กรกฎาคมแล้ว ฝนเริ่มตกเรื่อยๆ พอให้เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกันสนุกๆ ระหว่างผ้าที่ซักตากไว้ กับสายพระพิรุณที่เทหนักบ้าง เบาบ้าง สลับกันไป จะว่าไปช่วงนี้ดูข่าวท่องเที่ยวประเทศไทยที่ออกโดยต่างประเทศก็ช่วยให้ยิ้มออกได้บ้างนะครับ -
ไม่ว่าจะเป็นการที่กรุงเทพฯเข้าป้ายได้รับการโหวตเป็นเมืองที่ดีที่สุดในโลก ด้วยคะแนน 89.87 เต็ม 100 พิจารณาจาก แหล่งท่องเที่ยว วัฒนธรรม ความเป็นมิตร การเป็นแหล่งช็อปปิ้ง และความคุ้มค่าของเงิน สำรวจโดยนิตยสาร แทรเวล & เลเชอร์ ประเทศอเมริกา ระยะเวลาจาก ธันวาคม 2011 - มีนาคม 2012 ... เป็นการเข้าวิน 3 ปีซ้อน ประมาณ สเปนเป็นแชมป์ยูโร '08 - แชมป์โลก '10 - แชมป์ยูโร '12 ประมาณนั้น
นอกจากนี้ยังได้เข้าป้ายเป็นอันดับที่ 17 จากการจัดอันดับ 29 เมืองน่าเที่ยวประจำปี 2012 โดยนิตยสาร "อาส์คเมน" ... เขาคอมเมนท์ว่า กรุงเทพฯ เป็นประตูสู่การท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลก แม้บ้านเมืองจะไม่เป็นระเบียบ เต็มไปด้วยฝุ่นควัน ผู้คนนับล้านเบียดเสียดกันแน่นไปหมดท่ามกลางแสงสี และการจราจรอันแสนติดขัด แต่ความยุ่งเหยิงของกรุงเทพฯ นับว่าลงตัวที่สุด ไม่ว่าจะเป็นถนนสายที่พาดผ่านกัน ตึกรามสูงใหญ่ ตลาดนัดที่ขายของตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ และร้านอาหารเด็ดๆที่ได้รับการการันตีความอร่อยจากมิชลินอีกด้วย (ตกลงเขาชมหรือเขาว่ากันแน่ก็ไม่รู้นะครับ)
เห็นไหมครับ ภาพสถาปัตยกรรมทรงไทย ภาพที่ 2 จากมุมบน ซ้ายมือ
นอกจากนี้ CNN GO ยังลงข่าวอาหารไทยจานโปรด 7 อย่างของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่รายงานจากเครือข่ายไอรีพอร์ตเตอร์ทั่วโลกไว้ มี
1) ไก่ทอดที่คลุกเคล้าด้วยเมล็ดผักชี และตะไคร้
2) เสือร้องไห้ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มกลิ่นหอมจากน้ำปลา
3) แกงเผ็ด ที่จะสมบูรณ์แบบเมื่อปิดท้ายด้วย "ชานม"
4) ผัดไทย ของแท้ที่ต้องปรุงด้วยน้ำมะขามเท่านั้น
5) ส้มตำ ซึ่งแม้จะขาดมะละกอก็ไม่มีปัญหาด้วยผลไม้รวมอื่นๆแทน
6) มะม่วงน้ำดอกไม้ หวานฉ่ำสำหรับกินกับข้าวเหนียว
7) ข้าวมันไก่หอมมัน พร้อมน้ำจิ้มแสนอร่อย
ขณะเดียวกันท่านมินิสเตอร์กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาก็ขยันออกข่าวดูดีนะครับว่า การท่องเที่ยวฟื้นดี เศรษฐกิจยุโรปไม่มีผลกระทบ เป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยว 2 ล้านล้านบาทในปี 2558 นั้นหมูมาก ... ก็ได้แต่หวังว่า เหล่าผู้ประกอบการใหญ่-น้อยชาวไทยจะอึดให้ได้ถึงวันนั้นนะครับ ... สาธุ ... เหอะๆ ผมรู้แต่ว่า เพื่อนๆร้านหนังสือร่วมอาชีพในถนนข้าวสารนี้ ปิดไปหลายร้านแล้วครับ อยู่ไปก็งั้นๆ ขายได้น้อยกว่าให้เช่าที่บ้าง ทุบทิ้งทำโรงแรมบ้าง ... ก็ว่ากันไป
..............................
