วันเดียวกันนั้นเอง ผมได้คุยกับหนุ่มเยอรมันคนหนึ่ง ผอมสูง มีเครานิดหน่อย ท่าทางร่าเริง เดินเข้ามาในร้านโดยไม่ได้มีลักษณะท่าทางของการจะเป็นลูกค้าซื้อหนังสือเลย ผมเอ่ยทักทายก่อนถามว่ามีอะไรให้ช่วยไหม ชายหนุ่มกล่าวว่า"ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่อยากมาคุยด้วยเท่านั้นเอง"ผมยิ้มมุมปากก่อนตอบไป "อ๋อ ได้สิ ตอนนี้ผมไม่มีลูกค้า คุยได้สบายอยู่แล้ว ... เมืองไทยเป็นไงบ้างล่ะ"ชายหนุ่มตาเป็นประกาย พร้อมยิ้มกว้าง "เยี่ยมเลย ผมมาที่นี่เป็นครั้งที่ 5 แล้ว"ผมเลิกคิ้ว ถามไป "วาว ... คุณต้องประทับใจอะไรแน่ๆเลย ใช่ไหม""ใช่เลย ผมชอบเมืองไทยมาก คนที่นี่เป็นกันเองและก็ให้ความช่วยเหลือพวกเรา นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างดี" ชายหนุ่มพยักหน้า "โดยเฉพาะครั้งหลังๆ ที่ผมมา ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปมาก"ผมยิ้ม "ทำไมล่ะ ครั้งแรกๆกับครั้งหลัง ต่างกันยังไง"ชายหนุ่มกล่าวอย่างเปิดเผย "2 ครั้งแรกที่ผมมาเมืองไทยนะ จุดมุ่งหมายหลักคือเรื่องผู้หญิงอย่างเดียวเลย ... ผมมาเพื่อเที่ยวผู้หญิง" ชายหนุ่มออกท่าออกทาง "เหมือนหมาหิววิ่งหากระดูกน่ะ คุณนึกออกไหม"ผมพยักหน้าคิดตาม พร้อมหัวเราะในคอ "แล้ว ???""แต่หลังจากนั้นครั้งที่ 3 ที่มา ผมเริ่มไม่สนใจมันอีกแล้ว ผมเริ่มมองสิ่งต่างๆรอบข้าง สถานที่ ธรรมชาติ วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ โดยเฉพาะผู้คน ... มันทำให้ผมรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างที่นี่กับที่อื่นๆ รู้สึกชอบ อยากมาอีก" ชายหนุ่มพึมพำ "ใช่ ผู้คนที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น""คนที่นี่มักจะ ... เกรงใจ .. ใช่ไหม" ชายหนุ่มถามอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่าจะพูดถูกไหม"อ๋อ ... เกรงใจ" ผมยิ้มยิงฟัน"จริงๆแล้ว มันหมายความว่ายังไงเหรอ คำนี้น่ะ" ชายหนุ่มถามต่อผมเม้มปากคิด ก่อนตอบไปว่า "คงจะประมาณว่า คิดกังวลว่าความรู้สึกของคนอื่นจะเป็นยังไง เราทำอะไรไปแล้วเขาจะชอบหรือเปล่า ประมาณนั้นมั้ง""ใช่ๆ มันต่างจากบ้านผมมากเลย ที่นั่นจะไม่มีคำนี้ อย่างเวลาคนแก่ขึ้นรถประจำทางนะ ถ้าไม่เอ่ยปากขอละก็ ไม่มีคนลุกให้นั่งหรอก ไม่เหมือนกับคนไทยที่มักจะลุกให้คนอื่นนั่ง บางทีคนถือของเยอะๆขึ้นรถมา ก็เห็นมีคนลุกให้นั่งกันตั้งหลายคน" ชายหนุ่มเอ่ยต่อ "แล้วคนที่บ้านผมนะ เวลาที่เขารู้สึกอย่างไร เขาก็จะแสดงออกมาอย่างนั้นเลย ไม่พอใจก็เห็นจากสีหน้าเลย