Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
21 สิงหาคม 2555
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน พูดลอยๆ

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่นะครับและได้พบกันอีกครั้งกับเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อยจากร้านหนังสือเล็กๆแห่งหนึ่ง ณ มุมถนนข้าวสาร หมุดหมายแรกแห่งการเดินทางจากทั่วโลกสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลายคนตั้งต้นการผจญภัยที่นี่อย่างเช่น ริชาร์ด ตัวเอกแห่งนวนิยายท่องเที่ยวผจญภัยร่วมสมัย "The Beach" ที่พระเอกหนุ่ม ลีโอนาโด ดิคาปริโอ แสดงนำอันเปิดฉากเรื่องขึ้นที่เกสเฮาส์แห่งหนึ่งในถนนข้าวสาร ก่อนจะไปทำให้ "เกาะพีพี" แห่งประเทศไทยโด่งดังเป็นพลุแตก นำหน้าสองเฒ่าเสาหลักจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยุคสงครามโลก "สะพานข้ามแม่น้ำแควแห่งกาญจนบุรี" และ "เกาะภูเก็ต ไข่มุกแห่งอันดามัน" ไปหลายช่วงตัว

ในวันอันฝนตก และในวันอันเปิดร้านเหมือนไม่ได้เปิดร้าน ( ปิดร้านนอนอ่านหนังสือดีกว่า ... ว่างั้น ) ลูกค้าจริงๆรายแรกเข้ามาซื้อหนังสือตอนสี่ทุ่ม ( หลังจากที่ลูกค้าปลอมๆเข้ามาหยิบนั่นนิด พลิกดูนี่หน่อย ถามโน่นนิด ขอบคุณนู่นหน่อย ทั้งงงงงวัน ) อากาศอบอ้าว ทำให้เหงื่อซึมชวนให้ง่วงเหงาหาวนอน ... ชวนให้อยากสัปหงก ... ปิดร้าน ( ฝนตกก็ว่าไล่ลูกค้าเลยขายของไม่ได้ ฝนไม่ตกก็ร้อน ... เอาแต่บ่น บ่น บ่น )

ก็ลูกค้าน้อยจริงๆนี่ ใส่บาตรเช้าทำบุญก็แล้ว กรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรก็แล้ว รดน้ำนางกวักก็แล้ว ฮึ ... จิตฝ่ายเทพรำพึงรำพันอย่างน้อยอกน้อยใจ

( เอ้า ... ถ้าประชดประชันกันมากนักก็ปิดร้านไปเลยก็ได้ ... จิตฝ่ายมารเริ่มเดือด อยากเหวี่ยงใครสักคนอย่าง "น้องพลอย" เต็มแก่ )

โอเค โอเค ... ตั้งสติหน่อย ตั้งใจเขียนหน่อย .... ว่าแล้วจิตฝ่ายเทพและจิตฝ่ายมารก็รวมร่างเข้าหากันเป็นซุปเปอร์พิสโกโร่ #%@&฿ ....

((( ขออภัยจริงๆครับ อากาศมันร้อน แถมลูกค้าน้อย ชวนวิปลาสจริงๆ ... ถ้าไม่ชอบมุขนี้ ช่วยคอมเมนท์เข้ามาด้วยนะครับ ... ทีหลังจะไม่เล่นอีก )))

...............

