Group Blog
 
<<
เมษายน 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
12 เมษายน 2557
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Autobiography ... ประวัติส่วนตัว

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ กินได้ นอนหลับ ครบ 32 และยังสามารถหาเวลามาเขียนบล็อกเล่าเรื่องราวของร้านหนังสือเล็กๆในถนนข้าวสาร มาให้ได้อ่านกันอีก 1 สัปดาห์ ท่ามกลางบรรยากาศสนุกสนานของวันสงกรานต์กลางเดือนเมษายน เดือนที่อากาศร้อนที่สุดของปี ก่อนที่จะเข้าสู่เดือนพฤษภาคม เดือนแรกที่กรมอุตุฯบอกว่าปีนี้ฝนจะมาเร็ว และมามาก ให้ระมัดระวังน้ำป่าไหลหลากและน้ำท่วมฉับพลัน ... ยังไงก็ขอให้อยู่รอดปลอดภัยกันไปอีกปีในเดือนปีใหม่ไทยปีนี้นะครับ

ค่ำนั้น ผมเปิดร้านรับลมร้อนกลางเดือนเมษายนที่มาพร้อมกับนักท่องเที่ยวที่เริ่มเดินทางออกจากบ้านเรา เพราะกำลังจะหมดช่วงไฮซีซันแล้ว ทำให้บางวันก็เจอแต่ลูกค้าที่เอาหนังสือมาเทรดคืนบ้าง ขายทิ้งบ้าง หรือมาแลกไปบ้าง เช่นเมื่อวันก่อนนี้ ขณะที่ผมกำลังขับเคี่ยวอย่างเมามันส์กับเพื่อนร่วมวง "จับหมูออนไลน์" อยู่หลังกลับมาที่ร้านตอนค่ำไม่ถึงชั่วโมง ก็เจอลูกค้าสาวสวยเอาโลนลีแพลนเน็ตกัมพูชา / รวมเวียตนาม-กัมพูชา-ลาว-ไทยภาคเหนือ และหนังสืออ่านอีก 1 เล่มมาขายให้ที่ร้าน โดยบอกว่าไม่เอาหนังสือเปลี่ยนไปอ่าน เพราะมีของฝากหรือหนังสือสำหรับอ่านเยอะแล้ว ผมก็เลยต้องซื้อเงินสดไป หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หนุ่มสาวชาวยิวอีกคู่หนึ่งก็เดินแบกเป้ใบโตเข้ามาพร้อมกับเทรดคืนโนลีแพลนเน็ตรวมเวียตนาม-กัมพูชา-ลาว-ไทยภาคเหนือ ไปเป็นโลนลีแพลนเน็ตเนปาล ภาษาฮีบรูเวอร์ชันล่าสุดไป โดยจ่ายเพิ่มส่วนต่างอีกนิดหน่อย

ไล่กันไม่ถึงชั่วโมง ก็มีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่เข้ามาถามหาหนังสือ "Backpack" ของ "Emily barr" เพื่อที่จะแลกกับโลนลีแพลนเน็ตเซาท์อีสต์เอเชียออนชูสตริงรวม 11 ประเทศในมือ เพราะกำลังจะจบทริป เสียดายที่ธุรกิจไม่เกิดเพราะพ่อหนุ่มไม่ถูกใจกับสภาพหนังสือที่ไม่ได้ออกจากแท่นพิมพ์เล่มนั้น และมองว่าไม่คุ้มกับหนังสือโลนลีแพลนเน็ตในมือ แม้ว่าผมจะเสนอหนังสืออื่นเพิ่มให้อีกเล่ม แต่ชายหนุ่มก็ไม่เปลี่ยนใจ คงจะยังเดินตามหารักแท้ "จากแท่นพิมพ์" ต่อไปในยามค่ำ

ร้านหนังสือยังคงเปิดอยู่ครับ เพื่อนักท่องเที่ยวที่ต้องการตามหาหนังสือไกด์บุ๊คโลนลีแพลนเน็ต ทั้งมือหนึ่งและมือสอง ทั้งไทย-เทศ โดยมีเฟรสบุ๊คและแผนที่ เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับท่องเที่ยวได้ไม่มากก็น้อย พร้อมกับโปรโมชันพิเศษเป็นวันๆไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นซื้อ 1 แถม 1 ซื้อไกด์บุ๊คแถมหนังสืออ่านมือสองไปด้วย อะไรประมาณนี้ บางวันอารมณ์ดีๆ ก็เป็นโลนลีแพลนเน็ตมือสองซะงั้น จำได้ว่าวันนั้นหนุ่มสาวสเปนคู่หนึ่ง มาซื้อโคลัมเบียปกใหม่ไป หลังจากที่คุยกันถูกคอในยามปลายไฮซีซัน + ม็อบการเมือง ลูกค้าก็เลยได้เวเนซูเอลามือสองในราคาพิเศษของพิเศษเพิ่มเติมไปอีกเล่ม หลังจากที่ทั้งคู่พูดคุยกันและตัดสินใจเลือกอยู่นาน เพื่อที่จะไม่เลือกเปอร์โตริโกกับกัวเตมาลา

