Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2554
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
2 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน แผนที่กับมาสสาจ - บูมบูม

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่มาเขียนข้อความในบล็อกนี้ ขอบคุณเจ้าของเว็บไซต์ และขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาแวะเวียนมาอ่านกัน

บางข้อความในบทความนี้ไม่เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชน ... ผู้ปกครองควรพิจารณาก่อน ... ถ้าพิจารณาทันนะครับ

ร้านหนังสือของผมนี่ ตอนเริ่มต้นค่อนข้างจะแตกต่างจากปัจจุบันพอสมควรครับ มีรายละเอียดให้กล่าวถึงได้บ้างไม่มากก็น้อย ประมาณว่าถ้าอายุมากสักหน่อย คงพอเคยได้ยินเพลงที่เด็กๆสมัยก่อนร้องกันว่า

"ลา มะลิลา ขึ้นต้นเป็นมะลิซ้อน พอแตกใบอ่อน เป็นมะลิลา"
"ลา มะลิลา ขึ้นต้นอะไรก็ได้ พอตัวสุดท้าย ลงด้วยสระอา"

ไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้เคยได้ยินหรือเปล่านะครับ

ร้านหนังสือของผมก็เหมือนกัน คือเริ่มต้นด้วยพื้นที่ว่างๆ ประมาณปี 2552 ก่อนกลายมาเป็นร้านขายปืนฉีดน้ำแบบเฉพาะกิจตอนวันสงกรานต์ช่วงสั้นๆ แล้วก็แปลงร่างมาเป็น ร้านหนังสือมือสองภาษาไทย จนกระทั่งกลายพันธุ์มาเป็นร้านหนังสือภาษาต่างประเทศเน้นไปที่ หนังสือท่องเที่ยวเป็นหลัก ... ได้ยังไงก็ไม่รู้ แถมระหว่างนั้นยังมี เรื่องราวของเครื่องประดับประเภทต่างหูคริสตัล รวมทั้งเครื่องชงกาแฟ - เครื่องปั่นน้ำผลไม้ และถังน้ำแข็งมาแจมอีกต่างหาก นอกจากนั้นยังมีภาคพิเศษย้อนอดีต ตอนเป็นแผงหนังสือในถนนข้าวสารเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วเหมือน "X-Men 4 : Original wolverine" ให้ด้วย

มันเป็นจุดหักมุมหนึ่งในชีวิต เหมือนเพลง "Life & Learn" ที่คุณกมลา สุโกศลร้องได้เลยครับ ...

"ในวันที่ชีวิต เดินเข้ามาถึงจุดเปลี่ยน จนบางครั้งคนเรา ไม่ทันได้ตระเตรียม หัวใจ ...."

เอาไว้วันหลัง ถ้ามีโอกาสและไม่ลืม ผมจะเขียนเล่าหรือแบ่งประสพการณ์การหารายได้เสริม จนเริ่มทำธุรกิจเป็นเรื่องเป็นราวให้ฟังก็แล้วกัน แต่ปัจจุบันนี้ร้านก็เป็นอย่างที่เขียนไว้ข้างบนนั่นแหละครับ ว่าขายหนังสือภาษาต่างประเทศเน้นไปที่หนังสือท่องเที่ยว สำหรับลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติ
เป็นหลัก ทีนี้มันก็ต้องมี "By Product" หรือสินค้าข้างเคียง ที่ลูกค้านักท่องเที่ยวต่างชาติถามหา และขาดไม่ได้ก็คือ "แผนที่" นั่นเอง

"แผนที่" ที่ขายอยู่ในร้านก็มีหลายประเภทนะครับ ตั้งแต่

แผนที่สุดฮิตที่ "แบ็คแพ็คเกอร์" หรือเหล่านักท่องเที่ยวสะพายเป้-ลากกระเป๋าถามหากัน ของ "Nancy Chandler" ซึ่งหนังสือโลนลีแพลนเน็ตแนะนำไว้ว่า แจ๋วมากๆ เหมาะสำหรับใช้ประกอบการตระเวณหาโน่นนี่นั่นในกรุงเทพฯ เดินไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ แถมเหมาะสำหรับการสะสมด้วย เพราะคุณแนนซี่เธอใช้สีตกแต่งลงในรายละเอียด ดูสวยดีไม่เลว