เสียงเพลงของจิ๊กโก๋คนเดิมกลับมาให้หายคิดถึง พร้อมกับ MV ที่ดูสบายๆ เพลินๆ สมกับความเป็นรุ่นใหญ่ที่กำลังพอดีๆ ไม่ขาดไม่เกิน "พูดลอยๆ" ของสหภาพดนตรีจาก 3 คนดนตรีที่ยืนระยะมายาวนานในใจของวัยกลางคนกว่าๆ ก็เพราะดี ฟังง่าย ติดหู ... แต่ผมกลับรู้สึกประทับใจผู้ชายคนนั้นเป็นพิเศษ "จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี" บทพูดเพียง 2-3 ประโยคกับการทักเชิงสะกิดในสไตล์ของผู้ชายรุ่นใหญ่ที่มีความหมายง่ายๆ แต่ได้ใจความ ... "เฮ้ย เหม่ออีกแล้ว ... ลืมเขาได้แล้ว พี่ว่าหาแฟนใหม่ดีกว่าวะ ... "

ก็ไม่มีอะไรครับ ฟังเพลงแล้วเพราะ ดูเพลงแล้วชอบ ... ก็ขออนุญาตกล่าวถึงลอยๆสักเล็กน้อย คงไม่ว่ากัน 

... ร้านหนังสือยังเปิดอยู่ครับ สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากได้หนังสือไกด์บุ๊คไปอ่านเล่นแทนหนังสือขายหัวเราะ ทั้งเล่มใหม่และเล่มมือสอง แนะนำว่าเอามาขายคืนนะครับหลังจากใช้แล้ว จะได้เงินคืนในอัตราครึ่งราคา เพียงแต่ขอคำสัญญาว่าจะไม่ฉีกหน้าใดหน้าหนึ่งขาดออกไป หรือทำตกน้ำป๋อมแป๋มเปียกปอนหมดทั้งเล่ม เหมือนกองทัพหนังสือที่จมน้ำเสียชีวิตที่บ้านคุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี ตอนน้ำท่วมปีที่ผ่านมา

ค่ำวันก่อนลูกค้าเก่าชายแก่ชาวตะวันตกแวะเข้ามาขายหนังสือไกด์บุ๊คสภาพดีพร้อมกับนั่งคุยกันนานเป็นชั่วโมง หลังจากต่อรองราคากันเสร็จสรรพ มุมมองจากคนนอกประเทศสะท้อนอะไรหลายๆอย่างที่หลากหลาย ทั้งเศรษฐกิจและการเมือง เรื่องที่ละเอียดอ่อนและเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้งที่ยังไม่มีวี่แววแห่งความคลี่คลาย

บทสนทนาเริ่มต้นประมาณว่า ... "เป็นไงบ้าง ธุรกิจของคุณโอเคไหม"

ผมแบมือพลิกกลับไปมา ทำหน้าเบ้ "Not good" จริงๆแล้วเดือนนี้ลูกค้าชั้นดีควรจะเริ่มเข้ามาบ้างแล้ว ประเภทมาแล้วไม่ถามราคา ต้องการแต่เล่มใหม่ไม่เอามือสอง แล้วก็จ่ายเงินเลยสักวันละคนสองคน แต่นี่มาบ้างนานๆที ลูกค้าที่มีอยู่ก็เป็นประเภทงบประมาณต่ำ เดินเช็คราคามันทุกร้าน ... แถมพอกลับมาครั้งที่สอง ครั้งที่สามก็ยังขอต่อราคาอีก



หน้าตาของ 1 ในลูกค้าชั้นดีที่มาซื้อโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์ใหม่กิ๊กไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ทั้งคู่เป็นสาวชาวออรันเย่ ... คือ คอบอลคงพอรู้ว่ามันเป็นชื่อเรียกแฟนบอลชาวกังหันสีส้มแห่งฮอลแลนด์

"แล้วของคุณล่ะ ... โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ ที่สีลม ... ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง คุณเป็นเจ้าของเองหรือเปล่า" ผมถามกลับ

"ไม่ใช่น่ะ มันเป็นของเพื่อนผม ... ก็ยังดีนะ นักเรียนยังเต็มอยู่ แต่สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว มันคนละเรื่องเลย" ชายแก่ส่ายหน้า