พูดถึงข่าวไกลตัวไปมากแล้ว ... กลับมาที่เรื่องเล่าจากร้านหนังสือกันบ้างครับ วันนั้นหลังจากที่สองสาวจากอาร์เจนตินาผู้มาเที่ยวเมืองไทยเป็นครั้งแรก เข้ามาซื้อแผนที่ประเทศไทย พร้อมกับถามเกี่ยวกับการเดินทางพันกว่ากิโลเมตรจากเชียงใหม่ลงไปภูเก็ต ทั้งคู่ซักฟอกละเอียดยิบทั้งระยะเวลา และจำนวนรอบต่อวัน ทั้งรถทัวร์และรถไฟ โดยเธอออกตัวว่าต้องการรู้ทั้งหมด เพื่อจะได้วางแผนการเดินทางได้สะดวก (ไม่เหมือนหญิงสาวที่มาซื้อไกด์บุ๊คอินเดียก่อนเครื่องบินออกอีก 2 ชั่วโมงในตอนก่อน ... ขอนิน. อีกที) ผมก็ทำหน้าที่เป็นพนักงาน ททท. ที่ดี ช่วยให้ข้อมูลเธอดีที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยการดำน้ำผลุบๆโผล่ๆอยู่พักหนึ่ง พร้อมกับให้เธอเช็คข้อมูลจริงๆอีกทีจากอินเตอร์เน็ต เธอทั้งสองกล่าวขอบคุณก่อนออกจากร้านไป
หลังจากนั้น ผมก็หันมาพยักหน้ากับชายหนุ่มพร้อมนั่งเขียนคำอวยพรลงในโปสการ์ดต่อ เหลืออีก 7-8 ใบจากทั้งหมดเกือบ 20 ใบที่พ่อหนุ่มเลือดมังกรจากจีนแผ่นดินใหญ่มาไหว้วาน ... พี่ท่านชื่อ "หลู เสี่ยง กัง"
ตอนแรกที่เข้ามาในร้าน "คุณเป็นคนไทยใช่ไหม" หนุ่มตี๋เดินตรงเข้ามา ประสานตากับผมแล้วเอ่ยปากถาม
"ใช่แล้ว ผมเป็นคนไทย เกิดที่นี่" ผมตอบยิ้มๆ พลางคิดในใจว่า "หมอนี่มาแปลก ... ตัวเองเป็นนักท่องเที่ยว มาเที่ยวเมืองไทย แต่ดันถามเจ้าของร้านในเมืองไทยว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า"
"คุณช่วยผมเขียนโปสการ์ดหน่อยสิ" หนุ่มตาตี่กล่าวพร้อมยิ้มกว้างขวางและยกปึกโปสการ์ดในมือขึ้นให้ผมดู
ผมขมวดคิ้วแล้วถามกลับงงๆ "อะไรนะ เขียนโปสการ์ด ?"
"ใช่แล้ว ... นี่ไง คุณช่วยเขียนเป็นภาษาไทยลงบนที่ว่างของโปสการ์ดพวกนี้ ผมจะส่งกลับไปที่เมืองจีน อวยพรหรือทักทายก็ได้" เสียงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง "Have a nice day" หรือไม่ก็ "Hello, how are you?"
"คุณส่งไปที่จีนแผ่นดินใหญ่ เขาอ่านออกเหรอ" ผมหยิบปึกโปสการ์ดมาพลิกๆในมือ ดูภาพด้านหลัง พร้อมที่อยู่
"ไม่หรอก มันแค่เป็นของที่ระลึกจากแดนไกลน่ะ" ชายหนุ่มตอบยิ้มๆ
ผมหัวเราะขำในลำคอพร้อมพยักหน้าอย่างเข้าใจ ... อารมณ์ของนักสะสมแสตมป์สมัยเด็กไหลกลับเข้าสู่ความทรงจำอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการเดินเท้าจากบางลำพูไปงานแสดงตราไปรษณียากรที่เซ็นทรัลชิดลม เพื่อสะสมตราประทับประจำวันรูปต่างๆกัน ลงบนไปรษณียบัตรติดแสตมป์งานสัปดาห์สากลแห่งการเขียนจดหมาย แล้วส่งจริง จ่าหน้าถึงตัวเองบ้าง หรือไม่ก็ประทับตราลงบนแสตมป์ที่ผนึกลงบนสมุดพาสปอร์ทพิมพ์พิเศษเฉพาะงาน บางทีก็เป็นงานวาระสำคัญของในหลวงที่กองไปรษณีย์พิมพ์แสตมป์ที่ระลึกออกมาขาย
ผมนั่งเขียนคำอวยพรบ้าง ทักทายบ้างลงไปทีละใบ เช่น
