Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
8 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน วันฉุกเฉิน

สวัสดีครับ ยินดีที่มีโอกาสได้กลับมาเขียนบล็อกอีกวันหนึ่งนะครับ

ช่วงนี้ใกล้วันสงกรานต์แล้ว เวลานึกถึงห่างๆประมาณ 2-3 เดือนจะรู้สึกเฉยๆนะครับ แต่กลับกันเวลานึกถึงใกล้ๆ อีกสัก 2-3 วันนี่จะรู้สึกคึกคัก จังหวะหัวใจเต้นแรงเหมือนเพลงของ บี้เดอะสตาร์ ประมาณนั้น

พูดถึงวันสงกรานต์ถนนข้าวสารกับช่วงเวลาประทับใจที่ผ่านมาตั้งแต่เด็ก สมัยก่อนต้นซอยสัก 100 เมตรจากด้านโรงพักชนะสงคราม จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหมูหมักขนาด 2 คูหาอยู่ 1 ร้าน รสชาติอร่อยสูสีกับร้านเคี้ยงเลยทีเดียว เลยไปแถวกลางซอย จะมีร้านตัดผมสำหรับผู้ชาย ประลองบาเบอร์ ตัดผมเด็กนักเรียนได้เท่ห์กว่าสกินเฮดของคีนู รีฟ ในหนังเรื่องสปีดซะอีกครับ เลยไปอีกหน่อยตรงซอยซูซีผับ เดิมจะเป็นโรงน้ำแข็ง ตอนเด็กๆเคยหิ้วกระติกไปซื้อน้ำแข็ง 1 บาท ขากลับแทบจะต้องลาก เพราะหนักชะมัดยาด ข้างๆโรงน้ำแข็งจะมีร้านขนมใส่โหล ใส่ปี๊บ ขายทั้งปลีกและส่ง มีหมดทุกอย่างตั้งแต่ ขนมปังเอบีซี ถั่วตัดแผ่นเบ้งๆ ลูกอมเหนียวหนึบท่อนเล็กๆห่อด้วยกระดาษย่นสีสวย ขนมเหรียญแบนๆสีแดงซ้อนเป็นปึกๆ ห่อกระดาษสูงขนาดเหรียญบาทจากเมืองจีน แต่ที่ฮิตที่สุดคือลูกอมรสนมท่อนสั้นๆสีขาว ห่อด้วยกระดาษขาว ในกระดาษลายๆอีก 1 ชั้น ไอ้ที่ประทับใจก็เพราะกระดาษขาวข้างในมันกินได้ด้วย อมเข้าปากแล้วจะละลายเองเลย นัยว่าทำมาจากแป้งที่กินได้น่ะ ... ไม่รู้ว่าจะเหมือนนมเมลามีนหรือเปล่าแฮะ

เลยไปสุดซอยก่อนเลี้ยวซ้ายไปวัดบวรฯ จะมีร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้ออยู่ตรงหัวมุม ชื่อ "รสยอดเด็ด" อร่อยจริงครับแต่ปัจจุบันไปไหนแล้วไม่รู้กลายเป็นร้านขายเครื่องเงินไป เหมือนกับร้านหนังสือต่างประเทศ "อโพเรีย" ที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นร้านขายเครื่องเงินไปเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา

สงกรานต์ก็งั้นๆ ถนนจักรพงษ์ไม่ใช่รถวิ่งทางเดียวเหมือนสมัยนี้ ฝั่งหน้าร้านของผมจะเป็นทางเฉพาะรถเมล์วิ่ง พอสงกรานต์ทีนึง วันที่ 13 ก็เอาน้ำใส่ถุงพลาสติกบ้าง ลูกโป่งบ้าง ไล่ปากันพอสนุกๆ พอช่วงเย็นๆค่ำๆ เปียกจนไม่รู้จะเปียกยังไงแล้ว ก็เริ่มทำให้คนอื่นเปียกบ้าง เอาถังใส่น้ำมารอสาดคนบนรถเมล์ จนกระทั่งเหนื่อยหมดแรง หรือผู้ใหญ่มาดุก็เลิกไป กิจกรรมสนุกสนานวันสงกรานต์จะจบลงภายในวันเดียว วันรุ่งขึ้นก็ไปโรงเรียนเหมือนเดิม

