Group Blog
 
<<
เมษายน 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
27 เมษายน 2557
 
All Blogs
 
นอกร้านหนังสือ ... ตอน Songkran Drama '57 - 2

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน มาต่อกันเลยดีกว่าครับกับเรื่องแรก เรื่องราวของคู่รักนักศึกษากับบทเรียนธุรกิจระดับปริญญา ... ทั้งคู่เป็นนักศึกษาปริญญาตรีอยู่วิทยาลัยครูแถวนี้ไม่ใกล้ไม่ไกล ที่มาหาเช่าที่ขายของประเภทน้ำดื่มหรือน้ำเติมสำหรับเล่นสงกรานต์ มากับเพื่อนอีก 1 คู่ เป็น 2 หนุ่ม 2 สาว วันแรกที่มาก็เจอลางร้ายโต๊ะพับขาหักทำเอาลังโฟมบรรจุกระป๋องเครื่องดื่มกับน้ำแข็งร่วงกันไป เนื่องจากโต๊ะพับรับน้ำหนักไม่ไหว ทำเอาวุ่นวายหาที่เชื่อมซ่อมขา หาโต๊ะใหม่กันพักนึง พอบ่ายๆของวันเสาร์ที่ 12 ก็ขายได้เรียบร้อยดี แต่ปรากฏว่าปัญหาเกิดอีกตอนค่ำเพราะไม่มีที่เก็บของ ทั้งเฟอร์นิเจอร์เป็นโต๊ะ 2-3 ตัว ถังน้ำใบใหญ่สูงเทียมเอว กล่องโฟม รวมไปถึงน้ำขวด เครื่องดื่มกระป๋องเป็นแพ็คๆ ... ผมเองอยากจะดูปัญญาของ 2 หนุ่ม 2 สาวว่า จะทำยังไงได้บ้าง อุตส่าห์จ่ายค่าเช่าที่เขาแล้วหลายพันบาท จะมีการเตรียมตัวยังไงบ้าง ก็เลยหลบสายตาอยู่ใต้ปีกหมวกสานใบใหญ่อยู่เงียบๆ ขายปืน ฉีดน้ำล้าง ทำหน้าดุๆ ไปตามเรื่อง

ปรากฏว่าผิดคาดสำหรับผมครับ ... พวกคุณน้องแกเล่นด้นสดกันเลย ไม่มีที่เก็บ ไม่มีผ้าคลุม ไม่มีรถมาขนของกลับหลังเลิก 5 ทุ่มในแต่ละวัน ... แถมยังดันกลัว ไม่กล้ามาขอฝากผมอีก ... พยายามจะยัดอุปกรณ์และทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปฝากอยู่ใต้ผ้าใบคลุมอุปกรณ์ของ "น้องแมว" - สาวอวบกับสามีและครอบครัวอีกทีมหนึ่งที่เพิ่งได้ที่เช่าถัดไป 3-4 ร้าน (แต่ยังไม่มาวันเสาร์ บ้านนี้เธอจะเข้าพื้นที่วันอาทิตย์ที่ 13 เนื่องจากปีก่อนเคยมาขายแล้ว ทำให้เธอพอจะรู้ว่าวันที่ 12 จะเป็นแค่วันอุ่นเครื่องเท่านั้น)

ผมเดินเข้าเดินออก เล็งๆอยู่พักหนึ่งก็อดรนทนไม่ได้ ลำพังเฟอร์นิเจอร์หรือน้ำเปล่าเป็นขวดๆ ก็ช่างมันเถอะ แต่นี่มีทั้งเครื่องดื่มกระป๋องและเบียร์เป็นแพ็คๆ กลัวจะถูกฉกไปซะตอนกลางคืน หลังจาก 4 คนกลับไปแล้ว เพราะผ้าคลุมมันไม่ได้ช่วยให้ปลอดภัยอะไรเลย แค่เปิดผ้าคลุมขึ้นมาก็แบกเบียร์ไปได้สบายๆ ... ประกอบกับความโชคดีที่วันนั้น เป็นวันที่ 12 แรกที่ขายดีกว่าที่ผ่านมาหลายปีสำหรับผม ในร้านมีพื้นที่ว่างจากปืน 3 ลัง ทำให้ผมสามารถแบ่งพื้นที่ในร้านได้นิดหน่อย ... ขณะที่ 1 ในนั้นกำลังพยายามยัดลังโฟมเข้าไปใต้ผ้าคลุม ผมเดินเข้าไปเอามือสะกิดไหล่ชายหนุ่ม 1 ใน 2 แล้วกวักมือเรียกให้เดินตามเข้ามาในร้าน

"ผมมีที่ว่างตรงนี้นะ พอดีเคลียร์ปืนได้ 3 ลัง เอาของที่จะขายมาเก็บตรงนี้แล้วกัน วางไว้ข้างนอกมันไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ ... แล้วอย่าลืมเอาน้ำแข็งออกด้วย"