แผนที่ของ "Thinknet" ซึ่งโลนลีแพลนเน็ตอีกนั่นแหละ บอกว่าสุดยอดอีกเหมือนกัน เหมาะสำหรับเป็น "เนวิเกเตอร์" ชั้นเยี่ยมในการเดินทางเลยทีเดียว เช่น แผนที่กรุงเทพฯ นี่ จะมีรายละเอียดโซนพิเศษ อยู่ในนั้นอย่าง ถนนข้าวสาร / ไชนาทาวน์ / ถนนสุขุมวิทตลอดแนว / ถนนสีลม ... มีแม้กระทั่งแผนที่การจัดโซนนิงของ "วีคเอนด์มาร์เก็ต" หรือตลาดนัดจตุจักร คุณคิดดูแล้วกันว่ามันยอดมากขนาดไหน เหมือนกับว่า พระเจ้า ... จอร์จ ... มันยอดมาก ... เธอเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ... จริงๆ

นอกจากนี้ก็มีแผนที่ของบริษัทอื่นอีกนะครับ ไม่ว่าจะเป็นของ "Bosch" / "Insight guide" / ฯลฯ รวมถึง "Michelin" ซึ่งลูกค้านักซิ่งมอเตอร์ไซค์ข้ามประเทศคนหนึ่งบอกเลยว่า แผนที่ของมิเชลินนั้น ดีที่สุดสำหรับการเดินทางด้วยตัวเองโดยใช้ยานพาหนะ โดยเฉพาะการขับรถทางไกลไปเรื่อยๆไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์หรือปั่นจักรยานประเภทค่ำไหนนอนนั่น

ชนิดของแผนที่ก็ แผนที่กรุงเทพฯ เป็นหลักนะครับ ... ลูกค้าบางคนบอกว่า มีเวลามาแวะระหว่างทางแค่ 2 วัน คุณมีอะไรแนะนำบ้าง ... ผมก็นี่เลยครับ ยื่นแผนที่กรุงเทพฯให้ บอกว่า

"วัดพระแก้ว / พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ / ภูเขาทอง" ได้เลยครับ 1 วัน ชี้ให้ดูในแผนที่เสร็จ ลูกค้าหัวเราะก๊ากบอก "แจ๋ว เดี๋ยวอีกวันเดินจากถนนข้าวสารไปสยาม-สุขุมวิท แล้วขากลับจะมาเล่าให้ฟัง"

..........

รองลงไปก็เป็น แผนที่ประเทศไทย / แผนที่ภาคเหนือบ้าง ภาคใต้บ้าง แผนที่ภาคอีสานบ้าง ... ฝรั่งบางคนมาถามหาเฉพาะจังหวัดนะครับ เช่นจังหวัดเชียงใหม่นี่จะขายดีตอนช่วงปลายปี เพราะฝรั่งจะไปเที่ยวกันเยอะ ... บางทีก็ จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดมหาสารคาม ผมได้แต่กระพริบตาปริบๆพร้อมตอบไปอย่างงงๆว่า ไม่มี ได้แต่คิดในใจว่า พี่แกคงจะไปหาหมู่บ้านเขยฝรั่งเหมือนข่าวในหนังสือพิมพ์ ผมจำไม่ได้ว่าจังหวัดอะไร

แผนที่เฉพาะเกาะก็มีนะครับ ส่วนใหญ่ก็ เกาะสมุย เกาะภูเก็ต

ลูกค้าบางคนบอก "ฉันมาทะเล 1 สัปดาห์ คุณว่าที่ไหนดี"

ผมยื่น แผนที่ภาคใต้ พร้อมกับ หนังสือโลนลีแพลนเน็ตฉบับหมู่เกาะและชายหาดของประเทศไทย (Thailand's Islands & Beaches) ให้ไป

นอกจากนี้ก็จะมี แผนที่ของ ลาว-เวียตนาม-กัมพูชา รวมกัน เหมาะกับทริปสำหรับวน 1 รอบประมาณ 1-2 เดือน ตั้งต้นจากกรุงเทพฯ ออกขวาไปกัมพูชา ทะลุเข้าเวียตนามใต้ขึ้นไปยังเวียตนามเหนือ ออกซ้ายไปลาว แล้วเข้าสู่ประเทศไทยไปเชียงใหม่ต่อ หรือจะวกลงมาทางหนองคาย ก็ได้

หรืออีกฉบับหนึ่งที่ใกล้เคียงกัน ก็คือแผนที่ของกลุ่มประเทศอินโดจีน ก็จะรวมพม่ากับไทยเข้าด้วยเป็นทั้งหมด 5 ประเทศ มี ไทย-ลาว-เวียตนาม-กัมพูชา-พม่า

แผนที่ของทั้งภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะรวมสิงคโปร์-บรูไน-มาเลเซีย-อินโดนีเซีย-ฟิลิปปินส์ เพิ่มเข้ามา