"How long will you travel over there in south america?" คุณไปเที่ยวนานไหม ที่อเมริกาใต้นั่น ... ผมถามหลังจากส่งหนังสือให้

"Not so long, 3-6 months. Not only colombia, but also others. We still not plan yet, but Venezuela is the good idea." ก็ไม่นานนะ แค่ 3-6 เดือนเอง ไม่เฉพาะที่โคลอมเบียซึ่งไปแน่ๆ ที่อื่นเรายังไม่ได้คิดกันเลย แต่เวเนซูเอลาก็ไม่เลว ... หญิงสาวว่าให้ฟังคร่าวๆ

"Do you want any countries else, I have some more such Bolivia, Argentina, Puerto rico or etc." คุณจะเอาประเทศอื่นอีกไหมล่ะ ผมขายราคาพิเศษให้ มีอีกหลายประเทศนะ ... ผมจาระไนพร้อมชี้ให้ดู

"No, these 2 books are enough. But you know well how to sale." ไม่อ่ะ ... 2 เล่มนี่ก็พอโอเค แต่คุณเป็นพ่อค้าได้นะ ... ชายหนุ่มยิ้มพร้อมยกนิ้วหัวแม่มือให้

"Why?" ทำไมเหรอ ... ผมถามอย่างแปลกใจ ก็เป็นพ่อค้าขายหนังสืออยู่ในร้านนี่นา ก็เห็นอยู่

"We take a look many shops around here. But not decide to buy any book. But here in your shop, we buy 2." คือเราก็ดูไปเรื่อยๆ ร้านโน้นบ้าง ร้านนี้บ้าง แต่ตอนแรกยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเลย เพราะราคาบ้าง หรือสภาพหนังสือบ้าง แต่พอเข้ามาร้านคุณได้สัก 20 นาที ก็ได้ทั้ง 2 เล่มนี้มา ... ชายหนุ่มยิ้มพร้อมกับชูหนังสือในมือ

"May be my lucky today, thanks. Enjoy your trip." วันนี้อาจจะเป็นวันโชคดีของผมก็ได้ ขอบคุณมากนะ ขอให้เที่ยวให้สนุก ... ผมหัวเราะเล็กๆ ตบต้นแขนไปทีนึงก่อนจับมือและอวยพรให้ลูกค้า

**********************************************

ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ศูนย์สิริกิตติ์ทำให้ผมได้สัมผัสบรรยากาศงานสัปดาห์หนังสืออีกครั้ง ได้เห็นคุณวินทร์ เลียววาริณ มานั่งเซ็นชื่อลงในหนังสือให้ลูกค้า ฮอลล์ใหญ่มีเกอเธ่มาออกงานหนังสือภาษาเยอรมัน นานมีกับมุมการ์ตูนและหนังสือภาษาจีนมากมาย เห็นไต้ฝุ่นของปราบดาที่มาเปิดบู๊ท เดย์โพเอทก็มา ได้เห็นร้านหนังสือเก่าที่เอาหนังสือสะสมมาขายจากนักเขียนรุ่นก่อนหลานคน ต๊ะ ท่าอิฐ / หลุยส์ ลามูร์ พอดีเหลือบไปเห็นฉบับพิมพ์ปกเก่าๆของ รงค์ วงษ์สวรรค์ ก็เลยเร่เข้าไปดูราคา ก็เห็นแปะป้ายหลักร้อย บางเล่มเห็น 400 บาทก็ได้แต่ครางฮืมมม์ พร้อมกับพยักหน้าอยู่กับตัวเอง ... มิน่าล่ะ ตอนต้นปีที่ไปขายหนังสือที่ถนนคนเดิน ถึงได้มีคนมาตามหากันจัง

