ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน พิเศษสำหรับแฟนพันธุ์แท้สตาร์บัคส์
สวัสดีครับ คุณผู้อ่านทุกท่าน ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งกับเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อยจากร้านหนังสือในข้าวสาร ร้านหนังสือมือสองเล็กๆที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน โดยมีวัตถุประสงค์ในการประนีประนอมระหว่างความฝันกับชีวิตจริง และเพื่อเติมบางอย่างที่ขาดหาย ... ในถนนเล็กๆสายหนึ่งกลางกรุงเทพ ถนนสายนี้ที่เป็นหนึ่งในประตูสู่ประเทศไทยและประตูสู่เอเชีย ของชาวต่างชาตินับแสนนับล้านคนต่อปีที่หลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวพร้อมกับวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป
สัญญลักษณ์หนึ่งของวัฒนธรรมตะวันตกที่ย่ำลงไปทั่วโลกก็คือร้านกาแฟสตาร์บัคส์ และหลังจากที่สาขาที่ 44 ณ. "บ้านไกรจิตติ" ถนนซันเซท กลางถนนข้าวสารถูกปิดไปเพราะหมดสัญญาเช่าเมื่อ 19 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา สาขาใหม่ก็กำเนิดขึ้นพร้อมกับโรงแรมใหม่ "บ้านชาติ" ณ. พื้นที่เดิมที่เป็นปั๊มน้ำมันเก่า ระหว่างซอยรามบุตรีกับโรงพักชนะสงคราม
จำได้ว่าตั้งแต่เด็กสมัยประถม ผมต้องเดินทะลุปั๊มน้ำมันเข้าไปหาเพื่อนที่เป็นลูกตำรวจอยู่ในแฟลตด้านหลังของปั๊ม ... หลังจากกาลเวลาผ่าน กิจการที่ซบเซาทำให้ปั๊มน้ำมันต้องปิดกิจการไปพร้อมกับการเข้ามายึดครองแบบชั่วคราวของร้านเหล้าที่เปิดขายเป็นล่ำเป็นสันตอนค่ำถึงดึกดื่น ผมเองยังเคยแว่บๆไปสัมผัสบรรยากาศกินเบียร์-เชียร์บอลยามค่ำที่นั่นบ้าง แสงสว่างวอมแวมจากไฟราวพาดระเกะระกะ พร้อมกับเทียนไขจุดริบหรี่อยู่ในถ้วยแก้ว ช่วยให้บรรยากาศสุดฮิปเป็นที่ชุมนุมของฝรั่งนักท่องเที่ยวอยู่พักใหญ่ ... จนกระทั่งดีลธุรกิจจบได้ด้วยดี เจ้าของ "ชาติเกสเฮาส์" ได้สิทธิ์ไปพร้อมกับการรื้อใหญ่ของปั๊มน้ำมัน ... คอนเทนเนอร์น้ำมันขนาดยักษ์ที่ฝังอยู่ใต้ดินถูกขุดขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 3-4 ใบ ก่อนที่อาคารโรงแรมใหม่ถูกสร้างขึ้น พร้อมด้วยร้านกาแฟสตาร์บัคส์ที่กำเนิดขึ้นมาใหม่อีกครั้งในจุดศูนย์กลางนักท่องเที่ยวแห่งนี้
"โรงแรมบ้านชาติ" แทนที่ปั๊มน้ำมันเก่าพร้อมกับกำเนิดใหม่ของ "สตาร์บัคส์" - ในโทนสีน้ำเงินเข้ม
