อ จะไปดูน้ำท่วม โคลนถล่ม พร้อมๆกับขบวนรถบริจาคจากผู้มีน้ำใจ หรือเปล่า แต่ก่อนออกไป 1 ในนั้น ได้ซื้อแผนที่ภาคเหนือติดไปด้วยอีก 1 แผ่น

................

หัวค่ำวันวาน ผมนั่งเฝ้าร้านกับเสียงเพลง กินตับ ลอยละล่องจากเต๊นท์รับบริจาคของช่วยเหลือผู้ประสพภัยน้ำท่วมภาคใต้ ตรงหน้าสถานีโรงพักชนะสงคราม กำลังชั่งใจอยู่ว่าจะตัดสินให้เรื่องไหนเยี่ยมกว่ากัน ระหว่าง 2012 กับ Day after tomorrow

เรื่องหลังนั้นมาก่อนหลายปี ณ เวลานั้น ฉากสึนามิซัดเข้าท่วมเมืองนิวยอร์ก โดยเฉพาะตอนที่น้ำท่วมเข้าไปในอาคารห้องสมุด ดูไม่ค่อยใกล้ความจริงเท่าไหร่ เทียบกับกรุงเทพ เพราะสภาพโลเกชันค่อนข้างจะแตกต่าง โดยเฉพาะที่ถนนข้าวสาร ยิ่งตอนพายุศูนย์องศา ทำเอาหิมะถล่มจมมิดลงไปเกือบทั้งตึก ยังรู้สึกไกลตัว

แต่พอหลายปีหลังจากนั้น เรื่องแรกออกฉายในภาวะที่ทั่วโลกประสพปัญหาสิ่งแวดล้อมกันเป็นแถบๆ ทั้งเรื่องวันสุดท้ายของปฏิทินของชาวมายาในปี 2012 แกนโลกเอียง พายุสุริยะ บวกกับหายนะภัยตอนกึ่งพุทธกาลในพุทธทำนาย แปลจากคำพูดสุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่ตรัสกับพระอานนท์ ทำให้รู้สึกว่าหายนะภัยที่เกิดขึ้นในเรื่องแรกนั้น ดูใกล้ตัวและมีความรู้สึกว่าเป็นไปได้มากกว่า กับสึนามิขนาดตึก 3-4 ชั้นที่ซัดเข้าฝั่งเมืองเซนได หลังเกิดแผ่นดินไหวไม่ถึง 5 นาที ทำให้ฉากพระเอกขับรถ ขับเครื่องบิน หนีแผ่นดินไหวตอนต้นเรื่อง รวมทั้งฉากสึนามิขนาดยักษ์โถมเข้าหาประธานาธิบดีสหรัฐกับคำพูดสวยๆ "นักวิทยาศาสตร์ดีๆสักคน มีค่ามากกว่านักการเมืองแย่ๆตั้งโขยง" กลายเป็นความรู้สึกอึดอัด ชักไม่แน่ใจแล้วสิ ว่าอาจจะเจอของจริง เร็วๆนี้ก็ได้ สำคัญอยู่ว่า ถ้ากรุงเทพเกิดจมบาดาลจริงๆ เราจะเป็นคนที่ใครสักคนเลือกให้รอดหรือเปล่า มันจะขนาดหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่อง "ต้องรอด" หรือเปล่า

ที่พูดถึงหนังทั้ง 2 เรื่องขึ้นมานี่ก็ไม่อะไรหรอกครับ ผมถามลูกค้าสาวสวยคนหนึ่งซึ่งเอาหนังสือเรื่อง "Year of flood" ของ Magaret Atwood มาเทิร์น เธอบอกคร่าวๆว่าเป็นเรื่องแต่งอิงจากความจริงที่เกิดขึ้น หลังน้ำท่วมใหญ่ ปีที่ 25 ... ผมเลยถามเธอไปว่า เธอชอบหนังเรื่องไหนที่เกี่ยวกับหายนะภัยจากธรรมชาติ เธอชอบ 2012 เพราะมันดูเว่อร์ดี ส่วนเรื่องหลังมันดูเป็นไปได้ยากกับพายุศูนย์องศาที่เกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วน แต่เธอภาวนาว่าขอให้มันไม่เกิดในยุคปัจจุบันทั้ง 2 เรื่อง ไม่งั้นพวกเราอาจจะสูญพันธุ์เหมือนไดโนเสาร์ก็ได้