แผนที่ประเทศจีนนี่มีปัญหามาก เพราะประเทศเขาใหญ่จริง ไอ้ที่ผมมีนี่เป็นแบบกระดาษหนาแผ่นใหญ่ เกือบๆจะโต๊ะอาหารขนาด 6-8 คนในร้านสุกี้เลยครับ คนขายบอกพี่ลองเอาไปขายดูแล้วกัน จริงๆมันเป็นแบบเอาไว้ติดฝาผนัง พร้อมกับมีคู่มือรายละเอียดขนาดหนังสือสวดมนตร์อีกเล่มมาคู่กัน

แผนที่ของทวีปออสเตรเลีย + นิวซีแลนด์ก็มี

นอกจากนี้ก็เป็น เมืองสำคัญต่างๆ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ บาหลี โตเกียว นานๆทีมีมาถามหา แผนที่โลกก็มีครับ หรือบางคนเอาเป็นหนังสือแผนที่แอตลาส เป็นเล่มๆก็ยังเคยมาถาม

..........

ถามว่าอันไหนดีที่สุด ก็ต้องตอบว่าแล้วแต่ชอบครับ ความต้องการของลูกค้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่างเช่น

"ฉันแก่แล้ว คุณมีแผนที่กรุงเทพฯ ที่ตัวหนังสือใหญ่ๆขายหรือเปล่า" ... ผมก็ไล่แกะดู ฉบับไหนที่แกะได้เพื่อเปรียบเทียบขนาดตัวหนังสือให้

"แผนที่ประเทศไทยฉบับนี้ ผมไม่ชอบ มันแบ่งเป็น 2 หน้า โดยหน้าหนึ่งครึ่งบนจากกรุงเทพฯ ขึ้นไป อีกหน้าหนึ่งครึ่งล่างลงมา คุณมีอย่างอื่นที่ดีกว่านี้ไหม" ... ผมก็เปลี่ยนไปเป็นแบบเต็มๆหน้าให้ ขนาดก็ใหญ่ขึ้น แกคงขี้เกียจพลิกดูหน้าบ้างหลังบ้าง ... คงอยากเห็นภาพรวม

"แผนที่ประเทศไทยฉบับนี้ดีนะ มีรายละเอียดเยอะดีมาก แต่คุณมีขนาดเล็กกว่านี้ไหม มันใหญ่เกินไป" ผมก็หาอันที่มันย่อมลงหน่อย ในใจก็คิดว่า "ก็พับสิครับ ... คุณพี่ มันเป็นกระดาษบางนะ พับเหลือสักขนาดเท่ากระเป๋าเงินก็ยังไหว"

..........

แผนที่อีกประเภทหนึ่งคือ แผนที่อิเลกทรอนิกส์ในเว็บไซต์ อันนี้ฟรีครับไม่เสียเงิน มันเข้ามาเกี่ยวกับร้านหนังสือ ก็ตอนที่ลูกค้าเข้ามาถามทางไปโรงแรมซะเป็นส่วนใหญ่

จำได้พิเศษอยู่กรณีหนึ่ง ลูกค้าสูงวัยชาวเยอรมันมากับภรรยาหน้าตาสวยคมประมาณเอเชียนี่แหละ เข้ามาถามหาหนังสือเกี่ยวกับนกในประเทศไทย ผมเลือกให้ไปได้ 1 เล่ม แกก็โอเคแฮปปี้ดีใจ คุยกับภรรยา แล้วจ่ายเงินเรียบร้อย ถัดมาประมาณ 1 สัปดาห์ แกกลับมาตอนมืดคนเดียว ในมือถือสมุดโน๊ตจดด้วยลายมือ ชี้ให้ดูหน้าที่เปิดไว้แล้วถามผมว่า

"คุณรู้จัก "Wat-Pai-lom" ไหม"

ผมขมวดคิ้วเอียงคอ "อะไรนะ"

"คุณรู้จัก "Wat-Pai-lom" ไหม นี่ไงผมจดมา นั่งรถเมล์สาย 33 ไปปทุมธานี แล้วข้ามเรือ" ลูกค้าไม่หนุ่มอธิบาย

"อ๋อ วัดไผ่ล้อม รู้จักสิ ผมเคยได้ยินชื่อเหมือนกัน" ผมนึกได้

"ใช่ๆ มันห่างจากกรุงเทพฯ แค่ไม่กี่สิบกิโลเมตรเอง" ลูกค้ายิ้มดีใจ

"เดี๋ยวผมดูในแผนที่ให้" ผมหยิบแผนที่กรุงเทพฯมา 2-3 ฉบับ นั่งไล่ดูไม่มี แผนที่จังหวัดปริมณฑล-ไม่มี

