Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
19 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
นอกร้านหนังสือ ... ตอน กำเนิดบัคเก็ต

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่และมีโอกาสได้มาเขียนบล็อกอีกครั้งนะครับ

ร้านหนังสือยังคงเปิดอยู่ สำหรับลูกค้านักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศครับ

แต่ก็ไม่เฉพาะนักท่องเที่ยวนะครับ ก่อนนี้ยังเคยมีคุณพ่อคนหนึ่งติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อหนังสือโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์ ปี 2009 ใหม่กิ๊กไปให้ลูกสาวที่เรียนมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง สาขาการท่องเที่ยว เห็นบอกว่าอาจารย์ใช้เป็นคู่มือในการเรียนการสอนด้วย ปกติรุ่นพี่ก็จะให้ต่อๆกันมาหลังจากเรียนจบ บางทีก็ขอยืมกันใช้บ้าง แต่สำหรับลูกสาวนี่ขอเล่มใหม่ไปเลย เพราะจะได้ใช้สะดวก กว่าจะเรียนจบก็ใช้จนคุ้ม

นอกจากนี้ก็มีนักศึกษาแถวบางกะปิ อุตส่าห์เอาหนังสืออ่านเล่นภาษาฮีบรูว์ มาขายให้ เห็นบอกว่าเป็นของเพื่อนที่กลับบ้านที่อิสราเอลไปแล้ว พอดีเธอแวะมาแฮงก์เอาท์แถวนี้ ก็เลยเอาหนังสือติดมาด้วย ล่าสุดก็เป็นหนุ่มนักศึกษาแวะมานั่งคุยกันพักหนึ่ง เจ้าตัวเล่าว่าทำวิทยานิพนธ์เรื่องร้านหนังสือแถวถนนข้าวสาร อะไรประมาณนี้ เลยเข้าไปค้นในอินเตอร์เน็ต แล้วตามรอยมาจนพบร้าน

ช่วง 2-3 เดือนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่ถนนข้าวสาร 2-3 อย่างครับ อย่างแรกเลยคือสถานีตำรวจนครบาลชนะสงครามโฉมใหม่ ใกล้เสร็จแล้วครับ มีการต่อเติมจากอาคารเดิม ใช้กระจกใสแทนผนัง มองไกลๆคล้ายรีสอร์ทริมทะเล ดูดีเหมือนกัน

นอกจากนั้นก็ข่าวดีสำหรับผู้พิสมัยเบอร์เกอร์นะครับ แมคโดนัลด์ได้มาเปิดสาขา 2 แล้ว ที่บริเวณหัวถนนข้าวสารฝั่งโรงพักฯ ติดกับธนาคารกสิกรไทย เพิ่มเติมจากสาขาเดิมแถวๆ "บัดดี้" ก็เชิญมาชิลล์กันได้ตามสบาย



Ronald and Thailand Traditional Greeting "ไหว้"



Ronald & 1st. branch @ Buddy / Khaosan



ด้านหลังของพ่อหนุ่มโรนัลด์ ถ่ายจากมอเตอร์ไซค์คลาสสิค "Ducati" ตอนที่เหล่าแกงสเตอร์มาชุมนุมกันทุกสุดสัปดาห์

แล้วก็ "กิมมิค" ใหม่ประจำถนนข้าวสารครับ ... เขาคือ "จ่าเฉย" แห่งวงการสีกากีนั่นเอง แถมจ่ายังสปีคอิงลิชเสียด้วย ก่อนหน้านี้เห็นจ่ายืนประจำอยู่ตรงหัวโค้งหน้าโรงพักฯ แต่ตอนนี้จ่าคงเบื่อเลยเดินมาเฉยอยู่บนฟุตบาทตรงทางม้าลายฝั่งวัดชนะสงครามแทน



จ่าบอกว่าข้านั้นเจ๋งกว่าซุปฯ เสียด้วยนาว้อย เพราะซุปฯ นั้นยังมีแอบไปงีบบ้าง แต่จ่านั้นบ่ยั่น บริการ 24 ชั่วโมง แม้แต่ 7-11 ยังอายเลย