ผมรับเทิร์นหนังสือเล่มนั้น โดยแนะนำให้เธอเอาหนังสือยอดฮิต "The girl with dragon's tattoo" ของ Stieg Larson ไปแทนเผื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เธอตกลง ผมบอกเธอว่าอย่าลืมอีก 2 ภาค คือ "The girl who play with fire" กับ "The girl who kick the hornet nest" ... เธอยิ้มพร้อมพยักหน้า กล่าวขอบคุณแล้วกระชับหนังสือในมือก่อนออกจากร้านไป

ส่วนผม ก็หยิบหนังสือ "Year of flood" เล่มนั้นเก็บไว้ในลิ้นชัก ไปวางรอคิวอ่านต่อจาก "Lord of the flies" ของ William Golding เสร็จแล้วก็เปิดกล่อง บรรจงหยิบซีดีแผ่นแรกวางลงไป กดปุ่มเลื่อนจานวางซีดีเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ กดปุ่มเริ่มเล่นแผ่น แล้วก็ตั้งใจนั่งดูหายนะภัยของชาวโลก ไปพร้อมๆกับบรรยากาศเพลง กินตับ ... เข้ากันดีจริงๆ

................

เดือนก่อนนี้เอง ผมได้คุยกับลูกค้าคนหนึ่ง เป็นผู้ชายใส่แว่นกรอบกลม ดูบุคลิกแล้วมั่นใจตัวเองพอประมาณ เสื้อยืดกับกางเกง 5 ส่วน พร้อมหนวดเคราหรอมแหรมบอกความเซอร์ หอบหนังสือมาถุงใหญ่ มีไกด์บุ๊คภาษาฝรั่งเศส 2 เล่มปนมากับหนังสืออ่านภาษาภาคพื้นยุโรป 3-4 ภาษา เอามาขายให้ผมที่ร้าน ผมพลิกๆดูแล้วถามไปว่า

"เฮ้ คุณอ่านได้หมดทุกภาษาในกองนี้เลยเหรอ"

ชายหนุ่มยิ้ม ยิงฟันแล้วตอบ "ไม่ใช่หรอก ภาษาฝรั่งเศสน่ะใช่ ผมอ่านเอง"

ผมยิ้ม พลางนึกในใจ "แล้วคุณพี่ไปบิณฑบาตรมาจากไหนกันเนี่ย ปนกันไปหมด" ทำการแยกเป็นกองๆ ตามแต่ละภาษาได้ ทั้งหมด 4 กอง แล้วตีราคาบอกไป ต่อรองกันอยู่พักใหญ่ ก็จ่ายเงินให้ไป

ชายหนุ่มพูดติดตลกว่า "ปกติเขาจะเป็นลูกค้า ขอลดราคา แต่วันนี้เขากลายเป็นว่าเจอพ่อค้า ขอลดราคาจากเขา"

ผมอมยิ้มแล้วตอบไป ว่า "ก็ซื้อ-ขาย ทำธุรกิจ ก็ต่อรองกันบ้าง ปกติน่ะ ว่าแต่คุณจะไปไหนต่อเนี่ย ขายหนังสือหมดนี่แสดงว่าคุณจะเดินทางออกจากประเทศไทยแล้วนี่ ใช่ไหม กลับบ้านเลยหรือเปล่า"