"มันอยู่ในจังหวัดปทุมธานีน่ะ" ลูกค้าเสริม

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมลองหาในอินเตอร์เน็ตให้ คุณนั่งคอยแป๊บนึง" ผมเปิดเว็บไซต์แผนที่ขึ้นมา แล้วพิมพ์คำว่า "วัดไผ่ล้อม" ลงไป กดเสิร์ช

มันโชว์หมุดขึ้นมาประมาณ 7-8 ไผ่ล้อม มีนครปฐม สมุทรสงคราม ราชบุรี เพชรบุรี ระยอง ตราด เอาละสิ ... ผมเริ่มเหงื่อตก สาย 33 มันไปปทุมฯนี่หว่า ... เอ๊ะ ไกลไม่กี่สิบกิโลเมตร สงสัยจะนครปฐมละมั้ง บอกผิดไปหลงขึ้นมาละก็ แย่แน่

"ผมว่าคุณเข้าใจผิดนะ วัดไผ่ล้อมใกล้สุดนี่มันไปนครปฐม มันไม่ใช่สาย 33 หรอก แล้วมันก็ไม่ใช่ปทุมธานีด้วย นี่ไงคุณดูที่หน้าจอนี่สิ" ผมเรียกลูกค้าสูงวัยมาอธิบาย

"ไม่หรอก ผมจดมาไม่ผิดหรอก คุณค้นไม่เจอเหรอ" เสียงเริ่มลังเล แต่ดูว่าน่าจะลังเลผมหรือข้อมูลในคอมพิวเตอร์ มากกว่าลังเลสมุดโน๊ตของแก

ถามกันไปมาสักพักใหญ่เกือบครึ่งชั่วโมง ได้ความว่าแกเป็นนักดูนก ต้องการจะไปดู "นกปากห่าง" ที่วัดไผ่ล้อมซึ่งมีอยู่ที่เดียวในโลก ถ้ามีลูกมีหลานต้องพาไปดูให้ได้ แกบอก

ผมเลยลองเปลี่ยนไปเว็บแผนที่อีกเว็บหนึ่ง แล้วพิมพ์คำว่า "วัดไผ่ล้อม นกปากห่าง" กดเสิร์ชปั๊บ ... ไล่ดูผลจากหน้าจอ นั่นไงที่สามโคก ปทุมธานี

"เฮ้ เจอแล้ว ใช่จริงๆด้วย มีนี่นา ข้อมูลของคุณถูกแล้ว" ผมยิ้มดีใจ

"ไหนๆ ไปยังไงล่ะ ขอผมดูซิ" ลูกค้าถามตื่นเต้น

ผมให้ดูที่หน้าจอ แล้วอธิบายเส้นทางตามแผนที่ ลูกค้าพยักหน้าหงึกๆ สักพักหนึ่งผมก็ถามไปว่า "เอ๊ะ ปกติผมผ่านเส้นทางนี้ไปทำงานทุกวันนะ ข้างทางเป็นนาข้าว ทำไมคุณไม่ไปกับผมล่ะ"

"จริงเหรอ ไหนๆ คุณไปยังไง" ลูกค้าถาม

"ก็ตอนเช้า ผมเดินทางโดยเส้นทางนี้นะ ..." ผมชี้ไล่เส้นทางถนนบรมราชชนนี ต่อไปยังถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก ผ่านบางบัวทอง สามโคก ตรงไปทางอยุธยา "แต่ผมจะผ่านเส้นทางเดิมกลับมาอีกที ตอนเย็นนะ"

"งั้นพรุ่งนี้เช้า ผมติดรถคุณไปตอน 7 โมงครึ่ง แล้วคุณก็ปล่อยผมลงกลางทางตรงนี้" ลูกค้าชี้ตรงแยกสามโคก "แล้วผมไปต่อเอง ข้างทางเป็นไงบ้าง"

"ก็เป็นทุ่งนาข้างไฮเวย์น่ะ อาจมีบ้านห่างๆกัน คุณอาจต้องเดินไกลนะ รถประจำทางไม่ค่อยมีหรอก แถมคนแถวนั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะสื่อสารกับคุณด้วยภาษาอังกฤษได้" ผมเริ่มกังวล คิดในใจ เขาจะเป็นอันตรายไหม

ลูกค้าบอกผมไม่ต้องกังวล เขาทำงานเรื่องสัตว์ป่า ตระเวณดูนกมาหลายประเทศ รู้จักดูแลตัวเองเรื่องความปลอดภัยเป็นอย่างดี เรานัดเจอกันตอนเช้าก่อนจับมือร่ำลากันค่ำวันนั้น