ผมเดินผ่านไปผ่านมา ก็เห็นว่าจ่านี่ฮอตน่าดูเพราะเห็นนักท่องเที่ยวสาวๆแวะเวียนมาเกาะหลังเกาะไหล่ถ่ายรูปอยู่เป็นระยะๆ โดยคนที่ถือกล้องนั้นต้องลงไปยืนกดชัตเตอร์อยู่บนพื้นถนน อย่างน้อย 1 เลนโดยไม่สะทกสะท้านต่อเสียงบีบแตรไล่ของรถเมล์ รถตุ๊กตุ๊กเจ้าที่แต่อย่างใด ... ผมว่าจ่าถอยไปหน่อยก็น่าจะดีกว่า แฟนๆของจ่าจะได้ปลอดภัยมากขึ้น เพราะจ่าเล่นยืนอยู่บนขอบฟุตบาทอย่างนี้ไม่ดีเท่าไหร่ เกิดเคราะห์หามยามร้ายขึ้นมา คนที่มาถ่ายรูปกับจ่าถูกคนขับรถเมายาบ้าเสยเข้าให้ จ่าจะถูกทั่นสารวัตรเหลิม สั่งเด้งไม่รู้ตัว ... คริคริ

วันนี้ลูกค้า 2 สาวจากอังกฤษแวะเข้ามาแลกหนังสือไกด์บุ๊ค "ดัมมีส์ - ไอร์แลนด์" ก่อนจะไปดูโชว์คาลิปโซคืนนี้ซึ่งเป็นคืนสุดท้าย แล้วบินกลับบ้านพรุ่งนี้ ผมถามว่าไม่เข้าไปดื่มสั่งลาในถนนข้าวสารหรือ คนหนึ่งตอบกลับมาพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่ชอบคนเยอะ วุ่นวายมากไป ทั้งคู่บอกว่ามาเที่ยวเมืองไทยเป็นครั้งแรก ระยะเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ เป็นการเบรกช่วงปิดภาคเรียนก่อนจะกลับไปเรียนต่อ ใช้เงินคนละประมาณ 7 หมื่นกว่าบาท ไม่รวมตั๋วเครื่องบินไป-กลับ โดยทั้งคู่ประทับใจ "เมืองปาย" มากที่สุด น่าจะเป็นเพราะเป็นช่วงโลว์ซีซันจึงมีคนไม่มาก สามารถชิลด์ได้สบายๆ ... ก่อนออกจากร้านไป เธอบอกว่าเธออยู่ลอนดอน เป็นกันเนอร์ (แฟนบอลอาร์เซนอล) พร้อมหันหลังแล้วชี้ไปที่ชื่อ ฟาเบรกาส เบอร์4 บนหลังเสื้อ ผมยิ้มบอกไปว่าเหมือนผม แต่เสียดายที่เขาถูกขายกลับสเปนไปแล้ว

ผมเอ่ยขอโทษพร้อมถามอายุไป สาวสวยตาคมร่างอวบหันมายิ้มกว้างแล้วตอบว่า

"ฉันอายุ 15 ส่วนเพื่อนฉัน 16 ปี"

ผมยิ้มพร้อมอวยพรให้ทั้ง 2 เดินทางโดยสวัสดิภาพ พลางคิดในใจว่า "อายุเท่านี้ ข้าพเจ้าเพิ่งเคยไปไกลสุดแค่เกาะเสม็ด-อาทิตย์เดียว แถมดูเหมือนจะเป็นการเปลี่ยนที่เล่นไพ่ จากบ้านเพื่อนเป็นบนเกาะ เพื่อฉลองเรียนจบ ม.6 กับสอบเอ็นฯเสร็จ แค่นั้นเอง ... อ้อ เพิ่มด้วยการดื่มเป็นครั้งแรกจนผื่นขึ้นและตากแดดจนหลังลอกทั้งตัวด้วย "