"สวัสดีครับ ขอให้มีความสุข"
"ขอให้สุขภาพแข็งแรงดี อายุยืน"
"ขอให้รวยๆ"
ฯลฯ
มีอยู่ 2-3 ฉบับที่หลงเขียน "สุขสันต์วันเกิด" กับ "สุขสันต์ปีใหม่" ใส่ลงไป ก็ตกใจ ... ตายละวา ข้าพเจ้า ... จะขีดฆ่าก็ไม่สวย ก็ได้แต่ยิ้มๆ มึนๆ ไป คิดในใจไปว่า "ไม่เป็นไรร้อก อย่าคิดมาก เขาอ่านไม่ออกนี่นะ เป็นความผิดพลาดเล็กๆจากแดนไกลน่ะ ... พอขำๆ"
กว่าจะเขียนเสร็จ ก็เล่นเอาเมื่อยมือไปเหมือนกัน ... ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกล่าวขอบอกขอบใจเสียยกใหญ่ก่อนออกจากร้านไป ผมนั่งหัวเราะขำอยู่ในลำคอพลางนึกไปถึงลูกค้าที่แวะมาที่ร้าน ซื้อหนังสือบ้าง อะไรบ้าง แล้วก็ฝากส่งโปสการ์ดที่จำได้ชัดๆก็ 3 ครั้ง
ครั้งหนึ่งคือ ลูกค้า 2 สาวที่เอาราฟไกด์บาหลีมาแลกเป็นส่วนลดโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์ปีล่าสุดไป พร้อมฝากส่งโปสการ์ด ... ผมพออนุมานเอาว่า บนเกาะอาจจะหาตู้ไปรษณีย์ยาก ดังนั้นเพื่อนเธอจะได้โปสการ์ดบาหลี พร้อมตราประทับประจำวันจากเมืองไทย ... และแสตมป์ไทย
โปสการ์ดบาหลี 2 ใบที่มาส่งเมืองไทย
ครั้งถัดมาคือ โปสการ์ดจากเมืองไทยนี่แหละครับ มันคือ "ปาย" ... 2 สาวจากจีนแผ่นดินใหญ่แวะมาที่ร้าน เพื่อซื้อแผนที่กรุงเทพฯ แล้วฝากส่งโปสการ์ดปึกใหญ่เกือบ 20 ใบ ผมพลิกๆดูเห็นภาพสวยดี เป็นโปสการ์ดจากร้าน "มิตรไทย" ใน "ปาย" มีเว็บไซต์ของร้านด้วย
โปสการ์ดปึกใหญ่ที่ 2 หมวยสาวฝากส่ง ภาพสวยน่ารักจากร้าน "มิตรไทย" ... ผู้รับคงถูกใจ
ร้าน "มิตรไทย" มีเว็บไซต์ของร้านด้วย ... เห็นบอกว่าอยู่มาตั้งแต่ปี 2540 เป็นร้านน่ารักๆ ที่ขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวผู้แวะมาที่เมืองแห่งความฝันแห่งนี้
ผมรับโปสการ์ดปึกนั้นมาฝาก พร้อมกับความสงสัยแวบแรกว่า เมืองเล็กน่ารักนั้นมีที่ทำการไปรษณีย์นี่น่า ทำไมพวกเธอไม่ส่งที่นั่น อย่างน้อยตู้ไปรษณีย์ก็น่าจะหาไม่ยาก ... ผมได้แต่บอกพวกเธอในใจว่า เธอพลาดมหันต์แล้ว เธอควรจะต้องส่งที่นั่นเพื่อประทับตราประจำวันของ "ปาย" เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่ามาจริงเว้ย เฮ้ย ... นี่กลายเป็นว่าโปสการ์ด "ปาย" แต่ส่งที่กรุงเทพฯ ... เสียท่าจริงๆ
ไปรษณีย์ "ปาย" น่ารักดี แค่เห็นก็น่าแวะเข้าไปถ่ายรูปแล้ว
ชุดสุดท้ายที่จำได้ คือสองสาวจากอัมสเตอร์ดัม ทั้งคู่แบกเป้เข้ามาในร้านถามหาโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์ แล้วก็ซื้อแสตมป์สำหรับโปสการ์ดประมาณ 15 ฉบับพร้อมฝากติดและส่งให้ด้วย จากนั้นทั้งคู่ก็รีบออกจากร้านไป
