ถ้าเป็นตอนเด็กๆ ก็ดีนะครับ ฝนตกกระหน่ำทำให้พื้นที่ว่างหลังวัดอากาศเย็นสดชื่น ต้นหูกวางสูงใหญ่ผลิใบเขียวสวย ตามรางระบายน้ำตื้นๆจะมีลูกอ๊อด หางสั้น หางยาวให้ช้อนเล่นเต็มไปหมด
พอโตมาหน่อยก็เตะฟุตบอลตอนเย็น โรงเรียนวัดบวร ฝนตกเปียกมะล่อกมะแล่กก็ไม่ยอมเลิก จนรองเท้าผ้าใบสีดำเปียกฉ่ำส่งกลิ่นเหม็นโชยระรื่น เพราะแดดไม่มี ตากไม่ทันไรก็ฝนตกอีก ต้องเก็บอีกแล้ว ... สมัยเรียนอุดมศึกษา อาจจะมีเวลาไปเตะบอลชายหาดกลางสายฝนอย่างไม่กลัวฟ้าผ่าบ้าง ... แต่ล่าสุดที่ตากฝนนี่จำได้ว่า 2-3 ปีนี่เอง ตอนนั้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ในฤดูฝน มองฟ้าแล้วก็ไม่มั่นใจว่าฝนจะไม่ตก แต่ก็วัดดวงออกไปวิ่งที่สนามหลวง ปรากฏว่าวัดผิด วิ่งได้แค่ 3-4 รอบ ฝนก็ตกกระหน่ำลงมา ... ด้วยความที่หมดแรงแล้ว หนีฝนไม่ทันแล้ว ใต้ต้นมะขามก็ไม่ช่วยอะไรได้เลย ก็เลยคิดในใจว่า
"ไม่หลบไม่เหลิบมันแล้ว ตากฝนให้ฉ่ำซะทีก็ดีเหมือนกัน" ว่าแล้วก็ต่อจนครบ 5 รอบ ก่อนที่จะเดินฝ่าฝนเข้าไปแวะที่ท่าพระจันทร์ อย่างสบายอกสบายใจ ที่ได้มีโอกาสกลับไปตากฝนเหมือนเด็กอีกครั้ง
....................
ร้านหนังสือยังเปิดอยู่ครับ แม้ในวันฝนตก เพื่อบริการหนังสือให้แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการหนังสือไกด์บุ๊คมือสอง ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ฮีบรูว์ ทั้งซื้อขาด ขายคืน หรือแลกเปลี่ยนกันไปก็ได้ตามสะดวก
นึกถึงตอนเป็นเด็ก หนึ่งในนั้นก็คือภาพของการ์ตูนเณรน้อยเจ้าปัญญาปรากฏขึ้นพร้อมๆกับตัวละครเด็กคนหนึ่งที่ทำให้เณรน้อยน่าัรักยังต้องปวดหัวกับความช่างซักช่างถาม "เจ้าหนูจำไม" ... ชื่อตัวละครญี่ปุ่นแปลตรงๆว่ายังไงไม่รู้นะครับ แต่ชื่อแปลเป็นไทย "เจ้าหนูจำไม" นี่ช่างเป็นชื่อที่บ่งบอกคาร์แรคเตอร์ได้ชัดเจนอย่างเยี่ยม จนแม้กระทั่งเลยวัยดูการ์ตูนแล้ว ชีวิตคนจริงๆที่เจอบางคนก็ยังทำให้นึกถึงชื่อ "เจ้าหนูจำไม" ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
วันนั้นจำได้ว่าเป็นเช้าวันหยุด จะเสาร์หรืออาทิตย์ก็ไม่ทราบ แดดแรงระเหยหยดน้ำค้างต้นนางกวักหน้าร้านออกไปจนแห้งเหือด ก่อนที่ลูกค้า 2 สาวชาวเอเชีย ดูไม่ออกว่าเป็นชาติไหนแต่แต่งตัวแล้วดู "เยอะ" เดินจดๆจ้องๆเข้ามาในร้าน เลือกดูแสตมป์ โปสการ์ด เหรียญและแบงก์สำหรับสะสมอย่างสนอกสนใจอยู่พักใหญ่ เธอถามหา "ตู้เอทีเอ็ม" หรือไม่ก็ "Money exchange" ก่อนที่จะเลือกโปสการ์ดออกมากองไว้สัก 10 ใบได้ พร้อมๆกับแสตมป์สะสมอยู่ 3-4 ซอง