พอฝรั่งแบ็คแพ็คเกอร์รุ่นบุกเบิก ลงหลักปักฐานที่ถนนข้าวสารพร้อมกับป่าวประกาศให้โลกรู้จัก ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป สงกรานต์ก็เปลี่ยนไป

เกสต์เฮาส์ราคาถูกผุดเป็นดอกเห็ด ร้านรวงของคนท้องถิ่นก็ย้ายออกไป เพื่อเปิดทางให้ธุรกิจท่องเที่ยวเข้ามาแทน ประเพณีสาดน้ำสงกรานต์ของคนไทยกลายเป็นกิจกรรมสุดฮิปของฝรั่ง ปืนฉีดน้ำขนาดเล็กใหญ่ ตามกันเข้ามา ผมยังจำได้ถึงฝรั่งวัยรุ่นชายคู่หนึ่ง หน้าตาเกลี้ยงเกลา ไม่สวมเสื้อเพราะเปียกทั้งตัว สะพายปืนฉีดน้ำความจุสักโค้กขวดลิตร 2 ขวด มาร่วมแจมฉีดน้ำเข้าทางกระจกรถเมล์สนุกๆ พอตกบ่ายชักมันส์ พี่แกเลยวิ่งขึ้น-ลงรถเมล์อยู่หน้าถนนข้าวสาร เดินขึ้นไปฉีดน้ำใส่คนบนรถทางประตูหน้าแล้วลงทางประตูหลังเสียเลย รถติดๆก็โอเคนะครับ คนขับรถบางคันสนุกด้วย ก็ชะลอรถจอดให้ฉีดกันเป็นเรื่องเป็นราว ได้เปียกกันถ้วนทั่วทุกตัวคน

หลังจากนั้นไม่รู้ปีไหน ที่รัฐบาลประกาศสงกรานต์ 3 วันติด ทีนี้ก็ยาวเลยครับ ธุรกิจสงกรานต์ขยายกันเป็นล่ำเป็นสัน ปีหนึ่งได้โอกาสเหมาะ ผมไปเช็งเม้งที่สระบุรีเพื่อสักการะบรรพบุรุษ ได้ของอย่างหนึ่งกลับมาและทำให้สงกรานต์มีสีสันมากขึ้น แป้งไงครับ ระหว่างที่เดินอยู่ตรงศาลเจ้าก็เห็นแม่ค้าขายของเต็มไปหมด มะม่วง ถั่วแดง ถั่วเขียว งา เมล็ดทานตะวัน กระเจี๊ยบ ของกิน เยอะแยะ รวมทั้ง "ดินสอพองเม็ด" ที่ขายส่งกันเป็นถุงๆ ก็เลยเหมามาหลายกระสอบ เอามาแบ่งขายถุงละ 20 บาท ปรากฏว่าขายดีมากเพราะถูก สมัยนั้นยังไม่ค่อยเอาดินสอพองมาเล่นกัน หนุ่มๆก็จะใช้แป้งตรางูเป็นหลัก หอมเย็นจริงแต่มันแพงไงครับ กระป๋องหนึ่งโปะไปไม่กี่คนก็หมดแล้ว แต่พอดินสอพองถูกกว่ากันเยอะ ก็เลยแทนกันได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นงานวันสงกรานต์ก็จะจบลงโดยความขาวบนถนน ทาง กทม. ก็ต้องมาฉีดน้ำล้างถนนกัน ก่อนที่ถนนจะแห้งเป็นถนนฝุ่นไปอีกหลายวัน