แม้ทางเดินด้านหน้ายังคงปรับปรุงอยู่ แต่ร้านกาแฟเปิดแล้วเต็มรูปแบบ ... แหม ถ้าสายไฟฟ้าบ้านเรามุดลงใต้ดินเหมือนเพื่อนบ้านที่ปลายแหลมมลายูได้บ้าง รูปถ่ายคงจะสวยกว่านี้ นอกจากนี้ร้านรองเท้ายูนิเวอร์สก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยขายรองเท้าชาย-หญิง ก็กลายเป็นอะไรที่มันปนกันอย่างในภาพด้านล่างนี่แหละ ลองพิจารณาดูครับ
ป้ายบนเป็นโรงแรม ป้ายล่างเป็นอาคารปฏิบัติธรรม Monkey Shake - ชานมไข่มุกพรีเมี่ยม ... เขาว่าใบชาจากไต้หวัน วิธีการชงจากญี่ปุ่น (ไม่รู้ว่าปะทะกับชาร้อนอู่หลงของผมแล้วจะออกหมู่หรือจ่ากันแน่)
หน้าอาคารด้านล่างเปิดให้เช่าพื้นที่ โดยเฉพาะล็อกขวาสุดติดซอยก๋วยเตี๋ยวเป็ดย่าง-จิระเย็นตาโฟ คือชานมไข่มุก แฟรนไชส์พรีเมี่ยมสัญชาติญี่ปุ่น "Monkey Shake - ลิงเขย่า" แก้วละ 35-55 บาท ... (2 แก้ว อย่างต่ำ 70 บาท ... ราคาเท่ากับ มื้อกลางวัน 1 อิ่ม ข้าวราดปลาดุกผัดพริกไข่ดาว 1 จาน + เกาเหลาเลือดหมู 1 ชาม) ... ทั้งนี้ก็แล้วแต่ชอบ แล้วแต่รสนิยมครับ ของอย่างนี้ไม่มีถูกผิดอยู่แล้ว เพราะ "ยกล้อ" เดี๋ยวนี้ก็หายากเต็มที ......................................................
ร้านหนังสือยังคงเปิดอยู่ครับ แม้สำหรับสุดสัปดาห์นี้ สุดสัปดาห์ที่เป็นการเฉลิมฉลองวันแม่แห่งชาติ ... ลูกค้าสาวสวยจากเนเธอร์แลนด์เธอเพิ่งออกจากร้านไปหลังจากค้นได้ "Barnaby Rudge" ของชาร์ลส์ ดิกคินส์ไป 1 เล่ม ... ในราคาลดพิเศษเพราะ ... เธอฉลาดเป็นกรด หาเรื่องมาขอต่อราคาจนได้ ทั้งว่าหนังสือมันเก่าแล้ว เล่มมันหนา พรุ่งนี้เธอจะบินกลับแล้ว-เอาไปอ่านวันเดียวจบหรือเปล่าก็ไม่รู้ แถมเธอคงเอากลับบ้านไม่ได้ด้วยเพราะเนื้อกระดาษบางส่วนเป็นจุดๆจะเป็นเชื้อราหรือเปล่าก็ไม่รู้ เธอคงจะทิ้งไว้ที่โรงแรมหลังจากเช็คเอาท์ ... ผมก็พยักหน้าหงึกหงัก ... เอาเฮอะ ขอให้อ่านหนังสือให้สนุกแล้วกัน
สาวนักอ่านชาวดัชท์ ที่ได้ "Barnaby Rudge" ของ ชาร์ลส์ ดิกคินส์ไป เธอทำให้ผมนึกถึงลูกค้ารุ่นลุงชาวดัชท์คนหนึ่งที่แวะเข้ามาที่ร้านตอนงานคริสมาสต์ถนนข้าวสารปีก่อน ตอนนั้นเขาปิดถนนข้าวสาร 2 วัน มีดนตรี (ดูบรรยากาศจากบล็อก นอกร้านหนังสือ - วันคริสต์มาสในงานถนนคนเดิน ณ.ถนนข้าวสาร 1 และ 2 ได้) เราคุยกันหลายเรื่อง ตอนแรกที่เข้ามา แกถามผมว่า
"คุณเป็นคนจีนใช่ไหม"
