Group Blog
 
<<
มีนาคม 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 มีนาคม 2557
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน เสี้ยวหนึ่งของการเดินทาง

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ครับ ได้กินอิ่ม นอนหลับ ครบ 32 ยังเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้และมีเวลามาเขียนบล็อกเล่าเรื่องราวเรื่อยเปื่อย จากร้านหนังสือไกด์บุ๊คเล็กๆในถนนข้าวสารมาให้ได้อ่านกันอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ตอนนี้ก็เข้าช่วงปลายของไฮซีซันเข้ามาเต็มแก่แล้ว เพราะปกติ หลังสงกรานต์ ลูกค้าฝรั่งจะหายเกลี้ยง แถมตอนนี้ก็เริ่มเห็นฝรั่งยุโรปเดินใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นกันบ้างแล้ว ไม่ว่าชายหรือหญิง อย่างปกติผู้ชายก็จะเดินถอดเสื้อ ใส่กางเกงยีนส์ขาสั้น ลากรองเท้าแตะ โชว์ขนหน้าอกบ้าง ซิกแพ็กบ้าง ส่วนผู้หญิงก็ไม่น้อยหน้ากัน เพราะตอนนี้แฟชันกางเกงไมโครแพนท์ สั้นกว่าคืบ หรือที่ด้านหลังเว้าขึ้นมาเห็นแก้ม ก็สามารถเห็นได้ทุกวันตามอย่างในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือแฟชันต่างประเทศ โดยไม่ต้องยากลำบากไปไหนไกลเลย (เรียกว่า ข้างหน้าสั้นเสมอหู ส่วนข้างหลังสูงกว่าหูขึ้นไปแล้ว) ... ยังดีหน่อยที่ยังไม่เห็นสาวไทยปกติใส่กันนะครับ เว้นไว้สำหรับสก๊อยบางท่าน หรือไทยเลดี้บอยบางคนเท่านั้น ที่มักจะปรากฏตัวยามวิกาลหรือค่อนรุ่ง ตามภาระหน้าที่ของตัวเอง

เดือนก่อนนี้ ผมเพิ่งได้บอกลากับเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ไป 1 เครื่อง ด้วยความที่มันหมดอายุตามสภาพ ทั้งมอเตอร์ ทั้งสายพาน อันเนื่องมาจากอายุ 18 ปี และไม่มีอะไหล่แล้ว ทำให้เครื่องซักผ้าจากเยอรมันเครื่องนั้นจำเป็นต้องถูกปลดระวาง แต่ก็ยังอุตส่าห์ให้ความรู้เป็นประโยชน์กับผมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจากกันไป เพราะอะไร ผมจะเล่าให้ฟัง

คือหลังจากที่ช่างซ่อมจากศูนย์บริการกลับไปพร้อมกับส่ายหน้าบอกว่า "ซื้อใหม่เหอะพี่ อะไหล่เครื่องรุ่นนี้ไม่มีแล้ว" ผมก็เริ่มหาที่ซ่อมด้วยตัวเอง เบอร์โทรศัพท์ตามอินเตอร์เน็ตถูกโทรเข้าไปเช็คหลายเบอร์ จนสามารถสรุปได้ข้อเท็จจริงว่า "ไม่มีใครมาซ่อมให้ที่บ้านแน่นอน เครื่องซักผ้าหนักขนาดนั้น เอาไปซ่อมเองคงไม่ไหว" ... เบอร์ต่อไปที่โทรหาจึงกลายเป็นการสั่งซื้อเครื่องใหม่จากศูนย์ พร้อมกับหาคนมาเอาเครื่องเก่าออกไป ใจคิดกระหยิ่มยิ้มย่อง "เครื่องซักผ้าหนักขนาดนั้น ขายซาเล้งรับซื้อเศษเหล็ก ของเก่า คงได้หลายอยู่" ... แต่ปรากฏว่า ...

"เครื่องซักผ้าเครื่องเดียวเหรอ ไม่รับค่ะ ไม่คุ้มค่ารถ" ...

"มีเครื่องอื่นอีกไหม พอดีอยู่ต่างจังหวัด ไม่สะดวก" ...