ชายหนุ่มออกปากขอบคุณแล้วรีบเดินไปสะกิดเพื่อนให้ขนเฉพาะของที่จะขายเอาเข้ามาในร้าน ส่วนเฟอร์นิเจอร์ก็ซุกๆไว้ข้างนอกด้วยกัน ... รอดไปวันนึง ก่อนที่จะไปตายเอาดาบหน้า ใจจริงผมก็กะจะลองของดูอีกสักวันว่า ถ้าพรุ่งนี้ผมหาเหตุไม่ให้ฝากวางแล้วพวกเขาจะทำยังไง (เพราะอยากให้พวกเขารู้จักคิดวางแผน เตรียมการให้พร้อมมากกว่านี้ คือตั้งแต่รู้แล้วว่าหาที่เช่าหน้าร้านได้ โดยร้านปิด ไม่มีไฟแสงสว่าง ไม่มีน้ำ ของเข้า-ของเก็บ จะทำยังไง มือสมัครเล่นร้านอื่นยังดูพร้อม ดูมืออาชีพมากกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นผ้าใบคลุม โซ่ล่ามของ รถเข็น เอารถมาเก็บของบางส่วนรอบดึกแล้วกลับมาลงใหม่ตอนเช้าหรืออื่นๆ)



ภาพของสินค้า-อุปกรณ์การขาย ที่เก็บไว้ข้ามคืน มีผ้าใบคลุม + สายรัดพลาสติก

... แต่ปรากฏว่าพวกเขาแก้ปัญหาได้ดีกว่านั้น โดยวันรุ่งขึ้น 1 ใน 2 หนุ่มเดินมาสวัสดีแต่เช้าและควักแบงก์มา 1 ใบยื่นให้ผม บอกว่า "เฮียครับ นี่เป็นน้ำใจค่าฝากของครับ"

ผมเลยได้แต่หัวเราะในใจกับการแก้ปัญหาโดยการ "เอาเงินยัดปาก" ของชายหนุ่มและอดลองของพวกเขาอีก ... ผ่านไปอีก 2 วัน 13-14 แนวรบด้านตะวันออกเหตุการณ์ปกติ เด็กๆเล่นน้ำ ขายปืนกันอุตลุต จนกระทั่งเช้าวันที่ 15 สงกรานต์วันสุดท้าย ขณะเตรียมสายยางน้ำอยู่หน้าร้านเพื่อต่อน้ำให้ "เจ๊ต่าย" ผมก็เห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งในสอง ยืนจับกลุ่มคุยกันกับคนแถวนี้ สีหน้าไม่ค่อยดี ถามไปถามมาได้ความว่า

... ทั้ง 4 เรียนอยู่ที่เดียวกัน แอนกับอาร์ท อยากลงทุนขายของสงกรานต์แต่หาที่ไม่ได้ เพื่อนหญิงของแอนเลยพาแฟนของเธอมาถามหาที่จนกระทั่งได้ในราคา 3000 บาท แต่คู่ที่หาที่ได้ไม่มีเงินเลยต้องเอาเงินของแอนกับอาร์ทออกไปก่อน และยังใช้เงินของทั้งคู่ซื้อของสำหรับขายอีก โดยเงินที่ได้แต่ละวันจะต้องแบ่งครึ่งทันที อาร์ทออกไปร่วม 7000 บาทแล้ว แต่ทุนยังไม่ได้เลยแถมเพื่อนเอาเงินไปอีก และทั้งคู่ยังไม่ค่อยช่วยขายของ หรือไปแบกของที่จะมาขายเพิ่มด้วย ทำให้แอนกับอาร์ทไม่ค่อยพอใจนักและยังคิดไม่ออกว่าจะยังไงต่อ

"อ้าวเหรอ แล้วตอนแรกคุยกันยังไงล่ะ แล้วจะเอาไงต่อ" ผมถามเรียบๆ

"ยังไม่รู้เลย เฮีย นี่โทรไปก็ไม่รับสาย" อาร์ทบอก

"แล้วถ้าคิดว่าไม่เวิร์คแล้วทำไมถึงปล่อยมาตั้ง 3 วันล่ะ จนนี่ก็วันสุดท้ายแล้ว" ผมถามพร้อมกับขมวดคิ้ว 

"ก็ตอนแรกไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้" แอนตอบปลงๆ หน้าแห้ง

"ก็เอาอย่างนี้นะ ลองคิดก่อนว่าเราขายเอามันส์หรือขายเอาเงิน ถ้ามองว่าขายเอามันส์ กำไร-ขาดทุนนิดหน่อยก็ช่างมัน เพื่อนกันมานี่นา ถูกไหม ... แต่ถ้าคิดจะขายเอาเงินก็น่าจะเป็นอีกอย่างหนึ่ง คงต้องคุยกันใหม่ วันนี้วันสุดท้ายช้าไปหน่อย แต่ก็ยังดี" ผมให้ไอเดียในเบื้องต้น