"ใช่ ผมจะไปอเมริกาใต้สัปดาห์หน้า" ชายหนุ่มพยักหน้า

"คุณไม่กลับฝรั่งเศสเหรอ" ผมเลิกคิ้วถาม

"เปล่า ผมกลับไปทำงานต่อที่อเมริกาใต้น่ะ ผมเป็นไกด์" ชายหนุ่มตอบพลางถอดแว่นออกมาเช็ด

"แล้วนี่คุณมาเที่ยวเมืองไทยนานหรือยัง" ผมถามต่อ

"ตั้งแต่ 6 เดือนก่อน ผมทำงาน 6 เดือน แล้วก็พัก 6 เดือนสลับกันไป คุณรู้มั๊ย คนส่วนใหญ่ทำงานให้คนอื่น แต่ผม ... ไม่ ผมทำงานให้ตัวเอง ไปไหนก็ได้ที่อยากไป ตามแต่กำลังตัว กำลังเงิน" ยิ้มมุมปาก

"งั้นคุณก็มาคนเดียวสิ" ผมถามต่อ พลางสะดุดกับคำพูดนั้น "ผมทำงานให้ตัวเอง" หัวเราะในใจว่า "ฮึ่ม ... พูดได้ดี เดี๋ยวกรูก็ทำงานให้ตัวเองมั่ง ไหวไหมวะเนี่ย"

"ใช่ ผมมาคนเดียว แฟนผมอยู่ที่บราซิล แต่ผมยังไม่มีครอบครัว"

ผมเปลี่ยนเรื่องถามต่อ กลัวไม่สุภาพ "เมืองไทยเป็นไงบ้าง ในสายตาคุณ"

"ก็ดีนะ แต่คุณรู้ไหม สถานที่ท่องเที่ยวเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปมาก ผมมาไทยครั้งแรกเกิน 10 ปีแล้ว ตอนนั้นเกาะช้างยังธรรมชาติมาก ไม่เป็นแบบนี้ ที่มีรถเต็มไปหมด คุณดูภาพในนี้" ชายหนุ่มหยิบหนังสือให้ดู เปิดไปที่จังหวัดหนึ่งทางภาคใต้ ชี้ไปที่ภาพชายหาดแห่งหนึ่งที่เว้าเข้าหากันจาก 2 ฝั่ง

"ภาพนี้คือก่อนสึนามิเข้า หลายปีก่อน คุณเห็นไหม หาดทรายนี้สวยแค่ไหน โค้งงามมาก ใครๆก็อยากมาให้เห็นกับตา แต่ตอนนี้ภาพนั้นไม่มีอีกแล้ว ตรงกลางนั้นกลายเป็นรีสอร์ท มีกำแพงสร้างขึ้นน่าเกลียดมาก ... น่าละอายจริงๆ มันเป็นอุทยานแห่งชาติไม่ใช่หรือ"

"เหรอ ... อืม" ผมทำคิ้วขมวด พลางนึกในใจ "เอ่อ ... พี่ คือผมขายหนังสือเฉยๆนะ ไม่ได้มีหุ้นในรีสอร์ทนั้น แล้วก็ยังไม่เคยไปด้วย ไอ้หาดนั่นน่ะ เคยเห็นแต่ในรูปเหมือนกัน ว่าแต่ ... ท่านผู้ว่า ททท. อยู่ไหนเนี่ย"

"แล้วคุณว่า อีกสัก 10 ปีถัดไปนี่ มันจะเป็นยังไง" ผมพยายามหาทางพลิ้วออกมาได้

ชายหนุ่มคิดนิดหนึ่ง แล้วตอบ "ผมว่าเปลี่ยนไปอีกเยอะแน่นอน ตอนนี้โลกร้อนทำให้ทุกอย่างเปลี่ยน คุณคงรู้เรื่องหิมะละลายที่ขั้วโลก มันทำให้กระแสน้ำอุ่น-น้ำเย็น ทั่วโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งอุณหภูมิและทิศทาง ดังนั้นสภาพอากาศก็จะเปลี่ยนแปลงมากขึ้น พืช-สัตว์เปลี่ยน การดำรงชีวิตเปลี่ยน เศรษฐกิจก็จะเปลี่ยน มนุษย์เราก็ได้รับผลกระทบด้วย ... และเร็วยิ่งขึ้น บางทีนะ 10 ปีข้างหน้า เราอาจจะสูญเสียสถานที่ท่องเที่ยวบางที่ไปตลอดกาลก็ได้"