ของใหม่ที่เห็นมีอยู่ 3 อย่างครับ ในงานสัปดาห์หนังสือครั้งนี้ อันดับแรกเลยคือโซนอีซี่ปาร์ค เป็นที่จอดรถใกล้ทางเข้าหลังจากกลับรถใต้สะพานเข้ามา เห็นป้ายเป็นธงญี่ปุ่นหลายป้าย อำนวยความสะดวกให้ ไม่ต้องขับรถไปหาที่จอดไกลๆในโรงงานยาสูบ แลกกับราคาที่ต้องจ่ายเป็นค่าบริการนิดหน่อย เทียบกับที่เคยมาคราวก่อนต้องนั่งรถรับ-ส่งเข้าไปในโรงงานยาสูบแล้ว ก็นับว่าเป็นทางเลือกที่ไม่เลว (คราวก่อนจำได้คร่าวๆว่า ต้องไปจอดรถมุดอยู่ติดกำแพงตรงไหนของโรงงานยาสูบก็ไม่ทราบ แต่ต้องเดินหลบถนนโคลนแฉะๆออกมา เจอรถคันหนึ่งข้างๆโดนโคลนกระเด็นใส่เต็มคัน เจ้าของรถมาเห็นคงเป็นลม แถมเจอเต่าตัวเบ้อเร่อหมอบอยู่ริมกำแพงให้ได้งงกันว่ามาได้ไง)

อันดับที่ 2 คือแซลมอนบุ๊ค ที่จัดบู๊ทสะดุดตาอยู่ด้านนอกของฮอลล์ เดินย้อนกลับมาจากทางเมโทรคาเฟ่ ที่ทำคลิปประชาสัมพันธ์หนังสือเป็นฝรั่งแก่ที่ถูกด่าในเมืองไทยได้น่ารักน่าชังดี คลิปสั้นๆที่ทำออกมาสามารถเรียกความสนใจและเสียงหัวเราะได้ไม่เลว ผมเองเปิดดูก็ยังนั่งขำอยู่กับมุกแย่งเรียกแท็กซี่ แล้วเลยโดนด่าว่า "Your father dead ... พ่อมึงตาย" แต่เนื่องจากฝรั่งไม่เก็ทเลยงง และถามกลับว่า "How do you know ? ... คุณรู้ได้ยังไง" SmileySmileySmiley

(เอ้อ ช่วงในวงเล็บนี้ 18+ ครับ ใครรับไม่ได้ กรุณาข้ามไปสัก 3 ย่อหน้า ... คือผมอยากจะอธิบายเพิ่มเติมจากความคิดเห็นส่วนตัวว่า โดยรูปประโยคแล้ว "พ่อมึงตาย" มันเป็นเพียงประโยคบอกเล่าที่มีประธานเป็น "พ่อของคุณ" และอกรรมกริยาคือ "ตาย" มันไม่ได้เป็นคำด่า ... จริงๆแล้วมันเป็นคำสาปแช่ง เหมือนๆกับฝรั่งมักจะใช้คำว่า "I wish ..." ถ้าเป็นคำไทยก็ "ขอให้ ..."

เพราะเด็กๆเราจะได้รับพรดีๆจากผู้ใหญ่ว่า "ขอให้เป็นเด็กดีนะ" "ขอให้สอบผ่าน-สอบได้" "ขอให้รวยๆ" "ขอให้สุขภาพแข็งแรง" (โดยไม่ได้บอกวิธีว่าต้อง "ทำ" ยังไง ... ต้องไม่รังแกคนอื่น ไม่ละเมิดสิทธิ์เขาถึงจะดี ... ต้องตั้งใจอ่านหนังสือ ตั้งใจเรียน ถึงจะสอบได้ ... ต้องตั้งใจทำงานถึงจะมีเงินใช้ ไม่ใช่เอาแต่ขอ หรือเบียดเบียนคนอื่นเขา ... อย่ากินอาหารขยะ และหมั่นออกกำลังถึงจะสุขภาพดี)

พอเด็กๆทะเลาะกันก็เลยอะแด๊พท์กลายไปเป็นคำสาปแช่งในแง่ลบออกมาเป็น - "ขอให้พ่อ...งตาย" "ขอให้แม่...งเน่า" "ขอให้บ้านแม่...งบึ้ม" ... เพียงแต่เด็กๆจะละคำว่า "ขอให้" เอาไว้ในฐานที่เข้าใจ เพราะอารมณ์นั้นมันไม่ใช่อารมณ์จะมานั่ง "ขอให้" แล้ว บางทีตะโกนด่าแข่งกันจนเหนื่อยนั่นแหละ เอาเร็วเข้าว่า ใครด่าช้ากว่านับเป็นแพ้ ... ทีนี้มันก็น่าจะติดมาบ้างนิดๆหน่อยๆ ประมาณนั้น ... โตๆแล้วไม่ค่อยด่ากันหรอกครับ)

อันดับ 3 คือหนังสืออัตถชีวประวัติของ "เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" อดีตผู้จัดการของโคตรทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่กำลังประสพปัญหาฟอร์มตกหลังเปลี่ยนกุนซือใหม่ ความสำเร็จของทีมตลอดการคุมทีมกว่า 20 ปีนั้น ไม่ใช่จะทำกันได้ง่ายๆ ทำให้ใครๆก็อยากอ่านอยากรู้วิธีคิดและอื่นๆอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ ... ทั้งนี้ทั้งนั้น ช่วงที่เปิดร้านหนังสือมานี้ก็มีหนังสืออัตถชีวประวัติของอีก 2 คนที่จำได้ว่าเคยถูกถามหาอยู่บ้าง นั่นก็คือ ประวัติของบารัก โอบามาหลังจากที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งแรก และอีกคนหนึ่งก็คือประวัติของ สตีฟ จ็อบส์ ผู้พลิกประวัติศาสตร์ของโทรศัพท์มือถือหลังจากที่เจ้าตัวเสียชีวิตไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน

ลูกค้าที่ร้านเองก็มีมากมายที่เข้ามาทำธุรกิจเป็นพ่อค้า-ลูกค้ากัน แต่ต้นปีมีอยู่คนหนึ่งที่เข้าๆออกๆร้านเพื่อเอาหนังสือมาเทรด 2 แลก 1 อยู่หลายรอบ เธอสนใจเฉพาะหนังสืออัตถชีวประวัติหรือเรื่องจริงเท่านั้น

"May I help you ?" ให้ผมช่วยไหม ... ผมถามลูกค้า หลังจากที่เห็นเธอยืนเล็งหนังสืออยู่นานสองนาน โดยยังไม่จับสักเล่ม มองจากสายตาเห็นได้ชัดว่าเธอไล่อ่านชื่อหนังสือทีละเล่มเรียงกันไป

"I'm looking for biography or true story. Do you want to trade book ?" ฉันหาหนังสือพวกอัตถชีวประวัติหรือพวกเรื่องจริงน่ะ คุณรับแลกหนังสือด้วยไหม ... ลูกค้าตอบพร้อมถามกลับมา และส่ายหน้าปฏิเสธ หลังจากที่ผมบอกไปว่ามีฟิคชัน แฟนตาซีและคลาสสิคด้วยนะ

"Yes, basically 2 for 1 is free. Can I see your book ?" รับสิ ปกติก็ 2 แลก 1 ฟรีไม่เสียเงิน แต่ผมต้องขอดูหนังสือของคุณก่อนนะ ... ผมตอบพร้อมอธิบายเงื่อนไขไป เพราะบางที 2 เล่มจริง แต่เล่มหนึ่งพิการบ้าง หรือไม่ก็บางนิดเดียวเป็นหนังสือที่ไม่น่าจะขายได้ ก็ลำบากที่จะแลก

"Really, later I take my books. They are in my room." จริงนะ ได้เลย เดี่ยวฉันไปเอาหนังสือที่ห้องมาแลก ... เธอว่าพร้อมทำท่าดีใจ

หลังจากที่เธอกลับไป ผมก็เลยลองไล่ๆดูหนังสือบนชั้นและแยกเฉพาะหนังสือพวกอัตถชีวประวัติออกมารวมกันไว้ ให้เธอเลือกได้สะดวกๆ ส่วนพวกเรื่องจริงนั้นมีแยกไว้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกสงครามเวียตนาม สงครามเขมร เรื่องจริงของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์บางส่วน ซึ่งรวมกันทั้งมือหนึ่งและมือสอง

หลังจากที่เธอกลับมารอบแรกพร้อมหนังสือ ก็ได้ทำธุรกิจกันตามเงื่อนไข จากนั้นสัปดาห์ต่อมาเธอก็มาอีกครั้งพร้อมหนังสือใหม่แลกไป จนรอบสุดท้ายเธอมาแลกเอาเรื่องจริงของสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมรไป มันคือ "First, they killed my father" ของ "Loung Ung" เด็กสาวที่รอดชีวิตออกไปได้จากสงครามภายใต้ความสติแตกของ พอล พต