"ต้องทำไงครับ" อาร์ทถาม

"พอดีร้านข้างๆน่ะ เขาปิดวันนี้ ป้ายเขาก็ติดไว้หน้าร้าน เราลองไปดูได้ นั่นหมายความว่าเรามีพื้นที่ว่างสำหรับอีก 1 ร้าน ทีนี้พอเพื่อนเรามาก็ลองคุยกับเขาดูว่า เราขายของไม่ได้เงินแต่เพื่อนได้เงิน ขณะที่ลงทุนไปใช้เงินเราคนเดียว โดยเพื่อนอ้างว่าไม่มีเงิน วันนี้เราไม่อยากให้เป็นแบบนี้แล้ว คิดว่าคงต้องเคลียร์เรื่องเงินกันก่อน สำหรับค่าของ+ค่าเช่าที่ ที่เราจ่ายไป จะเคลียร์ยังไงที่เพื่อนตกลง เราลองคิดไว้ 2-3 ทางให้เลือก ถ้าตกลงกันไม่ได้ ทางสุดท้ายก็ต้องเลิกขาย ไม่งั้นอาจจะเข้าเนื้อเรามากกว่านี้ แบ่งของกลับบ้าน ไม่ขายแล้ว จบ ... มันเป็นเรื่องธุรกิจ เข้าใจไหม เพราะเราตัดสินใจว่าไม่ได้ขายเอามันส์ ... หุ้นส่วนกัน ทำธุรกิจด้วยกัน ถ้ามาถึงจุดหนึ่งที่ไปต่อไม่ได้ ก็ต้องเลิก ... มันเป็นคอร์สบริหารธุรกิจระดับปริญญาโทเลยนะเนี่ย มหาวิทยาลัยถนนข้าวสารที่ไม่ต้องเสียค่าเทอมเป็นแสนๆ" ผมสรุปพร้อมยิ้มให้กำลังใจชายหนุ่ม

หลังจากนั้น ผมก็รอดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ จนกระทั่งทั้ง 4 คนมาเจอกันครบ ผมเดินไปเดินมาอยู่วงนอกไม่ไกลนัก กลัวมีการ "สาว" กันเกิดขึ้นแต่ก็ไม่มี เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดี พอตกบ่าย จังหวะคนเว้นช่วง ผมเดินไปตบบ่าอาร์ทแล้วถามไป "เป็นไง เพื่อนไม่อยู่แล้วเหรอ"

"ไปแล้วครับเฮีย คุยกันเมื่อเช้านี้ ก็แบ่งของกัน มันเอาเบียร์ไป 2 แพ็ค เหลือผมกับแอนแค่ 2 คน นี่มันยังติดเงินค่าที่+ค่าของ ส่วนที่ผมจ่ายไปแล้วอยู่เลย" อาร์ทตอบอัพเดทสถานการณ์ให้ฟัง

"งั้นผมถามข้อนึง ไม่มีเพื่อนช่วยขายแล้วตอนนี้เทียบกับตอนที่มีเพื่อนขายอยู่ด้วย อันไหนดีกว่า" ผมพยักหน้าถามไป

"ตอนนี้ดีกว่าเยอะเลยค่ะ เฮีย" สาวแอนตอบพร้อมยิ้มกว้างอย่างสบายใจ

"ดีแล้ว ขายของได้เงินก็ดีแล้ว" ผมยิ้มตอบพร้อมกับตบบ่าอาร์ท ก่อนกลับไปที่ร้าน ... ทั้งคู่มาเก็บของที่ฝากไว้ในเช้าวันที่ 16 ก่อนเที่ยง ทั้งเฟอร์นิเจอร์ ลังโฟม น้ำอัดลมกระป๋องที่ยังไม่ได้ขาย ส่วนโต๊ะพับขาเชื่อมตัวนั้น อาร์ทออกปากให้ผมในคืนวันที่ 15 ตอนเก็บร้านยามค่ำก่อนไปเล่นน้ำกับแฟนสาวในถนนข้าวสาร "ผมไม่ได้ใช้แล้ว เฮียเอาไว้ไหม"

ผมยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ ก่อนจะให้ต่อไปยังลุงภารโรงเก่าหลังวัดในวันรุ่งขึ้น ลุงเกษียณนานแล้วเดินกระย่องกระแย่งมาหิ้วโต๊ะพับไปด้วยตัวเอง สีหน้ายิ้มแย้ม โชคดีมันไม่หนักเท่าไหร่ ลุงเลยหิ้วไปไหว
หลังเลิกสงกรานต์ สุดสัปดาห์นั้นตอนค่ำ ผมไปเดินเล่นเห็นหนุ่มอาร์ทสาละวนตักน้ำหวานหลากสีใส่แก้วขายให้ลูกค้าอยู่ท่ามกลางแผงขายของในตลาดมืดคลองหลอด หน้าตายิ้มแย้มทักทายลูกค้า บ่งบอกความเป็นพ่อค้าธรรมชาติ ถามไปได้ความว่าแอน-แฟนสาวติดทำรายงานเลยไม่ได้มาช่วย ทำให้เขาต้องขายคนเดียววันนี้ ... ผมมองชายหนุ่มและจากมา หวังว่า ... ทางเดินของเขาคงไปได้สวย