ช่วงงานสงกรานต์ ผมใส่หมวกปีกกว้าง ขายปืนฉีดน้ำหน้าบ้านมาหลายปี ตลอด 3 วันนี่ (บางปีก็ 4-5 วัน) แห้งได้พักเดียวก็เปียกอีก ผิวไหม้แดง บางทีก็ได้ผื่นที่แขน-ขามาหลายวันเลยครับกว่าจะหาย ... จำได้ปีที่แล้ว สาวฝรั่งรัสเซียสวยมากคนหนึ่ง เดินเข้ามาหลบน้ำสงกรานต์อยู่ในร้าน เธอบอกว่าขออนุญาตรอเพื่อนอยู่ในร้านสักพักหนึ่ง พอดีนัดเพื่อนไว้ยังไม่มา แล้วเธอไม่อยากรออยู่ข้างนอก ว่าแล้วเธอก็ยืนโทรศัพท์สลับกับมองหาเพื่อนอยู่ประมาณเกือบชั่วโมง ผมไม่แน่ใจว่าเธอกลัวอะไร เพราะเธอเล่นนุ่งบิกินี 2 ชิ้น แล้วใช้กระโปรงผ้าบางๆพลิ้วๆพันเอวทับเฉพาะบิกินีท่อนล่าง เดินลุยอยู่ในถนนข้าวสารตอนสงกรานต์เนี่ยนะ (กลัวที่ไหน) ....

แต่บางอย่างไม่น่าเกิด-ก็เกิด บางทีก็มีราดน้ำจากชั้นบนลงมาในหม้อก๋วยเตี๋ยว ต้องปิดร้านเร็วไปเลย ..... 2 ปีก่อนเห็นจะๆเลยครับ วัยรุ่นคนไทย 5-6 คนวิ่งไล่ตามเหยื่อกันมา ชนราวแขวนปืนฉีดน้ำของผมล้ม แล้วเซไปติดอยู่กับถังน้ำแข็งขนาดใหญ่ข้างๆ ขณะที่เหยื่อหนุ่มเสียหลักคว่ำอยู่บนฝาถังน้ำแข็งนั้นเอง 1 ในทีมไล่ก็ชักมีดปลายแหลมออกมาจากไหนไม่รู้ยาวเกือกคืบเห็นจะได้ เสียบเข้าไปที่แผ่นหลังบริเวณใต้ชายโครงด้านขวา ... มิดด้าม เสร็จแล้วก็ชักมีดออกเก็บ ก่อนพาพวกเดินออกไป ปล่อยให้เพื่อนของเหยื่อหนุ่ม 3-4 ตามมาประคองคนเจ็บออกไป ทั้งหมดนี่ห่างจากผมประมาณ 2 เมตรเท่านั้นเอง

พอวันรุ่งขึ้น หน้าร้านติดกันเยื้องไปหน่อยเดียว ชายคนหนึ่งเกิดลงไม้ลงมือกับผู้หญิงที่น่าจะมาด้วยกันจนล้มลงกับพื้น ก่อนเดินจากไป ผมได้แต่ตะโกนเรียกตำรวจจนคอแทบแตก ขณะที่คลื่นคนล้อมรอบได้แต่หยุดยืนมอง โดยไม่มีใครเข้าไปยุ่งเลย .... ไม่น่าเชื่อจริงๆ