โกรธก็พูดเลย แล้วไม่สนใจด้วยว่าคนอื่นจะรู้สึกยังไง แต่คนไทยจะไม่อย่างนั้น ไม่พูดและบางทีก็ยิ้มอย่างเดียว""แต่อันนั้นผมว่าเป็นข้อเสียนะ เพราะคุณไม่รู้ ... ถูกไหม ... ว่าขณะที่ยิ้มนั้น เขาคิดอะไร" ผมเห็นต่าง พร้อมนึกถึงคำว่า "ยิ้มซ่อนมีด" พลางนึกถึงยิ้มของ "ครูใหญ่" ที่อมเงินของ "ไอ้ฟัก" ในคำพิพากษาของหนุ่มใหญ่ 2 ซีไรต์"ใช่ คุณพูดถูก ... แต่อย่างน้อย มันก็ทำให้อุณหภูมิของความขัดแย้งเวลานั้นลดลง หรือความเป็นไปได้ของการเผชิญหน้าจะน้อยลง" ชายหนุ่มเสริมมา"ก็ ... น่าจะ" ผมเห็นด้วยเราคุยกันต่อเรื่อยเปื่อยอีกเกือบครึ่งชั่วโมง พูดถึงสภาพเศรษฐกิจของยุโรปที่กำลังมีปัญหา ความแตกต่างระหว่างพื้นฐานเศรษฐกิจ ทำให้แม้ว่าจะใช้เงินยูโรเหมือนกัน แต่ประเทศยุโรปเหนือจะมีเศรษฐกิจดีกว่ายุโรปใต้ ค่าแรงของคนยุโรปใต้จะต่ำกว่าคนยุโรปเหนือเป็นปกติ ดังนั้นผู้คนของยุโรปเหนือก็จะมีฐานะดีกว่า ... เช่น คนอังกฤษ สแกนดิเนเวียน กลุ่มเบเนลักซ์ พวกนี้จะร่ำรวยกว่า คนสเปน โปรตุเกส อิตาลี โดยทั่วๆไป
ผมพยักหน้าเห็นด้วย พร้อมเล่าถึง 3 สาวฮอลแลนด์ที่มาซื้อโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์กับเฟรสบุ๊คเล่มใหม่ไปพร้อมกันเมื่อวันก่อน ... สาวสวยหัวหน้าทีมนั้นชำระค่าหนังสือโดยไม่ดูราคาเลย หลังจากนั้นขณะที่ทั้ง 3 ออกจากร้านไป พอมองเห็นขอทานนั่งอยู่ 2-3 คน เธอบอกเพื่อนร่างอวบว่าให้เอากล้วยทั้งหวีที่เพื่อนใส่ถุงพลาสติกหิ้วอยู่ ให้กับขอทานไป แถมพอขอทานชี้ไปที่น้ำขวดใหญ่ที่เพื่อนอีกคนถืออยู่ เธอก็รีบส่งให้ไปเช่นกันพร้อมกับหัวเราะกับเพื่อนทั้ง 2 ก่อนเดินจากไปมือเปล่าเพราะให้ของในมือไปจนหมด ... ผมยืนมองอยู่เงียบๆ ก่อนหันมายิ้มยินดีกับเหล่าขอทาน ในลาภลอยจาก 3 สาวแต่ก็แอบหยอดขำๆไปนิดหนึ่งว่า ถ้างั้นคนฝรั่งเศสนี่ก็สมกับที่เป็นยุโรปกลางแล้วสิ เพราะรวยแต่งก มาซื้อหนังสือที่ร้านของผมที ต่อราคานานมาก ชายหนุ่มหัวเราะขำหน้าแดง ... ใครๆก็รู้ เยอรมันกับฝรั่งเศสนั้นเป็นไม้เบื่อไม่เมากันมาตั้งแต่สงครามโลก รบกันไม่รู้เท่าไหร่ "เอ้า ... คุณมีลูกค้ามาพอดี งั้นผมขอตัวก่อน ขอบคุณมากครับ ยินดีที่ได้คุยกัน" ชายหนุ่มบอกลาผมกล่าวลาแล้ว หันมาดูลูกค้าหนุ่มที่เข้ามาใหม่ ลักษณะเป็นแขกผิวคล้ำ ท่าทางจะเหนื่อยมาเพราะเห็นเหงื่อซึมหลัง พร้อมกับกลิ่นตัวโชยระริน"สวัสดี รับหนังสืออะไรดีครับ ไกด์บุ๊ค หนังสืออ่าน หรือแผนที่" ผมเปิดการสนทนาทักทายลูกค้าแขกส่ายหน้า "ไม่ล่ะ ผมไม่เอาหนังสือ แต่ผมขอโทรศัพท์หน่อยได้ไหม""ได้สิ" ผมหัวเราะหึหึในคอ ส่งกระดาษปากกาสำหรับจดรหัส-พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ทางไกล เข้าใจว่าคงโทรต่างประเทศ แล้วถามว่า "ประเทศอะไร"ลูกค้าแขกส่ายหน้าอีก "ไม่ใช่ต่างประเทศ ผมโทรในประเทศไทยนี่แหล่ะ"ผมขมวดคิ้วสงสัย "คุณโทรไปจากโทรศัพท์สาธารณะก็ได้นี่ แถวนี้มีตู้เยอะแยะ"ลูกค้าตอบลุกลี้ลุกลน "ผมลองแล้วตั้งหลายที แต่มันไม่มีคนรับสายเลย ไม่รู้ทำไม ตู้เสียหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมเลยจะลองโทรโดยโทรศัพท์มือถือของคุณนี่แหล่ะ""อ๋อ ได้สิ ไม่มีปัญหา" ผมส่งโทรศัพท์มือถือให้พ่อหนุ่มลูกค้าแขกรับโทรศัพท์ไป พร้อมแบมือที่จดหมายเลขโทรศัพท์ขึ้นมาดู ผมเห็นแล้วก็ขำนึกถึงตอนเรียนมัธยมที่มักจะมีฝ่ามือซ้ายลายพร้อยไปด้วยตัวหนังสือ แล้วตอนเย็นก็จะเอานิ้วโป้งมือขวาถูๆแทนการล้างด้วยสบู่ อาจารย์สอนเคมีเคยบอกว่า "คนที่ชอบจดข้อความด้วยปากกาหมึกแห้งลงบนฝ่ามือนั้นไม่ดี เพราะในหมึกแห้งนั้นมีสารตะกั่วปนอยู่ด้วย" ... จะเตือนมันดีไหมเนี่ย ผมคิดในใจ"ไม่มีคนรับ" ลูกค้าแขกขมวดคิ้ว "เนี่ยเหมือนกันเลย ผมโทรไปตั้ง 3 ครั้งแล้ว"ผมชะโงกหน้าดูเบอร์ที่ลูกค้าโทรออก "เบอร์โทรศัพท์มือถือธรรมดานี่นา ... คุณมีเบอร์อื่นอีกไหม" ผมถาม"เดี๋ยว ผมลองอีกเบอร์ดูสิ ว่าจะได้หรือเปล่า" ลูกค้าลองอีกเบอร์ น้ำเสียงเริ่มหงุดหงิดผมลุ้นเอาใจช่วยอยู่เงียบๆ"ไม่มีคนรับอีกเหมือนกัน" ลูกค้าถอนใจหมดหวัง"คุณรอสักพักแล้วค่อยโทรไปใหม่ก็แล้วกัน เพื่อนคุณอาจจะติดธุระอยู่ก็ได้" ผมปลอบใจ"ขอบคุณมากนะ นี่ค่าเสียเวลา" ลูกค้าหนุ่มหยิบแบงก์ออกมา 1 ใบส่งให้ผม แล้วออกจากร้านไปผมพลิกแบงก์ดูในมือเรื่อยเปื่อย ในใจคิดว่า "ตกลงวันนี้จะได้ขายหนังสือไหมเนี่ย ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้เปิดบิลล์เลย"สายตาชำเลืองเห็นหน้าจอโทรศัพท์กระพริบแว้บๆ มีข้อความเข้าจากหมายเลข +6689588XXXX เป็นภาษาอังกฤษ ข้อความว่า "Were are you staying I might have two girls that will come for 5K for two hours"ผมอ่านเสร็จก็หัวเราะก๊าก คิดในใจ "โทรไปเหอะ โทรยังไงก็ไม่มีคนรับหรอก ... เวรจริงๆ เอาเบอร์เราโทรหาสาวเอสคอร์ต รัสเซียหรือยุโรปก็ไม่รู้"ผมสาวเท้ายาวๆไปทีหน้าร้าน ชะโงกดูซ้ายที ขวาทีก็ไม่เห็นเงาพ่อตัวดีเสียแล้ว สายตาชำเลืองมองแบงก์ที่ยังถืออยู่ในมือ พลางคิดในใจ"อืมมม ... 2 คน 2 ชั่วโมง - 5000 บาท ... ไม่เลวๆ ... ว่าแต่ไอ้แบงก์ที่มันให้มานี่ช่างไม่มีความหมายเลยนะเนี่ย""หรือจะโทรกลับดี ... แพ็คคู่เสียด้วย"