******************************

ส่วนอีกคู่หนึ่ง คู่สาวทอม-ดี้ จากตลาดมืดคลองหลอดใกล้บ้านที่เดียวกัน ดูเหมือนว่าวัยจะแตกต่างกันกับคู่แรก ทอมบอยคนนั้นนั่งขายของอยู่ใต้แสงไฟสว่าง ณ กลางเดือนมีนาคม ต้นปีก่อนสงกรานต์

"พี่จำหนูได้ป่ะ" สาวทอมทักขึ้น หลังจากผมชำเลืองหางตาเห็นหน้าแม่ค้าคุ้นๆ ... ใช่ครับ เธอเคยมาขายของสงกรานต์ปีที่แล้ว หน้าร้านใกล้ๆกัน

"จำได้ ... เดี๋ยวสงกรานต์นี้ก็เจอกันอีกมั้ง" ผมยิ้ม พยักหน้าให้

"ไป ... พี่ ... เดี๋ยวหนูคงไปขายแป้งแถวนั้นแหละ" เธอตอบ โดยไม่ถามถึงเรื่องเช่าที่อะไรมากมาย
ถูกแล้วครับ เธอเป็นมืออาชีพที่เอาตัวรอดได้ จากที่เคยคุยกันตอนสงกรานต์ปีก่อน จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเธอเรียนจบแล้ว แต่หางานอยู่นาน โชคชะตาพาไปยังไงไม่รู้ ดูเหมือนว่าเธอจะมีอาชีพขายของในตลาดมืดคลองหลอด สินค้าจำพวกเครื่องมือ-อุปกรณ์สื่อสาร ส่วนกลางวันเธอทำอะไรที่ไหน ผมไม่ละลาบละล้วงถาม

จนวันที่ 12 ทอมบอยพาแฟนสาวถักผมเปียสองข้างมาทักทายผมที่หน้าร้าน

"มาหรือยัง มีที่ลงตรงไหนล่ะ" ผมถามเธอไป หลังยกมือรับสวัสดี

"อ๋อ เดี๋ยวพรุ่งนี้หนูคงเอาโต๊ะพับมาตัวเดียวแหละกับแป้งดินสอพอง ตั้งตรงถนนหัวมุมทางออกหน้าร้านอาหารอินเดียนั่น เหมือนปีที่แล้ว แค่นั้นเอง" ทอมบอยบอกเล่าพร้อมยิ้มและจูงมือแฟนสาว "แต่เดี๋ยววันนี้ ไปเล่นน้ำก่อน"

วันรุ่งขึ้นเธอก็มา ตามเวลาตอนบ่าย หลังจากถนนปิด รถเข้าไม่ได้แล้ว แผงแม่ค้าขายของแทบทุกร้านจะยกจากฟุตบาทลงบนถนน (ยกเว้นร้านของผม เพราะถนนหน้าร้านเป็นแอ่งน้ำขัง ไม่เหมาะนัก ทำให้ปีนี้ผมขายปืนอยู่บนฟุตบาทหน้าร้านอย่างเดียว)

แอนเล่าให้ฟังว่า "เฮียรู้ไหม พี่เขามืออาชีพมากเลย เขาบอกว่ามาขายแป้งที่นี่ง่ายๆ ไม่ต้องลงทุนอะไรมาก แค่ซื้อแป้งดินสอพองถุงใหญ่มาแบ่งเป็นถุงเล็ก ถุงละ 5-10 บาท มัดๆไว้ ถังน้ำก็ยืมเอาของเฮียนี่แหละ เพราะซื้อน้ำร้านเฮียอยู่แล้ว ส่วนขันใส่แป้งก็ไม่ต้องซื้อ เพราะเดี๋ยวเดินเก็บๆเอาตรงหน้าทางเข้าถนนข้าวสารที่มีตำรวจตรวจอยู่ ก็เอามาขายได้ แค่นี้ก็ได้เงิน"

ผมยิ้มและพยักหน้า ถูกแล้ว แต่ละคนก็มีวิธีการที่แตกต่างกัน แล้วแต่ใครจะมีต้นทุนเท่าไหร่ มากหรือน้อย หัวการค้า พลิกแพลง จะขายเอามันส์หรือจะขายเอาเงิน แต่ปีนี้สาวทอมเกือบตกม้าตายในท้ายงานสงกรานต์ ผมอยู่ห่างเกินกว่าจะได้ยิน แต่ไม่ไกลเกินกว่าจะได้เห็น แฟนสาวของเธอเดินกึ่งวิ่งก่อนที่ทอมบอยจะตามมาติดๆ และเกิดการยื้อยุดกันพักใหญ่ อาจเป็นได้ว่าสาวน้อยหึงทอมจากลูกค้าสาวสวย หรือทอมหึงสาวน้อยจากหนุ่มๆที่มาปะแป้งเธอ หรือ ... ( งง Smiley ) ... มีการต่อว่าต่อขานออกเสียงกันนิดหน่อย กว่า 10 นาที ทอมบอยจูงมือเธอเดินกลับไปที่โต๊ะขายดินสอพอง ก่อนที่สถานการณ์จะสงบและ "เอาอยู่" ... ผมยิ้มอยู่ในใจกับความนิ่งของเธอ ... คืนสุดท้ายทอมบอยเอาถังมาคืนและกล่าวขอบคุณพร้อมกับพาสาวน้อยไปฉลองต่อในถนนข้าวสาร ... ไม่รู้ว่าปีหน้าจะยังคงมาขายดินสอพองอยู่เหมือนเดิมอีกไหม