สงกรานต์ปี 52 เป็นปีก่อนเริ่มทำร้านหนังสือ ตอนนั้นร้านเป็นห้องโล่งๆ หลังจากคนเช่าเดิมย้ายออกไป ต้นเดือนมีนาคม ผมก็เอาหนังสือเก่าภาษาไทยที่มีอยู่มาวางขาย เป็นตั้งๆ ติดกับกระจกหน้าร้าน อ่านแล้วบ้าง อ่านไม่หมดบ้าง เป็นพวกวรรณกรรมเพื่อชีวิต / วรรณกรรมเยาวชน / วรรณกรรมแปลซะเยอะ ประเภท 6 ตุลาบ้าง / คึกฤทธิ์ / อ.เสกสรรค์ / ชาติ / สุจิตต์ / จนมารุ่นหลังๆ พวก ไพฑูรย์ / กนกพงศ์ / ไพวรินทร์ / วินทร์ / แปลของ เฮสเส - ตอลสตอย - เฮมิงเวย์ .... ขายแบบราคาไม่แพง ถือคติว่าหนังสือดีต้องแบ่งกันอ่าน ถ้าเราอ่านแล้วเก็บ มันก็แค่กระดาษปึกหนึ่ง แต่ถ้าคนที่ถูกชะตากับหนังสือเล่มนั้น ได้แบ่งๆกันไปอ่าน มันจะมีคุณค่ามากกว่ากัน อันนี้แล้วแต่มุมมองส่วนตัวนะครับ บางคนอาจจะชอบเก็บไว้ ก็แล้วแต่ชอบครับ ไม่ว่ากัน

ขายได้ 2-3 สัปดาห์ มีคนไทยแวะเข้ามาซื้อไม่เท่าไหร่ สัก 5-6 คนได้ ในขณะที่ฝรั่งเข้ามาถามทุกวันเลย วันละซัก 10 คนได้ ถามว่า คุณไม่มีหนังสือฝรั่งขายเหรอ ตอนนั้นผมก็ยังคิดไม่ออกนะครับ ว่ามันหมายความว่ายังไง จนกระทั่งมีฝรั่งผู้ชายคนหนึ่งเอาหนังสือมาบอกขายผม 10 กว่าเล่ม แล้วมีโลนลีแพลนเน็ตปนอยู่ด้วย ผมรับซื้อไว้ 2-3 วันก็มีลูกค้ามาซื้อต่อไป กลายเป็นจุดเริ่มต้นของร้านหนังสือท่องเที่ยวภาษาต่างประเทศในปัจจุบัน

แต่ก่อนหน้านั้นต้องภารกิจสงกรานต์ก่อน ผมไปซื้อปืนฉีดน้ำมา 8 โหล หลายพันบาทอยู่ กะว่า 3 วันน่าจะหมด ท่ามกลางสถานการณ์ม็อบถนนราชดำเนินยังยืดเยื้อ ... 12 เย็นเริ่มเปิดงานที่ถนนข้าวสาร เริ่มขายได้ทำให้มีกำลังใจดีอยู่ พอ 13 ขายได้ครึ่งวัน เริ่มมีการเผารถเมล์ด้านโน้น มีควันไฟลอยลิบๆไกลสายตา ด้านถนนราชดำเนินไปทางพระบรมรูปทรงม้า พร้อมกับข่าวประกาศหยุดเดินรถเมล์แล้ว แม่ค้าบางคนเริ่มถอดใจเก็บของ ผมต้องอำไปตลกๆว่า "ควันไฟร้านหมูปิ้งละมังพี่ แต่อย่าเพิ่งเก็บเลย รถก็หยุดวิ่งบริการแล้ว ถึงเราเก็บของ ลูกค้าก็ยังกลับไม่ได้อยู่ดี แล้วคงไม่มีอะไรมาถึงนี่หรอก" ปรากฏว่าก็กัดฟันขายกันจนมืด ผมยังจำได้ วัยรุ่นแก๊งค์หนึ่ง 8-9 คน แต่งตัวเป็นชุดลูกเสือ มาเที่ยว ... จนเย็น คุณน้องแกเดินกลับไปกลับมาผ่านร้านผมไม่ตำกว่า 7-8 รอบ จนดึก เช็คเงินที่ขายได้ ......... คืนทุนแล้ว / ปืนฉีดน้ำยังเหลืออยู่เลย / ไชโย