"เพื่อนผมที่พัทยาทำร้านอาหารตะวันตก ตอนนี้ที่นั่นกำลังจะแย่ คนมาเที่ยวน้อยมาก เพื่อนผมต้องปิดร้านที่พัทยา เพื่อมาเปิดร้านอาหารที่ซอยรามบุตรี นอกนั้นสีลม สุขุมวิท ก็เงียบไม่ค่อยมีคนสักเท่าไหร่ ผมแว่บๆเข้าไปดูบางทีเห็นมีลูกค้าอยู่แค่ 4-5 คน ทั้งๆที่ปกติจะเต็มจนล้น แต่ธุรกิจมันมีขึ้นมีลงน่ะ โดยรวมๆผมว่ามันลงมาตั้งแต่ 2 ปีก่อนแล้ว ตั้งแต่ตอนที่มีโพรเทสต์ของ "เรดเชิร์ท" ตอนนั้น ... คุณอยู่แถวนี้ คุณก็เห็นนี่ ใช่ไหม"

"ใช่ ผมอยู่ที่นี่ทุกวันแหล่ะ" ผมพยักหน้า

"มันก็แปลกนะ ตอนที่เรดเชิร์ทมาที่ราชดำเนินนี่ ก็ดูเซฟดี ผมเดินเข้าไปจนถึงร้านแมคโดนัลด์ตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ่ายรูปมาหลายรูป พวกเขาให้ถ่ายได้ ผมเห็นตำรวจก็ไปกินอาหารที่แจกกันที่เต๊นท์ มีบางคนให้ผมมากินด้วย แต่ผมปฏิเสธไป ผมคุยกับบางคนที่ขึ้นไปพูดบนเวที เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก ผมถามไปว่าถ้าตำรวจมาเขาจะทำยังไง เขาบอกว่าเขาก็จะไปหรือไม่งั้นก็อีกสักเดือนนึง ฝนมาแล้ว พวกคนที่นั่งอยู่นี่ก็คงจะกลับไปทำนากัน ผมถามไปอีกว่า คุณรู้ใช่ไหมว่าถ้ามีใครสักคนทำอะไรรุนแรงขึ้นมา ยิงปืนขึ้นมา เหตุการณ์อาจจะแย่ลงได้ เขาบอกว่าใช่ เขารู้ แต่เขาก็ไม่รู้จะทำไง" สายตานั้นมองตรงมา

"พวกฝรั่งก็ยังเฉยๆกันอยู่ เพราะเขาไม่ได้มาป่วนอะไรในถนนข้าวสาร ... แต่แน่ละ รถติดเดินทางไม่สะดวกเลย ... จนกระทั่งวันนั้น วันที่ 10 ก่อนที่จะมีการยิงกันเกิดขึ้น พวกทหารก็มากันคนออกไปจากเบอร์เกอร์คิงจนหมด กำแพงแถวนั้นเป็นรูรอยกระสุนเต็มเลย วันรุ่งขึ้นผมก็บินไปสมุยเลย ความรู้สึกตอนนั้นแย่จริงๆ ตอนแรกผมยังรู้สึกตลกอยู่เลยที่เห็นบางคนผอมมากๆ แต่พยายามจะยกปืนกระบอกใหญ่ๆบนรถแต่ยกไม่ขึ้น" เสียงทุ้มต่ำลากยาวเล็กน้อยก่อนต่อมา "หลังจากนั้น ก็เห็นว่ามีการยิงกันทั่วไปหมด ตอนที่ผมดูข่าวจากทีวี"

