พี่แกบอกว่าที่พักถูกสุดที่เคยไปก็ เป็นโฮสเทลที่จีนครับ คืนละ 15 หยวน ... ก็ 75 บาทเอง ถูกกว่ากาแฟแพงๆซักถ้วย หรือตั๋วหนังห่วยๆซักใบ ตั้งเยอะส่วนที่ชาวบ้านเขี้ยวลากดิน ก็หลายประเทศอยู่เหมือนกัน แต่ที่เด็ดที่สุด จำได้ดีคือความเขี้ยวเหมือนกันระหว่าง คนพม่ากับคนอินเดีย ... คือเวลานักท่องเที่ยวไปทัชมาฮาลของอินเดีย กับเจดีย์ชเวดากองของพม่า แล้วจะยกกล้องขึ้นถ่ายรูป ก็จะมีเนวิเกเตอร์ปรากฏกายขึ้นจากอากาศธาตุ เข้ามาสะกิดบอกว่ามุมนั้นที่คุณยืนอยู่น่ะไม่ดี ถ่ายรูปไม่สวย มุมนี้สิดีกว่า ... แล้วก็พาคุณไป พานักท่องเที่ยวผู้อ่อนต่อโลกไป ... ไปยังมุมๆหนึ่ง ซึ่งก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันสักเท่าไหร่ แต่ด้วยจิตวิทยาระดับปรมาจารย์ ทำให้ภาพที่ถ่ายออกมานั้น ราวกับจะมีพระอาทิตย์ทรงกลดเป็นฉากหลัง ... เมื่อจบสิ้นขบวนการถ่ายภาพ ก็จะมี "ค่าชี้" ที่จำเป็นต้องจ่ายให้เนฯ เหมือนกันทั้งอินเดียและพม่า ผมถามเล่นๆว่า ถ้าไม่จ่าย จะเป็นไงมั่ง จะมีคนมารุมกดดัน กกต. ... เอ๊ย ขอโทษครับ ... จะมีอะไรไหมพี่แกบอกว่า ก็ประมาณ เดินตาม / บ่น ต่อว่า ทั้งๆที่เราฟังไม่รู้เรื่อง จนเราต้องให้เองนั่นแหละ ผมเคยเห็นฝรั่งคนหนึ่ง มือหนึ่งถือกล้องอยู่ในมือ อีกมือก็ควักเงินในกระเป๋า ส่งให้มือน้อยๆของเด็กแม้วตัวเล็กๆที่แบอยู่ตรงหน้า ปากบอก "ยี่จิๆ" ... อารมณ์คนให้คงไม่เหมือนกัน
นอกจากนี้เวลาขึ้นรถเมล์ในอินเดียนั้น ควรต้องหาแม่กุญแจติดไปด้วย อันใหญ่ขนาดล็อกประตูบ้านได้ยิ่งดี ไปครั้งแรกแกไม่ได้พกติดตัวไป เห็นผิดสังเกตุตอนขึ้นรถเมล์ ใครๆต่างก็พากันล็อคสายสะพายบ้าง หูหิ้วบ้างของสัมภาระที่ขนมานั้นทั้งกระเป๋าลาก เป้สะพาย ล็อคเข้ากับเสาหรือไม่ก็ราวเหล็กสำหรับมือจับบนรถกันเป็นแถว แกเองไม่ได้มีแม่กุญแจใหญ่ๆติดตัวไป แต่ยังโชคดีมีกุญแจอันเล็กสำหรับล็อคกระเป๋าเดินทางติดอยู่อันนึง ก็เลยเอามาล็อคเข้าเท่าที่จะหาได้ พร้อมกับจับไว้อย่างแน่นเลย ... คงประมาณว่า รถเมล์อินเดียนั้นนั่งค่อนข้างนาน จะเส้นทางไกลหรือขับช้าก็ไม่รู้ล่ะ แต่ผู้โดยสารอาจหลับ ดังนั้นกระเป๋ามีสิทธิหายได้ถ้าไม่ล็อคไว้อย่างดี ... ผมฟังไปก็ขำไป นึกถึงภาพหัวขโมยที่ทำมึนยืนอยู่บนรถ พอเราหลับก็หยิบกระเป๋าของเราแล้วลงจากรถ หายจ้อยไปกับสายลม
หลังจากที่พี่แกกลับไปแล้ว ผมก็เอาหนังสือโลนลีแพลนเน็ตที่ซื้อจากแกมาตบแต่งและห่อให้เรียบร้อย หนังสือโลนลีแพลนเน็ตเล่มนั้นสภาพดีมาก พลิกไป-มาอยู่หลายรอบ ก็สังเกตุเห็นโลโก้ "ต้นไม้กับตัวหนังสือภาษาอังกฤษ FSC" ที่ปกหลังซึ่งเพิ่งมีเพิ่มขึ้นมาไม่นานนี้เอง ผมเดาว่ามันคงเป็นเรื่องการทำอะไรสักอย่างซึ่งช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังคงสงสัยอยู่ดี ก็เลยไปปรึกษาผู้รู้ที่ชื่อกูเกิล เลยได้ความกระจ่างใกล้เคียงกับที่เดาไว้