ตอนเช้าลูกค้ามาตามนัดคนเดียว เขาไม่ได้พาภรรยามาด้วย วันนี้เขาปล่อยให้ภรรยาไปช็อปปิงตามสบาย เรานั่งรถเดินทางไปด้วยกัน ได้ความว่า เขาชื่อโธมัส อายุ 60 กว่า เป็นชาวเยอรมัน ภรรยาเป็นคนฟิลิปปินส์อายุ 28 ปี ผมหัวเราะบอกว่า เมืองไทยไม่ค่อยมีนะ เขาบอกว่าเรื่องปกติ เธอเป็นภรรยาคนที่ 3 แล้ว

โธมัสทำงานเกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสัตว์ป่ามาหลายสิบปี เขาออกจากเยอรมันตั้งแต่หนุ่มๆ ตระเวณไปหลายประเทศ เขาบอกว่าเทียบกับฟิลิปปินส์แล้วประเทศไทยนี่เหมือนกับสวรรค์ของนักดูนก เพราะที่ฟิลิปปินส์แทบจะไม่มีนกตามธรรมชาติแบบเมืองไทย แม้กระทั่งในเมืองหลวงอย่างมะนิลา คนที่นั่นยิงนกมากินหมด กรุงเทพนี่นกเพียบเลย ทั้งนกกระจอก นกพิราบ

เราคุยกันเรื่อยเปื่อยถึงเศรษฐกิจในเยอรมัน โธมัสบอกว่าในมุมมองของเขา เศรษฐกิจเยอรมันมีปัญหา คนที่นั่นไม่มีพื้นที่เกษตรเหมือนเมืองไทย ที่ดินส่วนใหญ่ถูกจัดสรรสำหรับภาคอุตสาหกรรมเกือบหมด พอเศรษฐกิจไม่ดี บริษัทต้องปิดตัวลง คนก็จะว่างงานกลับไปนอนในแฟล็ต (ฟังดูอุดอู้ ไม่ค่อยน่าอยู่ ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับฮ่องกง รัสเซีย คนที่นั่นอยู่ในห้องเล็กมาก คนแก่ยากจนบางคนต้องอยู่ในห้องรวม มีที่นอนเป็นเตียงส่วนตัวอยู่ 1 เตียงสำหรับซุกหัวนอน มีตะแกรงกั้นไว้เหมือนกรงนก คนรัสเซียตกงาน ยากจนต้องไปขออาหารกินจากโบสถ์ ) รอรับเงินสวัสดิการจากภาครัฐ ไม่เหมือนเมืองไทยที่มีพื้นที่ภาคการเกษตรรองรับคนตกงานจากพิษเศรษฐกิจ ที่เยอรมันนั้นที่ดินแพงมากๆ ซะจนคนทำงานทั่วไป ไม่มีปัญญาเก็บเงินมาซื้อเพื่อทำการเกษตร หรือจะซื้อเรือเพื่อทำประมง

ผมบอกว่าที่เมืองไทยนี่ ถ้าคุณขยัน ก็มีโอกาสเสมอ ผมเล่าถึงเจ้าของธุรกิจบางคนที่เริ่มต้นการทำงานจากศูนย์จนกระทั่งก้าวขึ้นเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ระดับเศรษฐีเยอะแยะในเมืองไทย

โธมัสบอกว่า ยากสำหรับเยอรมัน เพราะที่นั่นคุณไม่สามารถเข้าไปเริ่มจากศูนย์ได้ เช่นเข้าไปเป็นลูกจ้างร้านขายของ เงินเดือนถูกๆ เก็บสะสมเงินทองจนพอตั้งตัวได้แล้วไปเปิดกิจการเอง อย่างร้านขายของชำ ร้านทำผม เพราะกฎหมายเข้มงวดเรื่องการจ้างงาน ถ้าเจ้าของกิจการ มีลูกจ้างก็ต้องมีกฎระเบียบเยอะแยะ เช่นค่าแรงขั้นต่ำ สวัสดิการอื่นๆ ทำให้เจ้าของธุรกิจเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็จะหลีกเลี่ยงที่จะจ้างคนงาน ก็ทำเอง ธุรกิจก็จะโตลำบาก ส่วนลูกจ้างก็ต้องหาช่องทางอื่นเอาเอง ที่ดินทำกินไม่มี ก็ต้องเป็นพนักงานประจำในบริษัทใหญ่ๆ

คนเยอรมัน ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หาเงินมาเพื่อซื้อสินค้าเกษตร-อาหาร ซึ่งราคาแพง การมีลูกก็ต้องใช้เงินจำนวนมากในการเรียนหนังสือ แม้หลังรวมประเทศแล้วก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่มาก