14 เช้า พอข่าวโทรทัศน์ประกาศสถานการณ์ปกติ ก็เริ่มมีคนมาเที่ยวมากขึ้น พอสายหน่อยขายปืนฉีดน้ำหมดแล้ว ผมคิดอยู่พักหนึ่งก็ตัดสินใจเอากำไรที่ได้ไปซื้อปืนฉีดน้ำมาเพิ่มอีก 5 โหล ถือว่าได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น วันสุดท้ายไม่แน่ใจว่า 16 หรือ 17 ที่ถนนข้าวสารประกาศข่าวเล่น-ไม่เล่น งงๆกันอยู่ ผมเหลือปืนฉีดน้ำอยู่ 2 โหล พอบ่ายๆเย็นๆ คนที่ไม่รู้ข่าวยกเลิกการเล่นแล้วก็ยังมากันอยู่ หลักร้อยคนได้ ผมถามดูบางคน มาไกลมาก จาก บางนา บางกะปิ อ้อมใหญ่ มากันเป็นกลุ่มๆ ก็นั่งจ๋องมองดูตากัน เพราะแม่ค้าขายปืนฉีดน้ำ-ขายน้ำเหลือน้อยแล้ว และไม่แน่ใจด้วย ว่าเขายังเล่นกันอยู่หรือเปล่า บางกลุ่มมากันพ่อแม่ลูก ผมเลยบอกขายปืนให้ถูกๆ พร้อมเติมน้ำฟรี แล้วบอก "เอางี้นะพี่นะ ไหนๆพี่ก็มากันไกลแล้ว พี่ซื้อปืนฉีดน้ำไปราคาพิเศษ แล้วก็ ... เล่นเลย น้ำหมด พี่มาเติมที่ร้านผมฟรี แต่ถ้าพี่ไม่เล่น ก็มาเสียเที่ยวเปล่า แค่นั้น" ประกอบกับมีรถของสมาคมผู้ประกอบการถนนข้าวสารวิ่งประกาศให้เล่นฉีดน้ำได้ ไม่ว่า เพื่อช่วยเหลือพ่อค้า-แม่ค้าที่ลงทุนในช่วงสงกรานต์ ... ปรากฏว่าผมยุขึ้นครับ ม็อบฉีดน้ำของผมจุดติด แค่ชั่วโมงเดียว ปืนฉีดน้ำของผมที่เหลือ 2 โหลขายเกลี้ยง ไม่เหลือเลย เพราะแม่ค้าร้านอื่นเก็บกันหมด แม่ค้าฝั่งตรงข้ามเห็นผมขายได้เร็วก็รีบวิ่งไปเอาปืนฉีดน้ำที่เหลือออกมาขายบ้าง โดยมีผมนั่งหัวเราะไปเติมน้ำไปให้ลูกค้าอย่างอารมณ์ดี ... คืนนั้นผมนั่งรอเติมน้ำให้ลูกค้าจนถึงเที่ยงคืน

********************

สงกรานต์ ปี 53 ผมเริ่มทำร้านหนังสือได้เกือบปีนึงแล้ว ... วันที่ 10 เมษายนคือ "วันฉุกเฉิน" อย่างแท้จริง ตอนบ่ายผมกลับจากกินพิซซ่ากับครอบครัว ที่ร้านพิซซ่าลันตาชื่อดัง เดินมายังไม่ถึงร้าน เจอเจ๊ข้างบ้านบอกให้รีบปิดร้าน เพราะเขาเริ่มยิงกันแล้ว