ผมยืนมองเรื่อยเปื่อยอยู่พักใหญ่ ด้วยว่าปกติไม่ค่อยเห็นลูกค้าแบ็คแพ็คเกอร์แต่งตัวประมาณนี้ โดยเฉพาะสาวๆฝรั่งมักเป็น เสื้อยืดบางทีก็แขนกุด - ไม่ก็สายเดี่ยว รองเท้าแตะชนิดมีสายรัดส้น เป้หลังมอมเป็นขี้เป็ด กางเกงขาสั้น-ชายรุ่ย ถ้าอยู่เมืองไทยนานเข้า บางทีก็เป็นกางเกงเลไปเลย ... แต่ 2 สาวนี่แต่งตัวราวกับหลุึดมาจากหนังสือแฟชัน โดยมีอุปกรณ์ 3 ชิ้นมาตรฐานคือ กล้องถ่ายรูป เป้สะพายหลัง และแว่นตา ส่วนรายละเอียดที่แตกต่างนั้นคนหนึ่งโกรกผมสีทอง สวมกางเกงรัดรูป ขณะที่อีกคนสวมหมวกปีกกว้าง ชุดกระโปรงยาวติดกันและสร้อยคอถักแฮนด์เมดสะดุดตา
สองสาวหมวยที่ไปเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่น กับชุดท่องเที่ยวชนิดจัดเต็ม
สาวเอเชียผมทองบอกว่า "เราฝากแยกโปสการ์ดและแสตมป์ไว้นี่นะ เดี๋ยวแลกเงินแล้วเรากลับมา"
ผมพยักหน้าพร้อมชี้ไปที่เคาเตอร์แลกเงินของธนาคารกสิกรไทยฝั่งตรงข้าม แดดเริ่มแรง พนักงานน่าจะมาแล้ว ไม่เหมือนรถบริการแลกเงินเคลื่อนที่ของธนาคารยูโอบีที่ มาบ่ายสอง-กลับสี่ทุ่ม ... คิดในใจ "เอาวะ ลูกค้าสาวเข้ามาแต่เช้า คงไม่ฟาล์วเป็นแน่แท้"
แป๊บนึงพวกเธอก็กลับมาตามสัญญา ... ผมดีใจน้ำตาจะไหล วันนี้ฤกษ์ดี คงขายดีทั้งวัน
หลังจากชำระเงินเสร็จเรียบร้อย สาวผมทองขอยืมปากกาพร้อมกับเริ่มหาที่ทางนั่งเขียนโปสการ์ด 3 ฉบับ ส่วนที่เหลือเก็บไว้ หลังจากเขียนเสร็จ-ฝากส่ง บทสนทนาเริ่มต้นขึ้น
"นี่คุณ เราถามหน่อยสิ ตอนที่เราข้ามไปแลกเงินน่ะ คนขับรถแท็กซี่ฝั่งตรงข้ามถามเราว่า เขามีคูปองน้ำมันฟรี สามารถขับพาเราไปเที่ยวดูพิพิธภัณฑ์เครื่องประดับได้ ใกล้ๆนี่เอง ไม่เสียค่าใช้จ่าย เราสนใจหรือเปล่า ... มันฟรีจริงๆเหรอ" สาวโกรกผมทองถามมา พร้อมเอาแผนที่ของเธอมาชี้ให้ดู ผมมองตามที่เธอชี้ มันใช้คำว่า "Jewelry gallery" อยู่ที่ใดที่หนึ่งแถวๆหลานหลวง ถ้าจำไม่ผิด
ผมยิ้มมุมปาก ถามกลับไปว่า "คุณเคยไปฮ่องกงหรือภูเก็ตหรือเปล่า"
"ไม่เคย ทำไมเหรอ" 2 สาวกระพริบตาปริบๆ
"คือประมาณว่า ที่นั่นมันเป็นร้านจิวเวลรีขนาดกลางหรืออาจจะใหญ่ เขาพาพวกคุณไปส่งก็จะได้เงินค่าตอบแทนส่วนหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีพนักงานพาพวกคุณเดินดูสินค้าในตู้โชว์ ถ้าคุณซื้อสินค้าของเขา คนขับรถที่พาคุณไปก็จะได้ค่าคอมมิชชันอีกส่วนหนึ่ง" ผมอธิบายช้าๆ
"เครื่องประดับประเภทไหนเหรอ ราคามันสักเท่าไหร่" สาวโกรกผมทองซักมาอย่างสนใจ
"ก็ไม่รู้สิ อาจจะสร้อยคอมุก เลซข้อมือทองคำ หรือไม่ก็ต่างหูเพชร ราคาก็อาจจะหลายพันจนถึงหลายหมื่น" ผมประมาณคร่าวๆ
"โอ้ ราคาแพงเหมือนกันนะ เราไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นหรอก แล้วถ้าเราไม่สนใจซื้อล่ะ" เสียงถามมาลอยๆ