พักใหญ่ๆหลังจากนั้น ผมก็ติดแสตมป์เสร็จสำหรับปึกแรก 10 ฉบับ สาวสวยผมทองเธอเล่นอัดตัวหนังสือลงไปจนแทบไม่มีที่ว่างสำหรับแสตมป์ดวงเล็ก ... จนบางฉบับเกือบจะต้องไปติดแสตมป์ลงอีกด้านของโปสการ์ด ... ในส่วนของที่อยู่ ผมต้องเอาปากกาไฮไลท์สีเหลืองสะท้อนแสงมาขีดทับลงไปตรงประเทศที่เป็นที่อยู่ผู้รับ เพราะมันแน่นเหลือเกิน กลัวพนักงานไปรษณีย์จะดูลำบากส่งผิดส่งถูกเพราะปลายทางนั้นมีทั้ง ฮอลแลนด์ จีน อินเดีย และ อังกฤษ
ส่วนอีกห้าฉบับที่เหลือ ผมติดแสตมป์เสร็จก็ชะงักทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง เพราะเพื่อนสาวของเธอไม่ได้จ่าหน้าที่อยู่ผู้รับทั้ง 5 ฉบับ เอาวะ ... รอสักหน่อย เผื่อเธอนึกขึ้นได้แล้วกลับมา ผมนั่งอ่านข้อความในโปสการ์ดในระหว่างรอ เรื่องเล่าคร่าวๆเกี่ยวกับการเดินทางของเธอที่อินเดีย ประมาณ
"ปลายทาง อัมสเตอร์ดัม / หลังออกจากอินเดีย ฉันมาถึงกรุงเทพฯแล้ว เห็นโปสการ์ดรูปอูฐไหม เราได้ขี่มันด้วย เศร้าจังที่ต้องไปจากอินเดีย เป้าหมายถัดไปก็สักมังกรเหมือนในหนังไง แล้วก็ขี่มอ'ไซค์ด้วย" ..... เธอหมายถึงนวนิยายเรื่อง "The girl with the dragon tattoo"
"ปลายทางอินเดีย / ตอนทีโปสการ์ดนี้มาถึง ฉันคงนั่งอยู่ที่ชายหาด "กัว" ตอนใต้ ใกล้จบทริปอินเดีย ต่อไปบังกาลอร์ และ ข้ามไปกรุงเทพฯ, ที่ราชาสถานนั้นฉันได้ขี่อูฐด้วย มันเยี่ยมมากๆเลย มุมไบก็สุดยอด ระหว่างทางฉันได้รู้จักเพื่อนใหม่เยอะเลยโดยเฉพาะชาวเยอรมัน"
"ปลายทาง หนิงโบ-จีน / ฉันเพิ่งจับรถไปมุมไบ หลังจากอยู่ที่ราชาสถานตั้ง 2 เดือน ฉันเจอคนเยอะมาก แถมยังได้นอนในทะเลทรายด้วยคืนนึง ก่อนจะต่อไปดูดาราบอลลีวู้ดที่มุมไบ"
"ปลายทางอังกฤษ / สองเดือนแรก ฉันไปเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ มันท้าทายมากแต่ก็สนุกสุดยอดเลย ได้ออกทริปนั่งอูฐ 2 วัน ... อีก 2 สัปดาห์ฉันจะเดินทางออกจากอินเดียไปยังเซาท์อีสต์เอเซีย"
"ปลายทางอังกฤษ / ฉันเพิ่งนั่งรถออกมาจาก Udaipur ไปยังมุมไบ หลังจากเป็นครูอาสาสมัครอยู่ทางเหนือได้ 2 เดือน ฉันได้ขี่อูฐที่ Jaisalmer ด้วย มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกจริงๆที่ได้ลงจากภูเขา มานั่งรถอีกครั้ง"
"......"
โปสการ์ดจากอินเดียที่มาประทับตราประจำวันที่กรุงเทพฯ ... เธอคงทยอยเขียนเรื่อยๆแต่ไม่มีเวลาส่ง หรือไม่ก็ยุ่งอยู่กับการเดินทางตลอดจนลืม
อ้างอิงจากเว็บไซต์ //www.toptenthailand.com ... อินเดียเป็นประเทศที่มีตู้ไปรษณีย์มากที่สุดในโลกจำนวน 661,887 ตู้ ... จริงๆแล้วเธอคงไม่ได้ลืมส่งโปสการ์ดเหล่านั้นที่อินเดียหรอก เพราะตู้มีเยอะไปหมด แต่คงเห็นว่าแสตมป์ไทยสวยละมัง ... หุหุ
หลังจากเวลาผ่านไปหลายวันแล้ว (ในกรณีไม่จ่าหน้าที่อยู่ผู้รับ ต่อให้เป็นแสตมป์อินเดีย หรือเทวดาหน้าไหนก็คงไปไม่เป็นเหมือนกัน) ... คุณช่วยบอกผมหน่อยสิ ว่าจะทำยังไงดีกับโปสการ์ดที่ไม่มีที่อยู่ 5 ใบนั้น