ฯลฯ ... นั่นคือเสียงปลายสายจากพ่อค้า-แม่ค้ารับซื้อของเก่า ตามเบอร์ในอินเตอร์เน็ต

ผมเริ่มแก้เกมส์ โดยการคิดหาอย่างอื่นเป็นแรงดึงดูดพ่อค้า พร้อมกับคำถามที่เกิดขึ้นในใจว่า

"เครื่องซักผ้าหนักหลายสิบกิโล ทำไมไม่เอานะ แอร์เก่า-แอร์เสีย ยังรับซื้อกันเป็นพันเลย ไอ้นี่หนักกว่ากันตั้งเยอะ หรือขี้เกียจมายกเพราะมันหนักไป ... จะถึงขั้นต้องจ้างมาขนไปทิ้งไหมเนี่ย" ว่าแล้วผมก็นึกขึ้นมาได้ถึงแอร์เก่า 8000 บีทียูตัวเล็ก ที่ไม่ได้ใช้แล้วขึ้นมาได้ ... เอามาเป็นตัวช่วยน่าจะดี ...

"มีแอร์ด้วยหรือครับ ได้ๆ ขนาดไหนนะ อ๋อ แอร์ห้องนอนใช่ไหม 1000 นึงละกัน ส่วนเครื่องซักผ้าก็ 200 นะ โอเครวมแล้ว 1200 นะ วันเสาร์เจอกัน" ... เสียงปลายสายบอกมา ...

ด้วยความสงสัยขนาดหนัก เครื่องซักผ้ามันไม่ดีตรงไหน เคาะไปนี่เหล็กดังกังวาลเชียว หนักก็หนักกว่ากันตั้งเยอะ ผมเลยถามคนรับซื้อที่มาด้วยกัน 3 คนพร้อมกับพ่อแก่ "พี่ ทำไมมันถูกกว่ากันขนาดนั้นล่ะ แอร์มันเหล็กหนักทั้งตัวแค่คอยล์ร้อนข้างนอกเท่านั้นเอง"

"แอร์มันได้อยู่ ท่อทองแดงด้วย มอเตอร์ข้างในด้วย ถ้าแกะก็ได้เหล็กหลายโลอยู่ อะไหล่บางชิ้นก็อาจจะเอาไปขายร้านซ่อมได้ ... แต่เครื่องซักผ้านี่มันหนักหินถ่วงนะ ข้างล่างก้อนนึง ข้างบนก้อนนึง ต้องทุบทิ้ง ไม่ใช่เหล็ก ... มีแค่โครงเหล็กนิดหน่อย มอเตอร์เหล็ก ตัวโครงก็เบาไม่เท่าไหร่ ฝาแก้ว หินที่ถ่วงไว้ก็เพื่อไม่ให้มันสั่น แค่นั้นเอง ... " พ่อค้าอธิบาย ก่อนขนย้ายสิ่งของออกไป พร้อมกับให้ความกระจ่างถึงสาเหตุของราคาที่แตกต่างกัน ต้องขอบคุณเครื่องซักผ้าเก่าเครื่องนั้น ที่ทำให้ได้ความรู้ติดตัวไปในอนาคต เผื่อร้านหนังสือเก่าเจ๊ง ต้องไปรับซื้อของเก่า จะได้ไม่ไปรับซื้อเครื่องซักผ้าแพงกว่าแอร์ เพราะมันหนักหินถ่วง !!!

... นี่แหละหนา ที่เขาว่า ความรู้ เรียนได้ไม่มีวันหมด เฮ้ออออ ... SmileySmileySmiley

เดือนก่อนอีกเช่นกัน ที่ผมได้ความรู้ใหม่อีก 1 เรื่อง เพราะลูกค้าฝรั่งจากอังกฤษคนหนึ่งเข้ามานั่งคุยในร้านอยู่พักนึง รูปทรงดี สูงใหญ่ ถามไปถามมาภาษาไทยพูดได้ชัดเจน ความว่าเป็นนักฟุตบอลอยู่ในไทยพรีเมียร์ลีกที่มาหาซื้อทัวร์ไปต่อวีซ่าที่กัมพูชา โดยใช้วิธีนั่งรถตู้ออกแต่เช้าไปที่ด่านอรัญประเทศ แล้วก็ข้ามไปหน่อยนึง ก่อนจะข้ามกลับมาโดยได้แสตมป์ต่อให้อยู่เมืองไทยเพิ่มได้ คุยกันเป็นภาษาไทยได้เข้าใจกันดี เพราะชายหนุ่มบอกว่าอยู่มานานแล้ว