"ถ้าคุณหลบออกมาได้โดยไม่ได้ซื้อของอะไร อย่างแย่ที่สุดคุณก็เสียเวลาสัก 1-2 ชั่วโมง" ผมตอบยิ้มๆ
สองสาวส่งสำเนียงกันเองพักหนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้ากันไปมา
"คุณพูดภาษาจีนนี่นา คุณไม่ใช่คนญี่ปุ่นหรือ" ผมเดาผิด ถามไปอย่างไม่แน่ใจ
"ใช่แล้ว เราเป็นคนจีน ทำไมคุณคิดว่าเราเป็นคนญี่ปุ่นล่ะ" หญิงสาวภายใต้หมวกปีกกว้างถามมา
"ผมพอเห็นคนจีนมาบ้าง ส่วนใหญ่ไม่แต่งตัวแบบคุณ น่าจะเป็นคนญี่ปุ่นมากกว่า ดูเป็นเสื้อผ้าแฟชัน" ผมอธิบายสาเหตุ
"แต่คุณเดาถูกส่วนหนึ่ง เพราะฉันเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น สาขามาร์เก็ตติ้ง ตอนนี้ปิดเทอมเราเลยมาเที่ยว 2-3 สัปดาห์" เธออธิบายก่อนถอดหมวกออกขยับเล็กน้อย
"เออ นี่ คุณช่วยบอกทางไปพัทยาให้เราหน่อยสิ" เธอถามต่อมา ก่อนอธิบายว่าต้องการจะไปดูโชว์สาวประเภทสองที่นั่น แล้วจึงกลับมากรุงเทพ
ผมทำตาโต "คุณไม่ได้จองที่พักที่นั่นไว้เหรอ โชว์มันประมาณหัวค่ำนะ น่าจะ 2 รอบ กว่าจะจบก็ 2-3 ทุ่มละมัง หลังจากนั้นคุณต้องรีบไปขึ้นรถทัวร์ที่ท่ารถ ถ้าทันรอบที่ไม่ดึกนัก กว่าจะกลับมาถึงท่ารถเอกมัยก็เฉียดๆเที่ยงคืน แล้วยังต้องนั่งรถกลับมาที่ถนนข้าวสารนี่อีก"
"ถ้าเป็นรถแท็กซี่ล่ะ" เสียงถามต่อมา สายตาใต้ปีกหมวกดำขลับเป็นประกาย
"ผมเคยเห็นเขาเหมาประมาณ 1500 บาท ตอนนี้อาจจะ 1700-1800 บาท" คิ้วของผมขมวด จากที่เคยได้ยินลางๆ
เธอพยักหน้ากันสองคน มองตากันเหมือนกำลังชั่งใจสำหรับแผนการไปดูโชว์ที่พัทยา ก่อนที่สาวผมสีจะยกกล้องของเธอมาเปิดให้ดูภาพที่เธอถ่ายไว้แล้วถามต่อ
"เราถามคุณหน่อยสิ ในรูปนี่ทำไมคนที่บริจาคอาหารให้พระต้องถอดรองเท้าด้วยล่ะ"
มันเป็นรูปหญิงชราใส่อาหารลงในบาตรพระ ... แน่นอน รองเท้าคู่กายถอดอยู่ข้างๆ ผมยิ้มแล้วอธิบายไป "คือว่าในภาพนี่น่ะ คนทั่วไปบริจาคอาหารให้พระเป็นเรื่องปกติ ทีนี้โดยทางศาสนาพุทธนั้น พระจะมี "Rule" ที่ต้องปฏิบัติอยู่ 227 ข้อ เช่นกินข้าววันละ 2 มื้อ ไม่แต่งตัวทำให้สวยงาม ไม่สัมผัสเพศหญิง ฯลฯ ซึ่งจะทำให้พระอยู่ในสถานะที่สูงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นเวลาบริจาคอาหารให้พระ คนทั่วไปมักจะถอดรองเท้าออกโดยความเชื่อว่าไม่ควรอยู่ในสถานะที่สูงกว่าพระ"
"แต่ที่ฉันเห็น บางคนก็ไม่ถอดรองเท้านะ" สาวโกรกผมถามต่อมาอย่างช่างสังเกตุ
"อ๋อ ... ก็อาจจะมีบ้าง อย่างบางทีคนที่สวมชุดทำงานแล้วใส่รองเท้าหนังและถุงเท้า อาจจะไม่สะดวก อาจจะกลัวถุงเท้าสกปรกก็เลยไม่ถอด หรือผมเองบางทีฝนตกพื้นเลอะๆ ผมก็ไม่ถอดรองเท้าเหมือนกัน" ... รอดไป อย่ามาต้อนให้จนซะให้ยาก นังหนู ... ผมดึงสเต็ปเท้า 2 จังหวะ โยกตัวหลอกก่อนพลิ้วออกจากมุมด้วยลีลาฟุตเวอร์กระดับเทพ ในใจนึกถึงภาพชนะรางวัลอะไรสักอย่าง ... "ภิกษุ สันดานกา" ถึงได้โล่ห์ แต่ห้ามเผยแพร่ ... นัยว่าสังคมรับไม่ได้ อาจทำให้เสื่อมศรัทธาต่อศาสนา ประมาณนั้น