"ถ้าเป็นบ้านคุณล่ะ ที่อังกฤษ ไม่ก็อเมริกา" ผมถาม

"อ๋อ แน่นอน ทำแบบนี้ไม่ได้หรอก แค่ 24 ชั่วโมงเท่านั้นแหละ ตำรวจที่ลอนดอนมีตั้ง 30000 คน พวกเขาจะมาพร้อมกับกระบองแล้วตีเข้าที่ขาของคุณ ถ้าเป็นผม ... ผมก็เผ่นเหมือนกัน ... แต่ถ้ามีใครมายิงตำรวจละก็ รับรองเลย คุณโดนยิงแน่ ... แต่ที่นั่นจะแย่กว่านี้ อันตรายกว่านี้นะ เพราะผู้คนจะทุบทำลายร้านค้า-ข้าวของด้วย คุณเห็นในข่าวไหมล่ะ ... อเมริกาหรืออังกฤษ ในลอนดอนก็เถอะ เวลาคุณเดินถนนเปลี่ยวๆหรือตอนค่ำๆนี่ อันตรายนะ จะมีโจรตามซอกตึกเอามีดมาจี้เอาเงินของคุณ เวลาผมเดินก็จะพยายามเดินตรงที่ไฟสว่างไว้ ... ไม่เหมือนที่นี่ ดึกๆบาร์เลิกตอนตีสองตีสาม ผมสามารถเดินทะลุตรอกซอกซอยได้อย่างปลอดภัย ไม่มีใครมาทำอะไรผม" เจ้าของเสียงพูดยิ้มยิงฟัน

"ธุรกิจแถวนี้ยังดูดีกว่าที่อื่นๆ คุณเห็นใช่ไหม แถวนี้มีโรงแรมเปิดใหม่ 2-3 แห่ง รวมทั้งที่ตลาดนานาด้วย ขณะที่ที่อื่นๆกำลังแย่" ... เขาหมายถึงโรงแรมใหม่ติดถนนหน้ากว้างขนาด 4 ห้องใกล้ๆสำนักงานเขตพระนคร เยื้องตลาดนานา เจ้าของคือคนเดียวกันกับที่เป็นเจ๊เจ้าของร้านขนมปังพรชัย ... ไอ้ที่ปอนด์ใหญ่ๆใส่ลูกเกดเยอะๆน่ะ "คุณว่าหลังจากนี้จะมีโพรเทสต์แบบนั้นอีกไหมล่ะ"



เจ๊แกขายหนมปังจนรวย แล้วขยับขยายต่อไปทำโรงแรมให้ฝรั่งพักแถวตลาดนานา

ผมเม้มปาก ขมวดคิ้ว "ไม่นะ คนเราต้องเรียนรู้จากประวัติศาสตร์สิ ซัดกันขนาดนั้น มีคนตายขนาดนั้น มันมีแต่เสียกับเสีย ตะลุมบอนกันขนาดนั้นมันไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใครแล้ว คือเราน่าจะรู้ว่าทะเลาะกันได้ แต่ห้ามทำร้ายกัน ส่วนความขัดแย้งที่มีอยู่ก็ไปทะเลาะกันในสภาสิ ... ผมว่าน่าจะไม่แล้ว คุณเห็นไหม 2 ปีนี่ดูดีขึ้น มันดูสงบขึ้น"

"ใช่ ตอนนั้นมัน "Nobody knows" แล้ว ... คุณพูดถูก ... ส่วนที่เขาออกมานั่งกันที่นั่น ผมว่าบางทีมันอาจจะต้องมีการเปลี่ยนอะไรบ้าง แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็จะต้องรู้ว่าพวกเขาต้องกลับไปทำมาหากิน หาเงินใช้ ต้องให้ข่าวดีๆออกไป ผู้คนก็น่าจะกลับมาเที่ยวกัน เป็นวัฏจักรของมัน เหมือนที่ลอนดอนก็เหมือนกัน ก่อนหน้านี่ก็มีขึ้นมีลง ... คุณดูสิ ปีก่อนกรุงเทพไม่เห็นมีน้ำท่วมเลย ที่สีลมมีกำแพงถุงทรายสูงเป็นเมตร ฝรั่งนักท่องเที่ยวเดินผ่านมา พอเห็นก็ตาเหลือกแล้วก็บอกเพื่อนๆ คนก็ไม่มากันสิ ... แต่บางที ปลายปีนี้อาจจะดีก็ได้"