"ผมเป็นนักฟุตบอลที่นี่น่ะ เคยเตะให้หลายสโมสรแล้ว ทั้งราชประชา ทั้งสโมสรอื่นอีกหลายที่ บางที่ก็ได้เงินเดือนครบ บางที่ก็ได้ไม่ครบ โดนเบี้ยวบ้าง จ่ายช้าบ้าง แต่อยู่เมืองไทยสบายดี มีแฟนเป็นคนไทยก็หลายคนแล้ว บางคนก็เลิกไป บางคนก็ติดคุก" นักฟุตบอลที่มาขุดทองในเมืองไทยเล่าให้ฟัง

ผมทำคิ้วขมวดก่อนถามไปด้วยความสงสัย "อ้าว ทำไมงั้นล่ะ พวกหล่อนทำร้ายคุณเหรอ"

"เปล่าหรอก ผมเคยมาเปิดร้านขาย "ก๊าซหัวเราะ" ที่นี่น่ะ ตอนแรกๆก็ขายดีเลยนะ เช่าตึก 2-3 ชั้น ขายเครื่องดื่ม แล้วก็มีก๊าซขายด้วย ที่อังกฤษก็มี แต่อยู่ๆไปพักนึงปรากฏว่าตำรวจเกิดมาตรวจและปิดร้าน แฟนผมที่ให้เป็นคนดูแลอยู่ก็ถูกจับ ผมต้องเอาเงินไปประกันตัวออกมา ทำร้านใหม่ก็โดนอีก โดนไป 2 รอบ เสียเงินค่าประกันแฟนผมไปตั้งเยอะ จนป่านนี้ยังไม่ได้คืนเลย" ชายหนุ่มเล่าไปก็หัวเราะไป ท่าทางไม่ซีเรียสนัก

"หา ... มีด้วยเหรอ ขายยังไงน่ะ" ผมงง ถามต่อด้วยความสงสัย

"ผมเอาใส่ในลูกโป่งขายน่ะ" ชายหนุ่มอธิบาย

ผมหัวเราะตามพร้อมครางในลำคอ "อ๋อ ไนตรัสอ๊อกไซด์ ... ที่เขาเอาไว้ใช้เพิ่มอ๊อกซิเจนในเครื่องยนตร์ เหมือนพวกหนังรถแข่งฮอลลีวู้ด ใช่ไหม"

"ใช่ ตัวนั้นแหละ" ชายหนุ่มพยักหน้า

"ผมเคยเห็นข่าวลงหนังสือพิมพ์ว่า ตำรวจไล่จับอยู่แถวพัทยากับที่ข้าวสารนี่ แสดงว่าคุณก็โดนช่วงนั้นน่ะสิ" ผมคลับคล้ายคลับคลากับข่าวอาชญากรรมหรือยาเสพติด

"ใช่ๆ หลังจากนั้นผมก็เลยต้องหาทางทำมาหากินใหม่ ก็เตะฟุตบอลแทน สลับๆกันไป เดี๋ยวค่อยหาทางใหม่" ลูกค้าพยักหน้าพึมพำ

"ขอโทษนะ ... เอ้อ ... คุณได้เงินเดือนเท่าไหร่น่ะ ค่าเตะฟุตบอลที่สโมสรเขาจ่ายให้" ผมถามไปด้วยความอยากรู้

"ประมาณ 7 หมื่นบาท ... ก็โอเคนะ" ตัวเลขดังกล่าวหลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม

"ฮืมมมม ... " ผมพยักหน้า ครางในลำคอ ค่าตัวนักฟุตบอลต่างประเทศเฉียดๆแสนต่อเดือน ไม่เลวเลยสำหรับบ้านเรา มากกว่าเงินเดือนปริญญาตรี 15000 เป็นไหนๆ แถมค่ากินอยู่ก็ไม่แพงด้วย ... มิน่าล่ะ ถึงได้มีคนต่างชาติเข้ามาขุดทองกันมากมาย ก่อนนี้ก็เคยเห็นมีข่าวนักวิ่งอาชีพจากแอฟริกา ตัวดำๆมืดๆ จับกลุ่มกันมาเช่าบ้านอยู่ แล้วก็ลงแข่งวิ่งมาราธอนล่ารางวัลกันเป็นประจำ ซึ่งทั่วประเทศก็มีโปรแกรมแข่งวิ่งกันทั้งปีนั่นแหละ ... นัยว่าอยู่ที่บ้านก็ไม่มีงาน ไม่มีเงิน สู้มาหาช่องทางลงแข่ง หาเงินเลี้ยงตัวเองได้ มีค่าเช่าบ้าน มีกินมีอยู่ก็พอโอเค ...