******************************

"เฮียขา เฮียขายน้ำด้วยไหมคะ" สาวหมวยหน้าแป้นแล้น ผมสั้นแค่คอเดินยิ้มเข้ามาถาม ขณะที่ผมเติมน้ำให้ลูกค้าต่างชาติเสร็จ ปีนี้แก๊งค์อาตี๋อาหมวยเยอะกว่าทุกปีครับ

"ก็เติมได้อยู่ ข้างๆนี่ก็มีเติมอยู่หลายเจ้าเหมือนกัน แต่สายยางผมถึงแค่หน้าร้านเองนะ" ผมพยักหน้าตอบไป

"ไม่เป็นไรค่ะ หนูอยู่ฝั่งโน้น ร้านอยู่เยื้องกันไป เดี๋ยวค่อยๆเข็นไปได้" หมวยสาวตอบ

"เดี๋ยวผมเติมพร่องถังไว้หน่อยแล้วกัน จะได้ไม่หนักตอนลากไป เสร็จแล้วค่อยมาเติมอีกครึ่งหนึ่ง" ผมเสริมให้ เพราะเห็นวันนั้นเธอเดินมาคนเดียว ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะมีสลับหน้ากันมาอีก 1 หนุ่มและ 2 สาวรวมเป็น 4 คน บางทีเธอก็จะเต๊าะพ่อค้าหนุ่มข้างๆบ้าง วัยรุ่นที่มาเดินเล่นน้ำแถวนั้นบ้างให้ช่วยลากถังไปให้ ระหว่างรอน้ำเต็มถัง เธอบอกว่ามาจากบางกะปิ

"มาไกลนะ แถวนั้นมีคนเล่นน้ำไหม แถวรามน่าจะคนเยอะ" ผมถามชวนคุยไป

"แถวนั้นก็มีเล่นเหมือนกันค่ะ เฮีย แต่คนไม่เยอะเหมือนข้าวสารนี่ หนูว่ามันเป็นทางผ่านมากกว่า ไม่เหมือนข้าวสารนี่ที่ปิดถนน แล้วก็คนเยอะกว่า"

วันสุดท้าย อังคารที่ 15 เมษาตอนประมาณ 1 ทุ่ม เสียงจากพ่อค้าหน้าร้านหนังสือตะโกนเชียร์ลูกค้าอยู่พักใหญ่ๆ "เลหลังแล้วพี่น้อง หมดแล้วหมดเลย กระบอกใหญ่-ขายถูก กระบอกสุดท้าย ราคาพิเศษ ราคานี้ไม่มีอีกแล้ว ขายเอามันส์ ไม่ได้ขายเอาเงิน" ก่อนที่แก๊งค์หนุ่มสาววัยรุ่น 4 คนจากไหนไม่รู้เข้ามาซื้อไปพร้อมกับขอซื้อปืนกระบอกใช้แล้ว ที่สะพายไหล่ของพ่อค้าไปด้วย พ่อค้าเลยตกลงให้ไปในราคาทุน พร้อมกับตะโกนบอกตัวเองดังลั่น "หมดแล้วโว้ย 5555" ก่อนจะเก็บราวเหล็กแขวนปืนและเปลี่ยนเอาสายยางต่อลงถังน้ำให้ล้างหน้าบ้าง เติมปืนบ้าง ฉีดเล่นบ้าง เก็บตังค์บ้าง ฟรีบ้างแล้วแต่อารมณ์

"เฮียจะเก็บร้านกี่โมงคะ" สาวหมวยมาเลียบๆเคียงๆถาม พร้อมกับถังน้ำสูงท่วมเอวใบเดิม

ผมดันหมวกใบโตขึ้น ก่อนจะหันหลังมองนาฬิกาในร้านและพยักหน้าบอกเธอ "สี่ทุ่มแล้วกัน"

"งั้นเดี๋ยวหนูขอน้ำอีกถังนึงแล้วกันนะคะ น่าจะพอ ... เดี๋ยวหนูมาเอา" เธอบอกก่อนจ่ายค่าน้ำแล้วข้ามถนนไป

หลัง 5 ทุ่ม หมวยสาวเธอมากับเพื่อนอีกคน ช่วยกันหิ้วโต๊ะพับไซส์ใหญ่มา 1 ตัว วางไว้หน้าร้าน "เฮียคะ พอดีหนูจะกลับแล้ว แต่โต๊ะพับตัวนี้มันใหญ่ ใส่หลังรถไม่ได้ หนูขอฝากไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้สายๆหนูค่อยมาเอากลับไป"