ผมเดินตามไปส่งที่หน้าร้าน หลังจากทั้ง 2 คนเดินข้ามถนนไป ขณะที่ผมกำลังหันกลับเข้าร้าน พลันสายตาก็ผ่านของสิ่งหนึ่งซึ่งวางอยู่ที่พื้น ใกล้กระจกหน้าร้านด้านนอก มันคือถังพลาสติก 2 ใบ ข้างๆถังมีหลอดกาแฟ 3-4 หลอดกลิ้งอยู่ห่างๆกัน ผมเดินไปหยิบมาถือไว้ในมือ จมูกได้กลิ่นเหล้าโชยระริน

"อ๋อ บัคเก็ตเหล้า น่ะเอง" ผมยิ้มในใจ "ได้ถังซักถุงเท้าเพิ่มอีกแล้ว"

หลายท่านที่เคยมาถนนข้าวสารบ่อยๆ คงนึกออก แต่สำหรับท่านที่สงสัยว่ามันคืออะไร ผมขออนุญาตอธิบายให้ฟังว่ามันคือถังพลาสติกขนาดสักไม่เกิน 1 ฝ่ามือ สีเขียวบ้าง น้ำเงินบ้าง ออกทึมๆบ้าง ใสๆบ้าง พร้อมหูหิ้วสีขาว ที่เด็กๆนักเรียนรู้จักกันดีในฐานะ ถังซักถุงเท้าหรือไม่ก็ถังซักกางเกงใน แต่ปัจจุบันนี้มันถูกพัฒนามาเป็นภาชนะบรรจุเครื่องดื่มที่ฝรั่งเรียกว่า "บัคเก็ต" พร้อมหลอดขนาดใหญ่ดูดด้วยกันได้หลายๆคน (ยังดีที่มีหลอดให้ ไม่ต้องยกดื่ม ... แต่ถ้าจวนจะหมดบัคเก็ตแล้ว ก็ตามสะดวกเลยครับ) ส่วนคนไทยก็มีนิยมอยู่ด้วยเยอะเหมือนกัน

สำหรับ ไอ้เจ้า "บัคเก็ต" แล้วแต่ชอบครับ เข้าทำนองรสนิยมส่วนตัว ของใครของมัน ว่ากันไม่ได้ แต่ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่เอาด้วย ... ไม่ใช่รังเกียจอะไรหรอกครับ เพียงแต่มีความทรงจำที่ไม่ค่อยน่าประทับใจกับกลิ่นของมัน ... คือ ตอนสมัยเป็นเด็กนักเรียนนั้น เด็กทั่วๆไปที่ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่ก็มักจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการซักถุงเท้าของตัวเองอยู่แล้ว ผมเองปกติก็ซักทุกวัน บางวันขี้เกียจก็รวบ 2 วันเป็นอย่างมาก แต่ตอนเริ่มเข้ามัธยมนั้นยังเด็ก ไม่ค่อยรู้หน้าที่สักเท่าไหร่ ก็มักจะเอาถุงเท้าใส่ถัง "บัคเก็ต" นี่แหล่ะ แล้วก็ใส่น้ำขลุกขลิกพอท่วมถุงเท้า แล้วโรยผงซักฟอกลงไปแช่ไว้ ถ้าไม่ซักวันนั้น วันถัดมาก็ใส่ถุงเท้าเพิ่มไปอีก 1 คู่ เติมน้ำพร้อมผงซักฟอกพอท่วม มีอยู่ทีนึงที่ผมเผอิญขี้เกียจต่อเนื่องกันทั้งอาทิตย์ กลายเป็นว่ามันถูกหมักไว้จนถุงเท้าขาวกลายเป็นสีเทา ฟองฟอดไม่รู้ว่าเพราะผงซักฟอกหรือน้ำมันเน่า แต่กลิ่นนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ มันกลิ้นน้ำครำดีๆนี่เอง ผมต้องฝืนขยำน้ำใหม่ กลิ่นผงซักฟอกใหม่ก็ไม่ช่วยอะไร กลิ่นเหม็นมันฝังติดมือไปอีกหลายวัน ...