"Thank you. I like your shop. Your book trading is very good for me." ขอบคุณนะ ฉันชอบแลกหนังสือแบบนี้ ... เธอกล่าวก่อนจากไป หลังจากบ่นให้ฟังถึงการแลกหนังสือโดยไม่เสียเงินซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับร้านเช่าบางร้าน แน่นอนหลายร้านเสียค่าเช่าที่ไม่ใช่น้อย รวมทั้งค่าจ้างลูกจ้างอีก ดังนั้นการรับแลกหนังสือโดยไม่ได้เงินส่วนต่าง ดูจะไกลเกินจากความจริงในโลกของธุรกิจไปหน่อย ถึงคนเขียน-เจ้าของร้านเล็กๆนี้เองก็เหมือนกัน ที่เราทำก็เป็นธุรกิจ ถ้าแลกหนังสือได้เงินก็นับว่าดี แต่เงื่อนไขบางอย่างอาจไม่เหมือนกัน ทำให้ถึงแม้จะแลกไม่ได้เงิน แต่หนังสือที่เพิ่มมาบางครั้งก็ยังรับได้อยู่



ลูกค้าขาแลก ที่ทำธุรกิจกันหลายรอบโดยไม่ได้เงินเลย แต่ได้เป็นหนังสือที่เพิ่มขึ้นมาแทน


"Autobiography" ที่เลือกๆออกมาและแยกเป็นหมวดหมู่ไว้ ... นอกจาก มิสเตอร์ไนซ์ แล้ว ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าที่ร้านมีหนังสือประวัติของ "โทนี แบลร์" อดีตประธานาธิบดีอังกฤษด้วย

เจตตจัน
02-2820358
085-8035412
087-0719858
jettajan227@yahoo.com

ปล. แถมท้ายกับภาพโปสการ์ดสวยๆจากเวียตนาม ภาพนาขั้นบันไดไล่ระดับบนภูเขากับ "น้อนลา" หมวกเอกลักษณ์ประจำชาติที่ชาวเวียตนามยังคงใส่กันอยู่ ... เอ๊ะ ว่าแต่คนไทยเรามีเครื่องแต่งกายเอกลักษณ์อันไหนที่ยังใช้กันเป็นปกติหรือเปล่า SmileySmileySmiley

... สายเดี่ยว กับ รองเท้าแตะ มันไม่น่าจะใช่นะ ...

ปล. อีกที (เหมือนจะจบ แต่ไม่จบ) ... ผมฟังเพลงเก่าจากพิสุทธิ์ ทรัพย์วิจิตร (ประวัติส่วนตัว) และคิดถึงการทิ้งบอมบ์ใส่ชายหนุ่มของสาวน้อย ... หน่า ... ถูกแล้ว ทุกคนล้วนมีความหลัง เมื่อวันเวลาเดินผ่าน เพียงแต่ยามเมื่อมันผุดขึ้นในห้วงคำนึง จะหอมหวานหรือเจ็บปวด ก็เท่านั้นเอง

วันที่ผ่านมา ... อาจเดินหลงทางเสียคน เสียใจ

ชีวิตผ่านมา ... อาจจะไม่ดี เพราะเดินพลาดไป

ชีวิตต่อไป ... เจอคนที่ดี เขาคงรังเกียจ

กลัวไม่มีใคร ... กลัวเธอไม่รัก เพราะเรื่องเก่า

ไม่อยากให้เธอรู้ ... ประวัติฉันไม่ดี

เผื่อเธอรู้ ... ทำใจไม่ไหว ฉันกลัวเสียเธอ ... เป็นความลับเรื่องหนึ่ง ปิดตายได้หรือเปล่า

สิ่งที่ฉันเคยพลาด เคยทำผิด ฉันชดใช้ด้วยความเจ็บปวด

ส่วนชีวิตข้างหน้า เป็นคนใหม่ และฉันพร้อมทำดี

แต่วันนี้ ความจริงที่สำคัญ ให้เธอรู้ว่ารักเธอ

( บล็อกนี้เขียนล่วงหน้าไว้ครับ เนื่องจากติดภารกิจประจำปีวันสงกรานต์ แล้วเดี๋ยวเก็บบรรยากาศมาแบ่งๆให้ดูกันอีกที )




Create Date : 12 เมษายน 2557
Last Update : 12 เมษายน 2557 13:38:57 น. 0 comments
Counter : 1335 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.