"ได้สิ เอาไปแอบไว้ด้านนั้นแล้วกัน" ผมพยักหน้าแล้วชี้มือไปด้านซ้ายมือติดชั้นหนังสือ ก่อนที่เธอจะขอบคุณและช่วยกันยกโต๊ะเข้าไป ... วันรุ่งขึ้นตอนสายๆ 2 สาวก็มารับของก่อนจะข้ามฝั่งไปโบกเรียกตุ๊กๆและยกโต๊ะขึ้นรถจากไป ท่าทางพวกเธอช่วยกันดี เป็นทีมเวอร์คที่น่าจะช่วยกันได้โดยไม่กินแรงเพื่อนให้เหนื่อย คิดว่าปีหน้าก็น่าจะเจอกันอีก

******************************
"หวัดดีค่ะ เฮีย ... เดี๋ยวอ๋อยขอฝากโต๊ะไว้ตัวนึงก่อนนะคะ" พี่อ๋อย แม่ค้าข้าวโพดคลุกจากเมืองนนท์กล่าวทักทาย ก่อนที่สามีของเธอจะหิ้วโต๊ะเข้ามาในร้าน ... ใช่ครับ มันเป็นโต๊ะตัวเดิมกับที่ทั้งคู่ใช้เมื่อปีที่แล้ว ลักษณะพิเศษของมันคือสามารถพับและหดเป็นกระเป๋าหิ้วได้สะดวก

"ผอมลงกว่าปีก่อนนะ แล้วตกลงไม่ได้ไปมาเลย์เหรอ" ผมยิ้มทักทาย แล้วถามไป

เรารู้จักกันปีก่อนตอนสงกรานต์ เพราะทั้งคู่มาขายข้าวโพดคลุกเนยอยู่ที่หน้าร้านรองเท้า ตอนที่เพื่อนบ้านผมปิดร้านไปนิวซีแลนด์ แล้วต้องใช้น้ำสะอาดกับพ่วงไฟจากร้านหนังสือสำหรับเตาแก๊ซต้มข้าวโพด ... สามีของเธอเคยทำงานอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้ แต่พี่อ๋อยเคยเป็นผู้จัดการร้านซักแห้งใหญ่มาหลายปี ก่อนที่จะปิดกิจการไป ก็หาอะไรทำก๊อกแก๊กไปตามเรื่อง แต่ทั้งคู่ดูเหมือนจะมาลงตัวที่การขายข้าวโพดคลุกเนย ลูกชายตัวเล็กที่พามาด้วยปีก่อน มาเล่นน้ำได้วันนึงก็ไม่มาอีก เด็กน้อยอาจจะไม่คุ้นกับคนเยอะๆที่มาเล่นสงกรานต์ตะลุมบอนกัน ตอนค่ำหลังขายข้าวโพดเสร็จ ทั้งคู่จะซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับบ้านที่นนท์ หลังเลิกสงกรานต์ พี่อ๋อยทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ บอกว่า "เฮีย ถ้าเฮียมีงานประจำอะไรให้ทำก็ติดต่ออ๋อยได้เลยนะ"

ผมได้แต่พยักหน้าและรับเบอร์โทรศัพท์ไว้ ก่อนที่อยู่ๆทั้งคู่จะโผล่มาหาผมที่ร้านหนังสืออีกทีตอนปลายปี

"เฮีย เดี๋ยวเฮียช่วยคุยโทรศัพท์ให้หน่อยสิ อีกสักชั่วโมงนึงเขาจะโทรมา เขาเป็นคนต่างชาติพูดภาษาอังกฤษน่ะ" พี่อ๋อยบอกผม

"เรื่องอะไรเหรอ" ผมขมวดคิ้วถามอย่างแปลกใจ หลังจากทักทายกันเรียบร้อย

"คืองี้ เฮีย ... พอดีอ๋อยฟังภาษาอังกฤษไม่ค่อยรู้เรื่อง คนพูดน่ะ อ๋อยพอคุ้นๆชื่อว่าเขาเป็นเพื่อนของเจ้านายเก่าที่บริษัทที่อ๋อยเคยทำงานอยู่ แล้วเขาจะโทรมานัดให้ไปที่ตึกที่สุขุมวิท ซึ่งน่าจะเป็นบริษัทเก่า ให้คุยกับพี่คนไทยอีกคนนึง แต่อ๋อยไม่แน่ใจเลยจะมาให้เฮียช่วยคุยให้หน่อย" พี่อ๋อยเล่ายาวถึงวัตถุประสงค์ของเธอ

"หึหึ สำเนียงมาเลย์ ทางไกลเสียด้วย ... จะไหวไหมเนี่ย" ผมบอกตัวเองก่อนจะพยักกหน้าตกลงและรอโทรศัพท์ จนกระทั่งเสียงกริ่งโทรศัพท์ของพี่อ๋อยดังขึ้น ผมรับสายและซักถามไป เกือบ 10 นาที ได้ความว่า ...