"ใช่ คุณรู้ได้ไง" หน้าตาของผม มันไม่เหมือนคนไทยอยู่แล้ว แต่ผมก็อยากรู้ว่าแกมีเหตุผลอื่นหรือเปล่า
"นี่ไง" ลุงผมขาวกล่าวพร้อมชี้มือมาที่เครื่องคิดเลขและสมุดบัญชี
"ทำไมล่ะ" ผมถามพลางวางเครื่องคิดเลขในมือลง พร้อมกับปิดสมุดบัญชีเลื่อนไปอีกทางของโต๊ะ... มันเป็นปลายเดือนธันวาคมหลังจากน้ำท่วมลดลงพร้อมกับพัดพาลูกค้านักท่องเที่ยวหายไป ใช่แล้ว กรุงเทพป่วนไปหมด การเดินทางลำบากและติดขัด ไม่สามารถบริหารเวลาได้ มันง่ายนิดเดียว แค่เปลี่ยนเป้าหมายแลนดิ้งของเครื่องบินจาก สุวรรณภูมิแอร์พอร์ท ไปลงที่เชียงใหม่หรือภูเก็ต
"คุณทำอะไรอยู่ล่ะ" แกถามกลับ พร้อมยักหน้า
"ก็ ... เช็คยอดขายสิ ... คือเดือนนี้เป็นไฮซีซัน ซึ่งปกติจะทำยอดสูงอยู่แล้ว แต่ปีนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ส่วนหนึ่งน่าจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ อีกสัปดาห์เดียวจะสิ้นปี ผมอยากรู้ว่ามันจะลดลงสักกี่เปอร์เซนต์" ผมอธิบายกระพริบตาปริบๆ
"ผมท่องเที่ยวอยู่เมืองไทยมานาน ไอ้ที่่คุณทำน่ะ ส่วนใหญ่ผมเห็นเป็นคนจีน" แกบอกพร้อมยิ้มมุมปาก
"ไม่มั้งงงง ... เจ้าของธุรกิจย่อมต้องอยากรู้ความเป็นไปของธุรกิจตัวเองทั้งนั้นแหละ เพราะเราต้องบริหารเงินไง ส่วนไหนต้องกันไว้สำหรับลงทุนต่อ ส่วนไหนดึงออกมาเก็บ ส่วนไหนให้รางวัลกับตัวเองได้บ้าง" ผมส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
"จริง ... มาเลย์ก็คล้ายกัน ตอนเย็นคนจีนจะคิดบัญชี แต่แขกมาเลย์จะไม่" เสียงอธิบายต่อพร้อมพยักหน้า
"แล้วคนไทยล่ะ" ผมขมวดคิ้ว
"สังสรรค์ไง" เสียงบอกปนกับหัวเราะในลำคอ พร้อมยกมือทำท่ากระดกข้อมือให้ดู
"ยูเครซี" ผมหัวเราะส่ายหน้า โบกมือให้ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องการท่องเที่ยวเดินทางแทน ... ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่กับข้อสรุปตามตรรกะของแก แต่ผมก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้อย่างเต็มปากเต็มคำสำหรับหนึ่งในมุมมองจากคนภายนอกที่มองเข้ามาในวิถีชีวิตของเราคนไทย ...
ดังนั้น สำหรับกฎหมายควบคุมเกี่ยวกับสุราที่ออกมาล่าสุด ผมโอเคนะ ... โดยวัตถุประสงค์ ผมแฮปปี้กับมัน ... ที่เหลือก็อยู่ที่คนที่เกี่ยวข้องและผู้บังคับใช้กฎหมายแล้วละ ว่าจะทำได้ดีและเข้าถึงประโยชน์ของมันได้แค่ไหน
.............