กลายเป็นว่าความบกพร่องของกฎหมายเมืองไทยบางประเด็น กลับเป็นความยืดหยุ่นให้คนมีโอกาสก่อร่างสร้างตัวได้ เป็นข้อดีไป

มิน่าล่ะ คนเยอรมันหลายคนที่ผมรู้จักต่างพากันมาตั้งรกราก ครอบครัวที่เมืองไทย โดยไม่อยากกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดเมืองนอน ผมฟังไปก็คิดไป งั้นที่ในหลวงออกแบบเรื่องการเกษตร เศรษฐกิจพอเพียงก็ดีมากๆเลยสิ เพราะเราก็ทำการเกษตร กินอยู่เองได้โดยไม่ต้องทำอุตสาหกรรมเพื่อเอาเงินกลับมาซื้อสินค้าเกษตร

คุยกันเพลินๆ เผลอแป๊บเดียวถึงสามโคกแล้ว เราแลกเบอร์โทรศัพท์กัน เผื่อกรณีฉุกเฉิน ก่อนลงจากรถ ผมชี้ทิศทางที่ต้องไปยังวัดไผ่ล้อม และบอกไปว่าเลยไปอีกสัก 200 เมตรมีป้อมตำรวจอยู่ ถ้าจำเป็น

โธมัสหยิบธนบัตรออกมาส่งให้ผม 1 ใบเป็นสินน้ำใจ ผมหัวเราะบอก "ไม่ต้อง ผมผ่านทางนี้อยู่แล้ว โดยไม่ได้ออกนอกเส้นทางเลย"

โธมัสบอกให้เก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วว่าถ้าตอนเย็นขากลับ เขาโทรมา ก็แวะรับด้วยแล้วกัน เราสัมผัสมือกล่าวอำลา ผมขับรถต่อไป ส่วนชายสูงวัยมองเก็บรายละเอียดสักพัก ก่อนเริ่มออกเดินมุ่งต่อไปยังปลายทาง

บ่ายแก่วันนั้น โธมัสส่งข้อความมาว่า "ขอบคุณมาก ผมได้เห็นนกปากห่างเยอะแยะเลย นกอื่นๆในทุ่งนาตามธรรมชาติก็สวยมากๆ เป็นทริปที่ดีจริงๆวันนี้ ไม่ต้องห่วง ผมกลับถึงกรุงเทพแล้ว พรุ่งนี้ผมจะเดินทางต่อไปยังกาญจนบุรี แล้ววันหลังถ้ามีโอกาส ผมจะไปแวะที่ร้าน"

ผมอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ พร้อมบอกว่าอย่าพลาดแวะน้ำตกเอราวัณด้วย เขาน่าจะได้ดูนกป่าสวยๆอีกเยอะเลย

..........

แล้วข้อความนี้มันติดเรทยังไง ถึงทำให้บอกว่าไม่เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชน ... ผู้ปกครองควรพิจารณา

ก็แผนที่กับมาสสาจบูมบูม นี่แหละครับ ตัวปัญหาล่ะ

คือว่าผมจะเจอลูกค้าซื้อแผนที่อยู่กลุ่มหนึ่ง ต่างชาติ ต่างผิวพรรณ แต่มีความเหมือนกันอยู่บางประการ คือซื้อแผนที่กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร พอซื้อป๊าบบบ ก็จะกางแผนที่ออกตรงหน้าผม แล้วถามหา "ไนท์ไลฟ์" ผมอนุมานว่าแหล่งเที่ยวกลางคืน

เคยเจออยู่คู่หนึ่ง ประมาณ 2 ทุ่ม เป็นคนรัสเซียวัยกลางคน แต่งตัวเหมือนเอลวิส แต่ไว้หนวดต่อลงมาถึงเครา มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ประโยคแรกถามเลย "คุณมีแผนที่กรุงเทพฯ ไหม"

ผมยิ้ม แล้วหยิบแผนที่กรุงเทพฯ ขึ้นมา 1 ฉบับ ยื่นให้พร้อมบอกราคา

ลูกค้าชำระเงิน พร้อมส่ายหน้าปฏิเสธเงินทอน ถามต่อมาด้วยสายตามุ่งมั่นเป็นประโยคที่สอง "ไหน พัฒนพงศ์"