เธอเป็นคนมาเลย์ เพื่อนของเจ้านายเก่าของพี่อ๋อย เธอได้เบอร์โทรศัพท์ของพี่อ๋อยมาจากคนเก่าที่บริษัท ก็เลยโทรมา พอดีเธอต้องการคนทำงานบ้านที่มาเลเซีย กินอยู่ที่บ้านเธอพร้อมกับได้เงินเดือน หน้าที่ก็ประมาณซักรีด ทำความสะอาดบ้าน ดูแลลูก 2 คน ถ้าพี่อ๋อยตกลงก็จะได้ให้ไปติดต่อกับคนที่บริษัทเก่าคนหนึ่ง เขาจะติดต่อเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ ถ้าไม่สะดวกเรื่องค่าเดินทาง ก็ไม่เป็นไร เธอพร้อมจะช่วยเหลือในส่วนนั้น ถ้าไปแล้วลองทำดูสัก 2 สัปดาห์ ถ้าไม่พอใจก็กลับได้ ... กรณีที่ต้องการตัดสินใจ เธอรอได้ไม่เกิน 3 วัน ให้โทรไปหาคนที่บริษัทเก่าซึ่งพี่อ๋อยจำได้ และมีเบอร์อยู่ ... ถ้าคุยรู้เรื่องกันวันนี้ ก็ไม่ต้องไปที่สุขุมวิทแล้ว

ผมจบการสนทนาและวางสายไป ก่อนจะถ่ายทอดข้อความทั้งหมดเป็นภาษาไทยให้พี่อ๋อย เธอฟังแล้วก็นึกชื่อนึกหน้าตาออกสำหรับเพื่อนเจ้านายเก่าคนนี้ ไม่ได้ทำงานด้วยกันโดยตรงหรือสนิทนัก หลังจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของเธอในการตัดสินใจว่าจะเซย์ "เยส" หรือ "โน"

แยกกันแล้ววันั้น พี่อ๋อยก็ไม่ได้ติดต่อมาอัพเดทอะไรกับผมอีก จนกระทั่งวันที่มาฝากโต๊ะพับตัวนี้ก่อนสงกรานต์ ผมถึงได้รู้ว่าเธอไม่ได้ไปมาเลเซีย

"ไม่อ่ะ เฮีย พอดีไปถามคนรู้จักที่เป็นข้าราชการทหาร เป็นนายพันอยู่คนนึงที่นับถือกันอยู่ เขาบอกว่าอย่าดีกว่า มันเสี่ยง อาจเป็นพวกที่หลอกคนไทยไปขายแรงงานก็ได้" พี่อ๋อยว่า "พูดกับเขาก็ไม่รู้เรื่อง เงินก็ไม่มี ถ้ามีปัญหาขึ้นมาจะทำยังไง ก็เลยไม่เอาดีกว่า"

"แล้วปีนี้เขามีงานวันไหนเหรอ เฮีย" พี่อ๋อยถามต่อ กลับมาที่ปัจจุบัน

"เสาร์ 12 นะ ปกติจะขายนิดๆหน่อยๆ ตอนบ่ายๆเย็นๆ แต่พอดีปีนี้เป็นวันเสาร์ แถมเวทีก็อยู่ด้านบัดดี้โน้น ทำให้ทางนี้เปิดโล่ง ผมเดาว่าน่าจะขายของได้ดีกว่าปีก่อนๆ แต่จะถึงกับ 100% เต็มเหมือนวันที่ 13-14-15 หรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ" ... ผมประเมินสถานการณ์ถูกครับ เทียบกับปีก่อนๆ เสาร์ 12 ปีนี้ขายดีกว่ากัน 2 เท่า

"งั้น เดี๋ยววันที่ 12 อ๋อยเอาของมาเลยดีกว่า" พอวันจริงเธอมาพร้อมกับสามี และข้าวโพดแกะเม็ดแล้วอีก 4-5 ถุงใหญ่ ก่อนจะพบว่าข้างร้านซ้าย-ขวา วางของไม่ได้ เพราะมีคนเช่าหน้าร้านไปแล้วทั้ง 2 ข้าง โดยเธอไม่สามารถไปขอแทรกได้ ... แน่นอน ค่าเช่า 3000 กับ 6000 บาท เป็นต้นทุนที่ทำให้อะไรๆก็ยากเกินจะทน น้ำใจที่พอจะเหลือเผื่อกันบ้างนิดๆหน่อยๆ ก็เลยเหือดหายไป