ผมรีบสาวเท้าอย่างรวดเร็ว มาที่บ้านดึงประตูเหล็กปิดลง พร้อมกับที่เห็นฝรั่งวิ่งกันสับสนอยู่กลางถนนข้าวสาร เป็นการวิ่งมาจากฝั่งเบอร์เกอร์คิง มาทางโรงพักชนะสงคราม ตามมาด้วยกลุ่มคนไทย ก่อนจะกระจัดกระจายกันไป ร้านขายของรีบเก็บข้าวของกันอลหม่าน ภายในไม่เกินชั่วโมงเดียว ถนนข้าวสารก็เปลี่ยนเป็นถนนร้าง แทบจะไม่มีคนเหลืออยู่เลย หลังจากนั้นพร้อมๆกับการประกาศภาวะฉุกเฉิน ก็จะเห็นเหล่าแบ็คแพ็คเกอร์เดินเข้าแถวสะพายเป้บ้าง ลากกระเป๋าบ้าง ออกเดินทางกันไปจนหมด บางคนก็ยืนรอโบกรถที่ไม่มีผ่านมา ผมเดินไปที่บางลำพูเพื่อซื้ออาหารเย็น เจอส้มตำอยู่ 1 รถเข็น สนทนากันพักหนึ่ง แม่ค้าบอกเสียงเครือว่า

"แย่เลยพี่ เนี่ยของที่ซื้อมา ทำไว้ตั้งแต่เช้าสำหรับออกขายตอนเย็น ปกติจะหมดตอนกลางคืนดึกๆ ทั้งหมูย่าง ไก่ย่าง เจ๊งหมดวันนี้ ทุกคนกลับบ้านกันหมดแล้ว ขาดทุนหมดแล้ว วันนี้"

ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ก็ได้แต่ปลอบใจ แล้วก็ช่วยอุดหนุนมื้อเย็น ห้างตั้งฮั่วเส็งก็ปิดแล้ว ตั้งแต่บ่ายสามโมง ... ลูกค้าสาวออสเตรเลียคนหนึ่งบอกผมอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า "คุณรู้ไหม ฉันนั่งอยู่ตรงหัวมุมถนน ตรงข้ามเบอร์เกอร์คิง (ฝั่งที่ติดกับสี่แยกคอกวัว) ตอนที่มีเสียงปืนดัง มีลูกปืนยิงมาโดนฉันด้วย เนี่ยผิวฉันไหม้เลย ... ไม่เอาแล้ว ฉันออกจากกรุงเทพดีกว่า แล้วฉันจะไม่กลับมาที่นี่อีก"

ลูกค้าสาวยุโรปอีกคน เข้ามาเลือกซื้อหนังสือทำอาหารกับหนังสือโยคะ ก่อนออกไป เธอถามอย่างงงๆว่า มีอะไรกันเหรอ เห็นร้านค้าเก็บของกันแล้ว ผมอธิบายไปให้ฟังว่ามีประกาศเคอร์ฟิววันนี้ เธอควรกลับโรงแรมก่อน 6 โมงเย็นนะ เธอพยักหน้ารับทราบเฉยๆ ก่อนออกจากร้านไป

ส่วนหนุ่มอิสราเอลอีกคนแสดงความเห็นอย่างฉาดฉานกับผมว่า "เรื่องปกติ ประเทศประชาธิปไตยกับม็อบ ประเทศของผมหนักกว่านี้เยอะ"

ผมฟังไปก็พยักหน้าไป ในใจคิดว่า "ก็แหงสิ ฉนวนกาซ่า พี่ก็ซัดกับปาเลสไตน์ตั้งเท่าไหร่ ... นายพลโมเช ดายัน ที่ 1 อิสราเอลรุม 6 อาหรับในสงคราม 6 วันพี่ก็ลุยมาแล้วนิ ประมาณว่า ผม ... เจอมาเยอะ เจ็บมาเยอะ"

หลังจากนั้นจนกระทั่ง 6 โมงเย็น ทุกอย่างก็นิ่งสนิท เหลือแต่ฝรั่งตกค้าง 2-3 คน เดินออกมาถ่ายรูปถนนข้าวสารในเงาสลัวใต้แสงไฟข้างทาง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เห็นถนนข้าวสาร ... ร้าง ไม่มีผู้คน แม้แต่ไฟป้ายโฆษณาก็ยังปิดเหลือแต่ไฟทางกับแสงจันทร์ ผมแง้มประตูกระจกเปิดไว้ นั่งซึมซับภาพบรรยากาศแวดล้อมไว้ในความทรงจำ เพราะคืนนี้เป็นคืนเคอร์ฟิวที่เจอจังๆครั้งแรกในชีวิต เป็นคืนที่ไม่ธรรมดา