"แล้วคุณจะกลับมาที่เมืองไทยอีกไหมเนี่ย" ผมถามคำถามสุดท้าย พลางนึกถึงหาดทรายสวยในภาพนั้น

ชายหนุ่มเม้มปาก "ไม่รู้สิ 6 เดือนที่เมืองไทยนี่มันก็นานนะ แล้วมันก็ยังมีที่อื่นๆอีกทั่วโลก ผมอาจจะไม่กลับมาอีกเลยก็ได้"

"ถ้างั้นผมขอให้คุณเดินทางโดยสวัสดิภาพ ถ้าเราไม่ได้เจอกันอีก ก็ขอให้คุณโชคดี" ผมนึกถึงชื่อหนังสือเรื่อง ชีวิต ... สำมะหาอันใด ของเรวัติ พันธ์พิพัฒน์ กับ ชาติ กอบจิตติ ในบันทึกเรื่องราวไร้สาระของเขา ... เล่มแรกนั้น จำเนื้อเรื่องไม่ได้ แต่ชื่อนี่สิที่สะดุดหูดีเหลือเกิน ส่วนเล่มหลัง ตอนที่พบกับหนุ่มญี่ปุ่นบนแผ่นดินอเมริกา ถ้าจำไม่ผิดพี่แกปฏิเสธที่จะให้ที่อยู่ติดต่อไปกับเพื่อนเดินทาง หลังใช้เวลาเดินทางด้วยกันระยะหนึ่ง ... เหตุผลนั้นเป็นของพี่ชาติแกเอง แต่ความรู้สึกของผมนี่สิ จะเรียกว่าประทับใจก็กระดากปาก ถึงอย่างนั้นมันก็เป็น 1 ในเรื่องไร้สาระที่ผมยังจำได้ไม่ลืม

ชายหนุ่มเดินออกจากร้าน หลังจากนั้น 2-3 วัน ผมเดินสวนกับเขาบ้างเป็นบางครั้งก่อนที่เขาจะหายไป

.....................

ดึกคืนวานก่อนปิดร้าน ลูกค้าเก่าหนุ่มสาวชาวฝรั่งเศสคู่หนึ่ง แวะเข้ามาทักทายผมในร้าน ชายหนุ่มบอกว่า หนังสือ "Alchemist" ของ Paulo Coelho ที่แลกไปวันก่อนนั้น เยี่ยมมาก มันเกี่ยวกับเวทย์มนตร์ การตามล่าความฝันของเด็กเลี้ยงแกะ เอาไว้จบแล้ว จะมาซื้อเล่มอื่นไปอ่านต่อ

ผมบอกไปว่า "ได้สิ ผมมี "Veronika Decides to Die" กับ "Brida" เก็บไว้อีก 2 เล่ม ยังใหม่อยู่เลย แต่คุณต้องรีบหน่อยนะ ประมาณสักเมื่อไหร่ล่ะ ถ้าไม่นานเกินไป ผมจะเก็บไว้ให้"

หญิงสาวตอบมาว่า "น่าจะหลังสงกรานต์น่ะ เพราะพรุ่งนี้เราจะขึ้นไปเชียงใหม่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ ถึงจะกลับลงมาที่กรุงเทพอีก"

ผมพยักหน้า แล้วถามปนหัวเราะไปว่า "นั่นแน่ คุณจะไปเล่นสงกรานต์ที่เชียงใหม่ ใช่ไหมเล่า"