จริงๆแล้ว พอถนนปิด ก็เป็นการชิงจังหวะกันของพ่อค้าแม่ค้าเร่ทั้งหลายนั่นแหละ ที่จะขยับร้านจากบนทางเดินลงไปบนถนน เพียงแต่หน้าร้านของใคร ก็มักจะให้เกียรติเจ้าของร้านก่อน ส่วนขาจรก็ต้องรอขอเสียบข้างๆบ้าง เบียดๆกันนิดๆหน่อยๆพอได้อยู่ พอดีดูเหมือนพี่อ๋อยจะมีข้อจำกัดที่จะต้องพ่วงสายไฟจากร้านหนังสือ ทำให้เธอจำเป็นต้องรอจนถนนปิดในบ่ายวันอาทิตย์ที่ 13 หม้อต้มข้าวโพดจึงจะได้ขายเป็นเรื่องเป็นราว ด้านซ้าย-ติดกันกับราวเหล็กแขวนปืนหน้าร้าน ห่างกันเพียงพี่อ๋อยอยู่บนถนน ส่วนที่รถวิ่งแต่ปิดไปแล้ว ส่วนราวแขวนปืนจะอยู่บนทางเดินและแน่นอน เพื่อเลี่ยงการแช่ลงไปบนแอ่งน้ำขังบริเวณนั้นด้วย

ถัดมาในวันจันทร์ที่ 14 พี่อ๋อยกับสามีมาบ่าย เนื่องจากติดบังสุกุลกระดูกบรรพบุรุษ ทำให้โดนแย่งที่จากรถเข็นของพ่อค้าลูกชิ้นปิ้งที่มารอตั้งแต่ก่อนเที่ยง พี่อ๋อยจึงจำเป็นต้องขยับมาที่ด้านขวา หน้ากระถางนางกวักกับต้นไผ่ที่วางติดกัน ... เธอขายของจนหมดและเก็บของกลับ เพราะวันสุดท้ายที่ 15 สามีเธอบอกว่าน่าจะไม่มาแล้ว สรุปแล้วแม่ค้าข้าวโพดคลุกเนยได้ขายของประมาณ 1 วันครึ่งสำหรับสงกรานต์ปีนี้ ค่าไฟปีนี้ผมก็บอกไปว่าไม่คิดเหมือนปีก่อน แต่ดูเหมือนความเกรงใจจะทำให้เธอยัดแบงก์ใส่มือผมมา 2 ใบ

... มองดูและถามในใจว่าเหนื่อยไหม ... ผมก็ว่าน่าจะเหนื่อย ... แต่จะให้ทำยังไงดีล่ะ แต่ละคนย่อมมีทางเดินชีวิตของตัวเอง และแน่นอน เมื่อออกเดินแล้ว ก็มีแต่ต้องสู้กันต่อไป

... ต่างกันกับ 4 สาวเฟรชชี่อีกกลุ่มหนึ่ง จากรั้วมหาวิทยาลัยกลางกรุงที่เดินพะรุงพะรังหิ้วถุงปืนฉีดน้ำชนิดสะพายหลัง 10 ว่าอัน มายืนมึนกับตัวเองอยู่หน้าร้านอาหารอินเดียตอนสาย เรื่องเป็นยังไง ผมจะเล่าให้ฟัง ตามมาครับ

... แต่ขอเก็บไว้เป็น สัปดาห์หน้าดีกว่าครับ เดี๋ยวจะเบื่อซะก่อน

สวัสดีครับ
เจตตจัน
02-2820358
085-8035412
087-0719858
jettajan227@yahoo.com

ปล. มาเก็บตกภาพบรรยากาศสงกรานต์ 57 กันครับ



"รถปลดทุกข์" ของไทยรัฐทีวี จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกัน



เช้าวันอาทิตย์ที่ 13 นักข่าวเริ่มออกทำงานกัน



นักข่าวสาวกับช่างภาพเก็บภาพหน้าพื้นที่





ขบวนรถบุปผชาติวิ่งเรียกสายตาช่างภาพแต่เช้า



รถกิจกรรมของ "Est" เรียกแขกตามมาติดๆ



สาวเกาหลีในลุคที่โดดเด้งออกมาจากคนไทยที่มาเล่นสงกรานต์ทั่วไป



คุณตำรวจที่ตรวจตราความเรียบร้อยอยู่หน้าทางเข้า ตอนเช้าที่เพิ่งเริ่มเล่นกัน



นักท่องเที่ยวชาวจีนที่ทยอยมาเป็นลูกค้าร้านปืนฉีดน้ำ



1 ในดรามา 57 ปีนี้



ดูผ่านๆก็จะเป็นนักท่องเที่ยวสาวเก็บภาพบรรยากาศ แต่ถ้าดูดีๆก็จะเห็น 1 ในดรามา 57 ปีนี้เช่นกัน



3 เจนเนอเรชันในภาพก็มาสนุกกับสงกรานต์ข้าวสารเหมือนกัน



สุดท้ายกับหนุ่มผมทอง นักข่าวจากเคเบิ้ลช่องใดช่องหนึ่ง ที่เข้าไปสัมภาษณ์ฝรั่งสาว 3 คนกับ
ชุดท็อปบิกินี ที่เข้ากับ "Water War" ในข้าวสารจริงๆ SmileySmileySmiley



Create Date : 27 เมษายน 2557
Last Update : 27 เมษายน 2557 11:41:13 น. 0 comments
Counter : 2479 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.