ณ. บ่ายวันฝนพรำ ลูกค้าชายหนุ่มชาวฝรั่งเศส 2 คนเข้ามาในร้านแล้วก็ก้มๆเงยๆอยู่ตรงชั้นหนังสือฝรั่งเศส ดูเหมือนจะกำลังสปีคเฟรนช์กันอยู่เกี่ยวกับหนังสือโลนลีแพลนเน็ตกับรุทตาร์ทไทยแลนด์ จากท่าทางประมาณว่าคนหนึ่งสนใจรุทตาร์ทเป็นพิเศษ หลังจากผมเข้าไปถามดู ก็ได้แชร์ข้อมูลให้ไปประมาณว่า
"รุทตาร์ทราคาถูกกว่าโลนลีแพลนเน็ต และสำหรับร้านของผมแล้ว ลูกค้ามักจะซื้อโลนลีแพลนเน็ตมากกว่าสำหรับภาษาอังกฤษ แต่สำหรับภาษาฝรั่งเศสแล้ว โลนลีแพลนเน็ตมากกว่าไม่เท่าไหร่ เรียกว่ากินกันไม่ขาดมากนัก จากข้อมูลประมาณนี้ คุณอาจจะพอประเมินได้ว่าจะเลือกเล่มไหน" ลูกค้าหนุ่มพยักหน้าก่อนตัดสินใจเลือกรุทตาร์ทไป 1 เล่ม
"โรงแรมของคุณอยู่แถวไหน" ผมถามขณะหยิบหนังสือใส่ถุงพลาสติกส่งให้ "เราพักอยู่ที่ถนนแถวๆเทเวศน์ ข้างหอสมุดแห่งชาติ" ลูกค้าตอบมาพร้อมรับเงินทอน "ไกลนี่ ทำไมล่ะ แถวนี้มีที่พักเยอะแยะ" ผมถามพลางนึกไปถึงกลุ่มเกสต์เฮาส์ข้างๆกลุ่มเล็กๆ ข้างตลาดวัดเทวราชกุญชร หลังหอสมุดแห่งชาติ ตรงข้ามโรงเรียนอนุบาลธรรมภิรักษ์ ที่นั่นมีฝรั่งเดินแวบไปมาให้เห็นบ้างในสายตาแห่งความสงสัยเล็กๆ "ก่อนมานี่เราหาข้อมูลมาบ้าง รุทตาร์ทบอกว่าที่นั่นเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ชอบความพลุกพล่าน เหมือนแถวถนนข้าวสารนี่ เราอยากพักสงบๆ และก็สัมผัสบรรยากาศจริงๆของคนท้องถิ่นและพอได้มาพักจริงๆ ก็ใช่เลย ที่นั่นมีตลาด มีหอสมุด ไม่มีสถานบันเทิงเสียงดัง-ขายของเต็มไปหมด ที่นั่นเหมาะกับเรา" ลูกค้าอธิบายพลางยิ้มสยายเต็มปาก "โอเค ผมเก็ท แต่คุณลองมาดูบ้างก็ได้ เพราะถนนข้าวสารถึงจะพลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว ตอนกลางคืนก็เข้ามาดื่มกันซะเยอะ แม้แต่ข้างกำแพงวัดชนะฯเองก็เต็มไปหมด แต่เรามีถนนพระอาทิตย์พร้อมกับวิวสวยงามของสวนสันติฯ หรือแม้แต่สะพานพระปิ่นก็ยังโอเค อย่าเพิ่งตัดสินกันด้วยสายตาภายนอก" ผมออกตัวให้สมาคมผู้ประกอบการถนนข้าวสารเสร็จสรรพ "ขอบคุณสำหรับข้อมูล เราจะลองคิดดู" ทั้งสองยิ้ม โบกมือให้ ก่อนออกจากร้านไป
ผมยืนอยู่หน้าร้าน มองตามหลังของลูกค้าสองสหาย ...
"ใช่แล้ว ... เจ้าสุนัขจิ้งจอกน้อยตัวนั้นเคยบอกไว้ ... สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา เีราจะเห็นอะไรได้เพียงด้วยหัวใจเท่านั้น" / Le Petite Prince
555 ... แถมตอนนี้ มนต์เสน่ห์ของกลิ่นกาแฟอันหอมกรุ่นก็กลับมาอีกครั้ง
เอ้า แฟนพันธุ์แท้ทั้งหลาย ขอเชิญเลยครับ
Create Date : 07 สิงหาคม 2555 |
Last Update : 13 สิงหาคม 2555 13:47:33 น. |
|
3 comments
|
Counter : 3523 Pageviews. |
|
|