FSC คืออะไร ... มันคือระบบการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน / FSC ( The Forest Stewardship Council ) เป็นองค์กรเอกชนที่ก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มต่างๆทั่วโลก อาทิเช่น กลุ่มนักอนุรักษ์ป่าไม้และสิ่งแวดล้อม ผู้ค้าไม้ ผู้ผลิตสินค้าจากไม้ และกลุ่มชนพื้นเมือง องค์กรเป็นผู้ให้การรับรองมาตรฐานการจัดการป่าไม้อย่างยั่งยืนที่ได้รับความเชื่อถือในระดับโลกเพื่อเป็นการรับประกันว่าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน FSC เป็นไม้และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาจากป่าธรรมชาติ แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากป่าปลูกที่มีการจัดการป่าไม้อย่างถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ จุดประสงค์สำคัญของการรับรองมาตรฐาน FSC นั้นก็เพื่อส่งเสริมพร้อมทั้งสนับสนุนให้ธุรกิจต่างๆที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้ได้มีระบบการจัดการป่าไม้ที่ยั่งยืนเพื่อการดูแลรักษาป่าไม้ที่นับวันมีแต่จะสูญหายไป การรับรองมาตรฐาน FSC มีแนวทางหลักอยู่ 3 ประการ1. การจัดการป่าไม้ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม ถึงแม้มีการใช้ทรัพยากรป่าไม้ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ แต่จะมีระบบการจัดการดูแลความสมดุลทางชีวภาพ 2. การจัดการป่าไม้เพื่อสังคม เพื่อช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นให้ได้รับผลประโยชน์จากป่าไม้ในระยะยาว 3. การจัดการป่าไม้ที่ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอย่างคุ้มค่าอืมม์ ... ธุรกิจร้านหนังสือท่องเที่ยวของผม ตัวมันเองเป็นธุรกิจที่มีคุณค่าช่วยให้คนอ่านได้ข้อมูลข่าวสารแชร์กันมากขึ้น โดยเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนหนังสือมือสองอืมม์ ... ตัวหนังสือเองก็ผลิตจากกระดาษที่ผ่านระบบการจัดการที่ได้มาตรฐาน ในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมปกติแล้วทุกๆสัปดาห์ ผมจะรวบรวมเอากล่องเครื่องดื่ม พวกนมบ้าง น้ำผลไม้บ้าง ที่ดื่มเสร็จแล้ว ไปทิ้งไว้ในกล่องรับที่ห้างตั้งฮั่วเส็ง เพื่อให้เขาเอาไปรีไซเคิลทำกระเบื้องหลังคาตามโครงการ "หลังคาเขียวเพื่อมูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก" ที่บักจ่อย อนันดา เอเวอร์ริงแฮม เป็นพรีเซนเตอร์อยู่ ตามที่อยู่ในเว็บไซต์ //www.greenroof.in.th/