"แต่ตอนนี้ บางอย่างก็ดี ... ใช่ไหม โรงเรียนภาษาของคุณก็ดี อีโคคาร์ก็ขายดี ใช่ไหม" ผมยิ้มแล้วยักคิ้วให้ ... และคิดต่อในใจ "ใช่ แล้วน้ำมันก็ขายดีด้วย จากที่เคยลองคำนวนดู ผมใช้รถ NGV ค่าน้ำมันค่าแก๊ซปีละแค่ 6-7 หมื่นบาท แต่ถ้าเป็นรถน้ำมันทั่วไป ปีนึงก็แสนกว่าถึงสองแสน ... เหล่ารถคันแรกนี่น่าจะเมคมันนีให้บริษัทน้ำมันร่ำรวยเพิ่มขึ้นไปอีกไม่รู้กี่ชั่วโคตร ... นี่เห็นเอาเงินไปซื้อหุ้นบริษัทโคฟที่เมืองนอกอีก ไม่รู้ว่าจะขึ้นราคาน้ำมันหาเงินใช้อีกเท่าไหร่"

"เดี๋ยวทุกอย่างก็คงจะดีขึ้นน่ะ ... ส่วนใครบางคนอาจจะกลับมาหรือไม่กลับก็ไม่รู้ คุณว่าไง" สายตาหมายถึงคนแดนไกล

"หมอนี่รู้เยอะดีแฮะ" ผมคิดพลางตอบไปว่า "ไม่รู้สิ แต่ผมเรียนรู้อะไรหลายอย่าง เช่นข่าวของแต่ละที่นั้นไม่เหมือนกัน เมื่อก่อนผมอาจจะอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเดียว แต่เด๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว มันเป็นสงครามข่าวสาร ที่ทำให้ต้องอ่านเยอะขึ้น ฟังเยอะขึ้น กลั่นกรองและคิดเยอะขึ้น"

เสียงหัวเราะพร้อมยิ้มระบายเต็มหน้าก่อนบอก "ใช่ๆ คุณพูดถูก"

"แล้วก็รัฐบาลไหนก็แล้วแต่ การโกหกกับผลประโยชน์ มักจะเกี่ยวข้องกัน คู่ขัดแย้งอย่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้านมักจะพยายามดิสเครดิตฝั่งตรงข้ามเสมอ" ผมต่อยิ้มๆ

"ฮ่าๆ คุณพูดถูกอีก ตอนผมเป็นทหาร หลายครั้งที่ผมอ่านข่าวจากรัฐบาลแล้ว มันไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ผมเห็นอยู่เลย แต่ผมพูดไม่ได้นะ เพราะผมเซ็นสัญญาไว้เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลอะไรประมาณนี้แหล่ะ ซึ่งมันอาจจะทำให้ผมต้องไปอยู่ในคุกได้ถึง 30 ปีทีเดียว" เสียงหัวเราะดังพร้อมพยักหน้า

"แล้วก็คุณเป็นฝรั่ง คุณเสียหน้าเป็นไหม ... ผมว่าคนเป็นรัฐบาลหรือคนมีอำนาจมักจะไม่อยากเสียหน้าเสมอ โดยเฉพาะคนไทยมักจะเป็นโรคนี้กันอย่างเยอะ" ... เสียงดังก้องในหัวสมอง "อันนี้เกี่ยวกับใครบ้างก็ไม่รู้นะครับ คิดกันเอาเอง"