เธอพยักหน้าอย่างเข้าใจในคำอธิบาย เสียงใสใต้ปีกหมวกถามต่อ "แล้วคุณมีที่แนะนำไหม แถวๆใกล้ๆนี้ เป็นแผนสำรองให้เรา เผื่อไว้ถ้าเราไม่ไปพัทยา"
ผมมองในแผนที่แล้วเอานิ้วจิ้มลงที่ภาพวัดพระแก้วอย่างรวดเร็ว "นี่เลย แกรนด์พาเลซ ไม่ควรพลาด แต่ปิดบ่ายสามโมงครึ่งนะ แล้วก็คุณน่าจะต้องเสียค่าบัตรเข้าชมด้วย เป็นร้อยเหมือนกัน"
"แล้วคนไทยล่ะ" เธอถาม กระพริบตาปริบๆ
"ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย" ผมตอบ ยิ้มยียวนพร้อมกระพริบตาปริบๆ
"โห ... ได้ไง" เธอหัวเราะเสียงดัง
"ไม่งั้นคุณก็ลองหัดพูดไทยให้ได้สิ เขาอาจจะให้ผ่านฟรีก็ได้" ผมหัวเราะพร้อมกับรวบโปสการ์ด 3 ใบนั้นมาถือไว้ในมือก่อนที่ทั้งสองสาวจะร่ำลา
นี่ดีนะ ที่ท่าไหว้สวยใช้ได้ สมกับที่มาเที่ยวเมืองไทย ... ถึงจะเป็นสาวจำไมก็ไม่ว่ากัน
โปสการ์ดที่สาวจำไมผมทอง เขียนส่งไปที่จีนและญี่ปุ่น ... รวมครบ 3 ภาษา อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น
หลังจากที่เธอทั้งสองออกไป ผมเริ่มคิดถึงหนทางเมคมันนีเพิ่มเติมขึ้นมาได้อีกอย่าง โดยการผสมผสานวิธีการของธุรกิจ 2 ชนิดจากตะวันตก ว่าจะเอาไว้ใช้ยามแก่เฒ่าเกษียณแล้ว คงไม่อดตาย
หนึ่งคือ การจับเวลาของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดทั้งพิซซ่าและไก่ทอด
และสองคือ การคิดเงินของจิตแพทย์ในหนังฝรั่งฮอลลีวู้ด
ขั้นตอนคือ วางนาฬิกาจับเวลาเหมือนที่เขาเล่นสแครบเบิลเอาไว้พร้อมกับป้าย "Information on demand" ... คิดค่าให้คำปรึกษาตามระยะเวลาที่ต้องการ กดปุ่มแล้วเริ่มถามได้
- ค่าใช้จ่ายเท่าร้านอินเตอร์เน็ตทั่วไป 1 ชั่วโมง - 30 บาท ปรึกษาขั้นต่ำ 10 นาที
- กรณีใช้อุปกรณ์เสริมทั้งแผนที่และอินเตอร์เน็ต คิดเพิ่ม 10 บาท
- ปรึกษานอกเหนือเรื่องหนังสือท่องเที่ยวคิดเพิ่ม 5 บาทต่อหัวข้อ
- โปรโมชันพิเศษคือซื้อสินค้ามากกว่า 200 บาท - ปรึกษาฟรี 10 นาที
1) โกลด์แพ็คเกจ เหมาจ่ายถามได้ 8 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม - 75 บาท พร้อมคูปองลดค่าสินค้า 10 %
2) แพลทตินัมแพ็คเกจ เหมาจ่ายถามได้ทั้งวันทั้งคืน - 100 บาท พร้อมแนะนำสถานที่เที่ยวพิเศษ ลับเฉพาะตามเทศกาล
เอ๊ะ ... นี่มันขายเคเบิล หรือ แพ็คเกจมือถือ นี่นา ... ชักไปกันใหญ่แล้วอาทิตย์นี้ ...
สงสัยเพราะสองสาวจำไมเป็นเหตุ ขอตัวไปเช็คสภาพก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวจะกู่ไม่กลับ ... แล้วค่อยเจอกันใหม่โอกาสหน้า