ใช้หลอดใหญ่ดูดสาคูของชาไข่มุก เพราะหลอดกาแฟธรรมดานั้นเล็กไปสำหรับคนกินเหล้า



บัคเก็ตเดียวกัน 3-4 คนนี่ บางทีก็ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน พึ่งมารู้ชื่อกันบนโต๊ะนั่นแหล่ะ คนไทยก็เหมือนกันครับ ไอ้ประเภทบินเดี่ยวแล้วไปหาเพื่อนข้างหน้านี่ก็ไม่น้อยเลย

กำเนิดของ "บัคเก็ตเหล้า" สุดฮิปนั้น น่าสนใจมากครับ ก่อนหน้านี้นั้นถนนข้าวสารไม่มีนะครับ เพิ่งมามีช่วงไม่ถึง 4-5 ปีนี้เอง มันเป็นการโคจรมาเจอกันของคู่แท้ที่แสนจะเข้ากั๊น เข้ากัน ระหว่าง "ผีเน่า" กับ "โลงผุ" ยังไงยังงั้นเลย

ถ้าจะว่าไป ก็เหมือนกับกำเนิดของแม่น้ำเจ้าพระยา อันมาจากแม่น้ำสาขาน้อยใหญ่มากมาย โดยมีแม่น้ำสายหลัก 4 สายคือ ปิง วัง ยม น่าน ซึ่งไหลมาจากภูเขาสูงจากทางภาคเหนือ แม่น้ำวังไหลมาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่จังหวัดตาก แม่น้ำยมไหลมาบรรจบกับแม่น้ำน่านที่อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นแม่น้ำทั้ง 4 สายก็ไหลมาบรรจบเป็นสายเดียวกันที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ แล้วไหลมาทางใต้อีกกว่า 300 กิโลเมตร เพื่อมาออกที่อ่าวไทยเลยทีเดียวเชียว

แรกเริ่มเดิมทีนั้นเหล้าปั่นมาปรากฏกายบนถนนข้าวสารในรูปกายของรถโฟล์คตู้ ขายกันชิลล์ๆข้างทางเข้าซอยรามบุตรี เป็นคันแรก ถ้าจำไม่ผิด เครื่องดื่มก็ยกกันมาจากบาร์เลยครับ ผสมกัน เขย่ากันบนรถนั่นแหละ เสร็จแล้วก็เสิร์ฟข้างรถบ้าง โต๊ะ-ม้านั่งชนิดพับเก็บได้ เจ๋งสุดตอนนั้นเห็นเป็นเตียงผ้าใบวางเป็นตับทีเดียว หลังจากนั้นก็ค่อยๆมีคันอื่นตามๆกันมา



The Volk Bar.Serving cocktails from the back of a spruced up Volkswagon van! It pulls up near Khao San Road in Bangkok most nights. How cool is that? How impossible would it be to do this in Ireland?



The best cocktail van on Khaosan road / Blog : Lindsey Manning / Khaosan Weekend

มีอยู่ 3-4 คันนะครับ เป็นอยู่อย่างนี้สักพักใหญ่ๆ รถตู้เริ่มหายไป นัยว่าธรรมชาติของคนขายของย่อมอยากได้ร้านเป็นที่เป็นทาง / อาจจะขายเอามันส์ พอเริ่มเบื่อก็ย้ายหาที่อื่น / การจอดรถอาจไม่สะดวกสถานที่และเวลา / แก้วคอกเทลนั้นบอบบางเกินไปสำหรับการดื่มสมบุกสมบัน แถมต้องล้างทำความสะอาดอีก แต่ลูกค้าเริ่มติดใจแล้วกับบรรยากาศชิลล์ๆ รูปแบบที่ถูกใจ นั่งสบายๆสไตล์โอเพนแอร์ ราคาไม่แพงด้วย ก็เริ่มมีการถ่ายรูปไปโพสต์ไว้ในบล็อกส่งต่อๆกัน