ผมเปิดแผนที่ออก ไล่ตามเส้นทางรถไฟฟ้าไปยังสถานีศาลาแดง สีลม แล้วชี้ให้ดู

"ไปแท็กซี่ ราคาเท่าไหร่" ลูกค้าถามเป็นประโยคที่สาม ซึ่งเป็นประโยคสุดท้าย

"ไม่น่าจะเกินหนึ่งร้อยบาท ... ถ้าเปิดมิเตอร์นะ" ผมดูเวลาแล้วประมาณราคาเผื่อรถติด

"ขอบคุณ" ลูกค้าหันหลังกลับ

ใจผมคิดอยู่ว่า ดูไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ แต่ ... เอาวะ ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ว
"ขอโทษที คุณมาจากประเทศอะไร" ผมถามไป

ลูกค้าชะงักนิดหนึ่งแล้วหันมาตอบ พร้อมยิ้มมุมปาก "ผมมาจากรัสเซีย"

ผมพยักหน้ากล่าวขอบคุณก่อนลูกค้าเดินออกจากร้านไป ในใจก็คิดว่ากระชับได้ใจความ เปิดเผยดีจริงๆ

อีกคู่หนึ่ง เป็น ... ตาเฒ่าหัวงูชาวอิตาลี จำได้แม่นมากครับ เวลาประมาณ 3 ทุ่ม มาตะเภาเดียวกันเลยครับ ถามหาแผนที่กรุงเทพฯ ชำระเงินเสร็จก็กางแผนที่ออก ขอปากกาไฮไลท์หัวโตๆ สีแดง ถามว่า

"คุณช่วยชี้ให้ดูถนนสีลมหน่อย อยู่ตรงไหน"

ผมก็ชี้ให้ดูตามแนวรถไฟฟ้า

ลูกค้าวงกลมไว้ ถามต่อ "แล้วพัฒนพงศ์ล่ะ" ผมก็ชี้ให้ดู

ลูกค้าถามต่อ "แล้วสุขุมวิทล่ะ ซอยนานาอยู่ตรงไหน"

ผมก็ไล่ตามแนวรถไฟฟ้าให้ดู

"ซอยคาวบอยล่ะ ตรงไหน"

ผมพยักเพยิด "ก็แถวๆ นานา นั่นแหละ" มันไม่มีชื่อซอยคาวบอยนี่หว่า

"มีที่ไหนอีก" ลูกค้าถามต่อ

ผมเดาว่าแกอยากรู้แหล่งบันเทิงเริงรมย์ยามค่ำคืน "รัชดาไง" ผมไล่ต่อไปยังแนวรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีศูนย์วัฒนธรรม "คุณมาเปลี่ยนสถานีที่อโศกได้" ผมชี้ให้ดู

"รัชดามีอะไร" ลูกค้าถาม

"ก็ดิสโก้เธค โมเดิร์นมาสสาจ น่าจะประมาณนี้" ผมพึมพำ พลางคิดในใจ ศูนย์วัฒนธรรมของไทย ทำไมมันช่างใกล้กันดีกับศูนย์กลางอาบ อบ นวด ... จังวะ เอ๊ะแล้วไอ้บรรดารถไฟฟ้าทั้งบนดิน ทั้งใต้ดินนี่มันก็ช่างพาดผ่านแหล่งท่องเที่ยวประเภทนี้กันจะๆเลยแฮะ ไกลออกไปอีกหน่อย ก็สะพานควาย ก็เซมๆ มันช่างง่ายในการ "เข้าถึง" แหล่งบันเทิงเริงรมย์เหล่านี้จริงๆ ทำไมมันไม่ทำให้พาดไปแถว พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ-สนามหลวงงี้ หอสมุดแห่งชาติ-เทเวศร์งี้ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์-รังสิต หรือที่อื่นๆ ที่มันน่าจะดีกว่านี้นะ

"ผมใช้ตั๋วต่อกันได้ไหม ระหว่างรถไฟลอยฟ้า กับรถไฟฟ้าใต้ดิน" ลูกค้าถามต่อ

"ผมไม่แน่ใจนะ คุณต้องลองเช็คดูอีกที" ผมลังเล "แต่ปกติน่าจะมีบัตรโดยสารประเภทเหมาทั้งวัน ขายที่สถานี คุณจะโดยสารกี่เที่ยวก็ได้ในหนึ่งวัน"

"ตอนนี้ผมซื้อบัตรเหมาทั้งวันได้ไหม ถึงกี่โมง เช้าเลยหรือเปล่า" ลูกค้าซักต่อ

"ซื้อได้ แต่รถไฟฟ้ามันน่าจะหยุดบริการ ประมาณเที่ยงคืนนะ" ผมคุ้นๆ

"งั้นเหมาทั้งวันตอนนี้ก็ไม่คุ้มสิ แค่ 2-3 ชั่วโมงเอง ถ้างั้นผมซื้อบัตรเหมาทั้งวันพรุ่งนี้แต่เช้าเลยน่าจะดีกว่า" ลูกค้าเฒ่าคำนวณในใจ