ขอบคุณภาพข่าวจากจาก //www.komchadluek.net


ภาพวิธีการเสพย์ก๊าซจาก football.boxza.com ... เห็นบอกว่า ไคล์ วอล์คเกอร์ นักเตะของสเปอร์ก็โดนแชะภาพมาลงในเน็ต แม้ว่าที่อังกฤษจะไม่ผิดกฎหมาย ก็โดนตำหนิเหมือนกัน

ว่าไปแล้วก็ให้นึกไปถึงหญิงสาวต่างประเทศอีกคนที่เข้าร้านมาเมื่อวันก่อน ซึ่งครั้งแรกกับครั้งที่สองที่ได้เจอ ทำให้เห็นโลกอันโหดร้ายในอีกมุมหนึ่ง มุมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา ... ใช่ครับ บางสิ่ง ไม่สามารถมองได้ด้วยตา แต่จะเห็นได้ก็ด้วยใจเท่านั้น ...

"คุณรับซื้อหนังสือไหม" หญิงสาวเดินเข้ามาถาม ผมยาวเป็นกระเซิงกับผิวพรรณกระด้างเรียกสายตาของผม ให้แช่อยู่อึดใจใหญ่

"ขอผมดูหน่อยสิ คุณมีหนังสืออะไร เอามาด้วยหรือเปล่า" ผมถามกลับ

เธอพยักหน้า และหยิบโลนลีแพลนเน็ตดิสโคเวอร์ไทยแลนด์ของ 4 ปีก่อนกับหนังสืออื่นขึ้นมาอีกเล่ม ผมพลิกดูนิดหนึ่งก่อนบอกราคาไป หนังสือเก่า 2 เล่มนั้นคงต้องเก็บไว้ในชั้นอีกนาน กว่าจะมีลูกค้าหยิบมาดู

"ทำไมคุณให้ราคาแค่นั้นล่ะ คุณรู้ไหม ฉันซื้อมาตั้ง 20 กว่าเหรียญ ใช้มาตลอด 5 ปี มันก็ยังใช้ได้ดี" เธอหน้านิ่วคิ้วขมวด พึมพำตอบมา

"มันเก่าแล้ว และผมก็ยังมีสต็อกของใหม่อยู่อีกพอสมควร คุณจะแลกเป็นหนังสืออื่นไปอ่านไหมล่ะ" ผมตอบเบาๆ

"ไม่ล่ะ ฉันต้องการเงิน คุณเพิ่มอีกหน่อยไม่ได้เหรอ" เธอเริ่มงอแง ออกอาการ

"คุณลองถามร้านอื่นดูแล้วกัน บางทีเขาอาจรับซื้อแพงกว่านี้" ผมตอบ แต่ในใจบอกว่า "คงไม่มีร้านไหนรับหรอก เชื่อขนมกินได้"

เธอส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วออกจากร้านไป หายไปหลายวันจนผมคิดว่าเธอคงไปแล้ว จนเมื่อวานนี้เธอกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับกระเป๋าหิ้วใบเล็ก 2 ใบที่บรรจุหนังสือมาด้วย เกือบ 20 เล่ม

"ฉันมีหนังสือมาขาย คุณดูหน่อยนะ" เธอกล่าวพร้อมกับหยิบหนังสือวางลงบนโต๊ะทีละเล่ม สองเล่ม ผมทรงเดิม ผิวกร้านหน้าตาไม่สดใส ไร้แวว ... หนึ่งในกองที่หยิบออกมา มีของเดิมทั้ง 2 เล่มอยู่ด้วย ผมยิ้มกับตัวเองในใจ "เห็นไหม กรูบอกแล้ว ไม่มีใครซื้อหรอก" ... ในกองหนังสือนั้น ผมเลือกเอาดิสโคเวอร์ไทยแลนด์เล่มเดิมออกมา พร้อมกับราฟไกด์ "First Time Asia" ปีโคตรเก่า กับ เฟรสบุ๊คเฟรนช์-เวียตนามเล่มเล็กรวม 3 เล่มแยกออกมา

"ผมซื้อ 3 เล่มนี้นะ" ผมบอกเธอพร้อมบอกราคาไปด้วย

"ทำไมแค่นั้นเองล่ะ หนังสืออ่านพวกนี้ก็ดีนะ ของจอห์น กริชแฮม / จอห์น เออร์วิง ก็มีตั้งหลายเล่ม เล่มนั้นภาษาเยอรมัน ส่วนนี่ก็เดนมาร์ก" เธอขมวดคิ้วบอกชื่อคนเขียนหนังสืออีกหลายเล่ม พร้อมกับท่าทางผิดหวัง