แล้วถังละครับ มายังไง ... มันมาจากสงกรานต์ครับ เข้ามาที่ถนนข้าวสารประมาณเกือบ 10 ปีก่อน ตามแป้งดินสอพองเข้ามาติดๆ



ขายแป้งก็ต้องมีภาชนะใส่ด้วย ขันนั้นใช่แน่ แต่ถังซักถุงเท้าสิเหมาะสุด หิ้วได้ด้วย



สงกรานต์ตะลุมบอนบนถนนข้าวสาร

พอหมดสงกรานต์ถังเหลือ เก็บไว้ขายปีหน้า นั่นคือถังมารออยู่ก่อนหลายปีแล้ว พ่อค้าหัวใสเห็นคอกเทลขายดี แต่มีทุนน้อย ก็จับเอาคอกเทลมาประยุกต์ใส่ลงในถังซักถุงเท้าซะ อึดกว่าแก้วอันบอบบาง และสมบุกสมบันกว่า เหมาะสำหรับขายข้างทาง กินไม่หมดถือติดมือไปด้วยได้เลย ไม่ต้องคืน ส่วนรถตู้ลำบาก-ที่ทางจอดยาก ก็ชั้นไม้ขายกาแฟไงราคาถูก แถม "ดิบ" ดีอีกต่างหาก

ดังนั้นเมื่อ "คอกเทล" โคจรมาเจอกับ "ถังซักถุงเท้า" บนถนนข้าวสาร ส่วนผสมที่ลงตัวก็เกิดขึ้น แต่งเติมด้วยชั้นไม้ขายกาแฟราคาถูก ก็ฟิวชันกลายเป็นแหล่งแฮงก์เอาท์รูปแบบใหม่สไตล์ท้องถิ่นขึ้นมา จนขายกันเป็นเทน้ำเทท่าแบบในรูป



ตั้งโต๊ะบนฟุตบาทบ้าง ดึกหน่อยก็ลงมาบนถนน กินกันเป็นล่ำเป็นสันเลยครับ



ร้านนี้เป็นร้านที่ไม่ตรวจบัตรด้วยนะจะบอกให้ มาชิลล์กันได้ตามสบาย ... เอ๊ะ แล้วผับ-บาร์ติดแอร์ ที่ตรวจบัตรเข้า-ออก จะเจ๊งไหมนี่

แล้วเหล้าสีของไทยก็โกอินเตอร์กันอีกครั้งหลังจากจับมือกับกระทิงแดง "เรดบุล" ของลุง "เฉลียว อยู่วิทยา" และ "โค้ก" น้ำดำอันดับ 1 ขึ้นโต๊ะ ในนาม "Sangsom set" ... นับเป็นปรากฏการณ์อีสต์มีทเวสท์ขนานแท้จริงๆ



ขายเป็นชุด โค้ก กระทิงแดง พร้อม แสงโสม

เอ่อ ... ไม่ทราบว่า "Sirrocco-Sky bar" อันโด่งดังแห่ง สเตททาวเวอร์ สีลม จะสนใจนำเสนอเมนู "Sangsom set in bucket" ขึ้นโต๊ะบ้างไหมครับ



Sirrocco Sky Bar @ State Tower Silom



The Dome @ Sky Bar



Sky bar, cool !!!

อืมมม ... วันนี้ เลี้ยวออกนอกร้านไปไกลแฮะ จะกลับยังไงกันดี




Create Date : 19 กันยายน 2554
Last Update : 20 กันยายน 2554 21:10:03 น. 1 comments
Counter : 10946 Pageviews.

 
ฟูลมูนที่เกาะพะงันก็มีแบบนี้

ปล ไม่เคยไปหรอกเห็นแต่ในรูปค่ะ


โดย: settembre วันที่: 24 กันยายน 2554 เวลา:16:53:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.