เหตุการณ์หลังจากวันที่ 10 ก็เป็นอย่างที่รู้กันกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่

ด้านล่างนี้เป็นเนื้อหาบรรยากาศบางส่วนที่ผมเล่าให้เพื่อนฟัง ผ่านทางอี-เมล์ หลังจากผ่านพ้น "วันฉุกเฉิน" วันนั้นมา บางคนแนะนำให้ไปทำประกันชีวิตไว้

*****

บ้านที่บางลำพูเหรอ อยู่สิ อยู่ทั้งวันแหละ
ช่วงบ่ายวันปะทะ วันเสาร์ที่ 10 มีเสียงปืน ดังตลอด เป็นช่วงๆ
มีเสียงระเบิด เป็นบางระยะ
มีทหารเดิน ตั้งแถวเดินผ่านหน้าบ้าน หลายรอบ
หลายร้านเริ่มปิดประตู แผงลอยทยอยเก็บของ ฝรั่งมองกันอย่าง งงๆ ไม่เข้าใจ

ตอนหัวค่ำ มีทหารไล่ คนเสื้อแดง .... วิ่งหนีผ่านหน้าบ้าน เข้าไปซ่อนในวัด
ฝรั่งวิ่งหนีแตกตื่น เหมือนในหนังสงคราม

แล้ว ก็ถนนข้าวสาร ร้าง ...... ความรู้สึก คือ ไม่ปลอดภัย แม้จะอยู่ในบ้าน

.....

วันรุ่งขึ้น มีขบวนมอเตอร์ไซค์ วิ่งสวนทางผ่านไปมา บีบแตร โบกธง .... ตำรวจ ไม่ทำอะไร เหมือนไม่มีตำรวจ
มีม็อบ ค้าขายไม่ได้ มีชีวิตปกติไม่ได้ การเดินทางลำบาก เส้นทางการขับรถเปลี่ยน ชีวิตมีความไม่แน่นอน ไม่มีอะไรแย่กว่านี้อีกแล้ว

.....

พอวันจันทร์ ที่ 12 ตอนเย็น คนต่างชาติกับคนไทย ก็เริ่มออกมาเล่นน้ำสงกรานต์กัน เปิดเพลงเต้นกันลั่นถนน สาดน้ำ ขายปืนฉีดน้ำ หัวเราะ ยิ้ม สาวไทย สาวฝรั่งเริ่มขึ้นบนเวทีชั่วคราว โยกตามจังหวะเพลง ...... บรรยากาศสนุกสนาน เริ่มเข้ามา ความรู้สึก คือ ทุกคนควรมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตปกติ มีความสุข

ติดกับรั้วกั้นบริเวณจุดปะทะ ที่คนตาย มีคนเสื้อแดง บางคนเกาะรั้ว มองมาที่งานรื่นเริง บางคนเข้ามาสนุกด้วย
ตำรวจ ยืนเฝ้าเกะกะอยู่ 3-4 คน

.....

พอ 13-14-15 ก็มีแต่บรรยากาศ งานสงกรานต์ ปริมาณคนลดลงกว่าครึ่ง คนเสื้อแดงบางส่วน ก็มาสนุกกับงานรื่นเริง บางครั้ง รู้สึกไม่อยากจะฉีดน้ำเลย

จนกระทั่ง ม็อบย้าย ออกจากราชดำเนิน

จบข่าว

.....

ว่าแต่ ปี 54 นี่ จะเอาไงกันดีละครับ นายท่าน ....


Create Date : 08 เมษายน 2554
Last Update : 11 เมษายน 2554 0:23:44 น. 0 comments
Counter : 1210 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.