"รู้สิ ผมเองตอนเป็นทหารเคยโดนลงโทษให้ติดคุกด้วย เพราะวันนั้นออกจากค่ายมาแล้วผมเมา ก็เลยไม่กลับเข้าไป พอวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็มาหาแล้วบอกผมว่า ต้องทำตามหน้าที่ แล้วก็จับแขนผมไขว้หลังใส่กุญแจมือ พาผมไปเข้าคุกทหารอยู่ตั้ง 2 เดือน ... คุณรู้ไหมหลังจากนั้นแรกๆ พ่อ แม่หรือใครถามผมที่หายไป ผมก็บอกว่าไปประจำการที่นู้นไหนสักที่นึง จนเป็นสิบปีน่ะผมถึงได้บอกกับที่บ้านว่าตอนนั้นผมไปติดคุกมา ก็กลายเป็นเรื่องตลกไป ก็ตอนนั้นผมไม่อยาก Lose face เหมือนกัน" เล่าพร้อมเสียงหัวเราะเฮฮา ยังกะคุยอยู่ในร้านเหล้า

หลังจากลูกค้าออกไป ผมทำตาลอยๆ พูดลอยๆ กับวิญญาณของลูกค้าที่ลอยไปลอยมาไม่เข้ามาซื้อหนังสือในร้านสักที

"... พูดลอยลอยผ่านลมและฟ้าอีกครั้ง
ให้เธอฟัง เผื่อเธอคนนั้นอยากรู้
ฝากฟ้าและลมบอกเธอ ว่าฉันไม่เคยรอเธออยู่ ... รู้แค่เพียงว่ายังคิดถึงเธอ

ฝากฟ้าและลมบอกเธอ ว่าฉันไม่เคยรอเธออยู่ ... รู้แค่เพียงว่ายังคิดถึงเธอ"

Smiley ... Smiley ... Smiley

ป.ล. ก็ขอพูดลอยๆต่อเรื่องหนักๆอีกสักหน่อยครับ ... บางคนอาจจะเจ็บปวดบ้างสักเล็กน้อย แต่ก็จำเป็น ... ถึงทั้งคนที่อยู่เมืองไทยและเมืองนอก ทั้งหัวหงอกและหัวดำทั้งหลาย คงจำกันได้นะครับ สำหรับโคลงระดับมัธยม ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปรมานุชิตชิโนรสทรงนิพนธ์ไว้ใน กฤษณาสอนน้องคำฉันท์

"พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา"

พอดีผมนับถือศาสนาพุทธ ... ก็ไม่มีอะไรยั่งยืนนะครับ ตายแล้วก็เหลือแต่ชื่อ ทรัพย์สมบัติกับสังขารก็ทิ้งไว้ ... ติดตามไปก็มีเพียงแค่ "กรรม" ถึงตอนนั้นจะไป "สวรรค์" หรือลง "นรก" ก็แล้วแต่ศรัทธา .......




Create Date : 21 สิงหาคม 2555
Last Update : 1 กันยายน 2555 23:38:06 น. 2 comments
Counter : 1427 Pageviews.

 
ตามอ่านบล็อคคุณแล้ว อยากแวะไปอุดหนุนที่ร้านจังเลยครับ
แต่ไม่ได้ไปข้าวสารหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่คราวแมนยูเสียแชมป์ ผมนั่งซดเบียร์กับเพื่อนอยู่ที่ Silk Bar เห็นทีต้องเวลาไปเดินเล่นแถวนั้นหน่อยแล้วครับ


โดย: i.am.Victor วันที่: 3 กันยายน 2555 เวลา:18:51:01 น.  

 
อ่านแล้ว ทำให้นึกถึงสมัยอยู่บางลำพู วิ่งเล่นแถวนั้น ปีนป่าย อย่างกับสนามเด็กเล่น คิดถึงคนที่อยู่แถวๆๆนั้น อะไรๆก็เปลี่ยนไป แต่ป้าร้านขนมปังพรชัย ก็ยังไม่เปลี่ยนเลย เห็นตั้งแต่เด็กๆๆ ยังสาวอยู่เหมือนเดิม อิอิ



โดย: koji IP: 171.98.18.98 วันที่: 13 กันยายน 2555 เวลา:4:46:36 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.