"ใช่ๆ ถูกแล้ว แต่เราหวังว่าที่เชียงใหม่คงไม่หนาวอย่างนี้ คุณว่าไหม" คนหนุ่มหัวเราะตอบ พร้อมถามกลับมา

"ไม่รู้สิ ผมเองก็ไม่แน่ใจแล้ว ปีนี้เป็นปีแรกที่เจอสภาพอากาศแบบนี้ หนาวขนาด 10 กว่าองศา ในหน้าร้อนปลายเดือนมีนาคม ก่อนสงกรานต์ ... ไม่เคยเจอ" ผมสั่นหน้า แบมือ "นี่ก็ 2 รอบแล้วนะ แล้วหนังสือพิมพ์ยังบอกด้วย ว่าจะมีรอบที่ 3 พร้อมพายุฝนอีกต่างหาก"

"คุณรู้ไหม เสื้อกันหนาวมีฮู้ด ขายดีมาก หมดทุกร้านเลย เราเองก็แฮปปีนะ เหมือนกับอยู่ในยุโรป" คนหนุ่มบอก

"แต่ฉันว่าถ้าหนาวถึงสงกรานต์คงไม่ดีแน่ เล่นสาดน้ำอย่างนั้น มันต้องอากาศร้อนมากๆสิ ถึงจะสนุก ถ้าหนาวขนาดนี้ ใครจะออกมาสาดน้ำกัน คุณว่าจริงไหม" หญิงสาวกล่าวอย่างกังวล

"ใช่ๆ ผมก็ว่างั้นแหละ ดังนั้นขอภาวนาอย่าให้หนาวเลยแล้วกัน" ผมพยักหน้าเห็นด้วย พลางนึกไปถึง พื้นทางเดินหน้าวัดชนะสงคราม ที่ตอนนี้เริ่มถูกสีสเปรย์พ่นตีเส้น พร้อมตัวหนังสือ "จองแล้ว" เป็นหย่อมๆ ถามตัวเองในใจ "ใครจะไปรู้ได้ไงว่าใครจอง ... วะ นอกจากคนที่พ่นสเปรย์" เรื่องนี้ซีเรียสนะครับ ถึงขั้นยืมเงินแขกดอกร้อยละ 20 ต่อวันก็เฉยๆ เป็นเงินเป็นทองทั้งนั้นนะครับ สงกรานต์บางลำพู-ถนนข้าวสารนี่ ... แล้วถ้าหนาวจริงขึ้นมาละก็ พ่อค้า-แม่ค้าสงกรานต์คงแย่กันแน่ๆเลย

"ก็ถ้าคุณกลับมาแล้ว เอารูปสงกรานต์เชียงใหม่มาให้ผมดูบ้างนะ" ผมเปรยยิ้มๆ

"ได้เลย แต่ผมคงต้องหาที่ครอบกันน้ำไปด้วยสักอัน ไม่งั้นกล้องพังแน่ๆ" ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนทั้งคู่จะบอกลาแล้วออกจากร้านไป

ผมเดินตามไปส่งที่หน้าร้าน ทั้งคู่หันมาโบกมือลาจากฝั่งตรงข้ามของถนน ผมโบกมือตอบ พร้อมชำเลืองมองตัวหนังสือสเปรย์ที่พ่นอยู่บนทางเดินหน้าร้าน หันหน้าเข้าไปมองกองปืนฉีดน้ำ 4-5 กองด้านใน พร้อมกับถอนหายใจ พึมพำ .... "จะหนาวไหมเนี่ย"




Create Date : 04 เมษายน 2554
Last Update : 7 เมษายน 2554 9:52:11 น. 2 comments
Counter : 1156 Pageviews.

 
ดีใจครับที่ได้เจอกันอีก


โดย: พสิษฐ์ IP: 124.120.56.205 วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:21:47:49 น.  

 
ยินดีครับ ขอบคุณที่แวะมา


โดย: เจตตจัน (jettajan ) วันที่: 11 เมษายน 2554 เวลา:0:21:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.