คิดไปๆ หัวใจพองโตคับอก รู้สึกคล้าย ดร.ชาร์ลส ซาเวียร์ ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนมนุษย์กลายพันธุ์ใน X-men รุ่น 1 ผู้มีอุดมการณ์ทำให้มนุษย์กลายพันธุ์อยู่ร่วมกับมนุษย์โลกทั่วไปได้อย่างปกติสุข ... ร้านหนังสือของเราก็ช่วยโลกเหมือนกัน ... หุหุวันรุ่งขึ้นผมออกไปวิ่งแต่เช้าตามปกติของวันหยุดสุดสัปดาห์ เมื่อคืนนี้ผมหลับฝันดีถึงร้านหนังสือรักษ์โลก ที่จะช่วยทำให้อุณหภูมิโลกเย็นลง หมีตัวนั้นไม่ต้องติดแหง็กอยู่บนก้อนน้ำแข็งขั้วโลกที่กำลังละลายก้อนเล็กๆก้อนนั้น อีกต่อไปหลังจากเสียเหงื่อไปกับการวิ่งรอบสนามฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยใกล้บ้านจนได้ที่ ผมก็มานั่งพักบนม้านั่งข้างสนามเพื่อตากลมเย็นๆให้เหงื่อแห้ง ก่อนไปกินน้ำมะพร้าวที่รถกระบะของพ่อค้าเจ้าประจำ เสียงคุณครูบอยผู้จุ๋มจิ๋ม สอนการบ้านให้กับเด็กตัวเล็กตัวน้อยร่วมสิบคน อยู่ในซุ้มข้างสนาม นัยว่ามาเรียนพิเศษที่มหาวิทยาลัยนี่แล้วขลัง โตขึ้นจะได้มาเรียนที่นี่เป็นบัณฑิตเพื่อประชาชนม้านั่งที่ผมนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ สายตาทอดมองเรื่อยเปื่อยไปยังที่โคนต้นไม้ต้นข้างๆกัน ถังขยะสูงเคียงเอววางติดกัน 3 ถัง 3 สี เขียว-เหลือง-ฟ้า ข้างถังบอกชนิดขยะที่แยกเป็น 3 ประเภทต่างๆกัน ... ผมยิ้มสดชื่น ... ใครๆก็รักษ์โลก ... เยี่ยมจริงๆ หมีขั้วโลกของผมจะได้นอนเกาพุงสบายใจอีกครั้งในเร็ววัน อดีตรองประธานาธิบดี อัล กอร์ จะต้องหน้าแตกเหงื่อเริ่มแห้ง ผมนั่งเคลิ้มสบายอารมณ์กับสายลมแผ่วพลิ้ว ฉับพลันหูก็แว่วเสียงล้อเลื่อนวิ่งมาใกล้ๆ ผมหันมองไปทางต้นเสียง ... เห็นชายคนหนึ่งสวมชุดสีน้ำเงิน สกรีนตัวหนังสือบนเสื้อว่า "ซ่อมบำรุง" เข็นรถเข็นที่บรรทุกถังสีเขียวมาเต็มรถ เดินคุยมากับเพื่อนอีกคนในชุดเดียวกัน... รถเข็นจอดลงข้างถังขยะผมคิดในใจ "เขาคงมาเก็บถังไปซ่อม"... ชายคนเข็นรถหยิบถังสีเขียวใต้ต้นไม้ขึ้นมา แล้วเทขยะในถัง ใส่ลงไปในถังเขียวใบใกล้สุดบนรถเข็นผมคิดปนสงสัยในแง่ดี "ถังสีอื่นของพี่คงไม่พอ เลยเอาแต่ถังสีเขียวมา เอ๊ะหรือเดี๋ยวมาอีกรอบ"... ชายคนเข็นรถวางถังสีเขียวลง แล้วขยับไปที่ถังสีเหลืองผมตะโกนเงียบสนิท "อย่านะ"... ชายคนนั้นยกถังสีเหลืองขึ้น เทขยะลงไปในถังสีเขียวใบใกล้สุด ... ใบเดียวกัน ... บนรถเข็นผมหัวเราะในใจ "หึ ... หึ ..."... ชายคนนั้นปฏิบัติการต่อเช่นเดียวกัน ... กับถังสีฟ้า ... ที่เหลืออยู่ผมยิ้มให้กับตัวเอง พร้อมเกาหัวแกรกๆ "แล้วจะแยก ... ทำไมวะ"