ผมพยักหน้าหงึกหงัก พลางคิดในใจ "พรุ่งนี้ทั้งวันนี่ อ่างมันเปิดตั้งกะเที่ยง ลุงจะมาปล่อยของทุกอ่างเลยหรือไงวะ นักท่องเที่ยวตัวอย่างดีหนึ่งประเภทหนึ่งเลยนะนี่" มโนภาพหน้าหงิก ของเจ๊เบียบกับปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ลอยมาไรๆ

ผมเดินไปส่งหน้าร้าน ลูกค้าเฒ่ากล่าวขอบคุณ พับแผนที่แล้วก่อนเดินออกไป หันมาอีก "เดี๋ยวผมไปหาอะไรกินถูกๆหน่อย ในถนนข้าวสารนี่แพงเกินไป เสร็จแล้วผมจะลองสำรวจดูเกสต์เฮาส์อื่นๆ เผื่อย้ายที่ ... แถวนี้มีมาสสาจใกล้ๆ มั้ย"

คงกลัวเดินจนเมื่อย ผมเลยชี้ไปที่ถนนข้าวสาร "นี่ไง มาสสาจเยอะแยะ ชั่วโมงละ 100-200 บาท"

ลูกค้าเฒ่ามองตาม ส่ายหน้า "โนโน ไม่ใช่ ... มาสสาจ ... บูมบูม"

ผมหัวเราะก๊าก กึ่งขันกึ่งฉิว คิดในใจ แกคงคิดแล้วไปโซนโน้น ท่าจะไม่คุ้มกับเวลาที่เหลือ เพราะนี่มันก็สามทุ่มเกือบครึ่ง กว่าจะกินข้าวเสร็จก็คงสี่-ห้าทุ่ม "โอเค ไอเข้าใจละ"

"แถวนี้เหรอ ข้ามสะพานไปปิ่นเกล้า น่าจะใกล้สุด" พลางคิดในใจ ส่งไปให้พวกเจ้าที่ ที่สะพานควายสหบาทาดีไหมนี่

ลูกค้าเฒ่าถามอีก "คุยกันอย่างผู้ชายกับผู้ชาย มันจะปลอดภัยไหม มีอะไรต้องระวังบ้างไหม"

ปากผมตอบไปว่า "ก็ ... เอ่อผมคิดว่า เอาให้ชัวร์สุดก็แถวพัฒนพงศ์นั่นแหละ นักท่องเที่ยวเยอะ ถ้ามีปัญหาอะไร คุณน่าจะพอคุยกับคนแถวนั้นได้เพราะเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ถ้าเป็นที่อื่นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมไม่ค่อยมีธุระแถวนั้น" ส่วนในใจผมคิดว่า แล้วกรูจะรู้ไหมเนี่ย

ลูกค้าพยักหน้ากล่าวขอบคุณ แล้วเดินจากไป ปล่อยให้ผมยืนเดาเอาเองว่า ตกลงคืนนี้แกจะหาที่ปล่อยของได้ไหม หรือแกจะรวบยอดไปปล่อยพรุ่งนี้ ... ทั้งวัน

..........
..........

แล้วคุณล่ะ คิดว่าร้านหนังสือในข้าวสารตอนนี้ มันควรติดเรทไม่เหมาะสำหรับเด็กและเยาวชนไหม ?



Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2554 17:31:45 น. 5 comments
Counter : 1354 Pageviews.

 
แวะมาอ่านค่ะ
ทางร้านรับพนักงานมั้ยคะ สนใจอยากสมัครอ่ะค่ะ แหะแหะ


โดย: aa IP: 125.26.106.14 วันที่: 10 มีนาคม 2554 เวลา:5:32:45 น.  

 
ขอบคุณครับ ที่แวะมาอ่าน
ถ้าผ่านถนนข้าวสาร ก็แวะที่ร้านได้นะครับ


โดย: jettajan (jettajan ) วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:17:29:12 น.  

 
แวะมาเยี่ยมชมครับขอฝากเว็บแนะนำ สถานที่ท่องเที่ยวขอบคุณครับ


โดย: travelplace1 (loveyoupantip ) วันที่: 11 มิถุนายน 2554 เวลา:0:10:14 น.  

 
แนะนำเว็บท่องเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวอันสวยงาม


โดย: attractions (loveyoupantip ) วันที่: 6 สิงหาคม 2554 เวลา:22:46:34 น.  

 


โดย: register (nrokas_1 ) วันที่: 25 กันยายน 2554 เวลา:16:43:26 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.