"ผมมีหนังสืออ่านเยอะแล้ว" ผมส่ายหน้าตอบเบาๆ

"ดูสิ คุณเลือกแค่โลนลีแพลนเน็ตของแท้ไปแค่นั้นเอง แล้วก็ทิ้งพวกนี้ไว้ ทำไมไม่เลือกเพิ่มไปอีกล่ะแล้วก็เพิ่มเงินมาอีกหน่อย" เธอหน้านิ่วและตื๊อ ... จนผมตัดรำคาญโดยเลือกหนังสืออ่านภาษาเยอรมันกับเดนมาร์กมาอีก 2 เล่มและเพิ่มเงินให้อีก บอกราคารวมทั้งหมด 5 เล่ม "ผมเอาแค่นี้"

"แล้วหนังสือภาษาอังกฤษพวกนี้ไม่เอาหรือ" เธอตื๊ออีก

ผมขมวดคิ้ว เริ่มหงุดหงิดและตอบไปหนักๆ "ไม่ล่ะ เพราะว่าลูกค้าผมส่วนใหญ่ซื้อหนังสือท่องเที่ยวมากกว่า หนังสืออ่านภาษาอังกฤษที่ผมมี บางทีผมยังเอามาแถมเลย ซื้อ 1 แถม 1 น่ะ ไม่งั้นก็ลดราคาพิเศษ คุณเคยเห็นโปรโมชันที่ร้านไหม ... เพราะลูกค้าที่มาแถวข้าวสารนี้ ครึ่งนึงจะถามหาหนังสือก็อปปี้ ส่วนครึ่งหนึ่งของที่เหลือจะถามหาหนังสือมือสอง บนชั้นหนังสือมือสองของผม บางทียังมีฉบับเก่าค้างสต็อคที่ยังไม่ได้ใช้ปนอยู่ด้วยเลย แล้วทำไมผมถึงจะต้องซื้อหนังสือของคุณทั้งหมดด้วยล่ะ ... "

"หนังสือของคุณยังไม่เยอะเลยนี่ ฉันเห็นร้านอื่นมีมากกว่าอีก แล้วหน้าร้านของคุณก็ ... บลา บลา บลา ... " เธอขมวดคิ้วมองตาผม และกล่าวข้อคิดเห็นของเธอว่าควรปรับยังไงบ้าง

"ไม่เป็นไร อันนั้นเป็นเรื่องของผม เป็นธุรกิจของผม มันคงจะไม่ได้มีปัญหากับผมนักหรอก เอาว่า 5 เล่มนี้ราคาเท่านี้ คุณโอเคไหม หรือคุณจะไปลองเทียบราคาดูร้านอื่นก็ได้ ถ้าไม่มีที่ไหนให้ดีกว่านี้ก็กลับมา แต่ผมหมายถึงเฉพาะทั้ง 5 เล่มนี้นะ" ผมพยายามตัดบทอย่างสุภาพเต็มที่ เริ่มไม่อยากจะซื้อแล้ว ... ขณะที่ในใจบอกกับตนเองว่า "ถ้าเราเถื่อนหน่อย ไล่เธอออกไปเลยเหมือนในหนัง จะเป็นไงวะ"

"คุณเพิ่มให้ฉันอีกสัก 50 บาทได้ไหม แค่ไม่ถึง 2 เหรียญเอง" เธอเริ่มชะงักและกลับมาอยู่กับเหตุการณ์เฉพาะหน้า หลังจากที่ผมเบรกได้ผล

"หลังจากนี้ คุณจะไปไหนต่อ ... ผมหมายถึงคุณยังอยู่ในกรุงเทพ / เมืองไทยไหม หรือกำลังจะจบทริปกลับบ้านแล้ว" ผมถาม เปลี่ยนเรื่องพร้อมกับคิดราคาหนังสือในใจ ความจริงเพิ่มให้เธอ 50 บาทมันก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงหรอก แต่ผมเริ่มอยากรู้แล้วว่าทำไมเธอถึงตื๊อขนาดนี้ ผมไม่เคยเจอฝรั่งมาตื๊อขายหนังสืออาการหนักแบบเธอ ดูท่าทางเธอซีเรียสกว่าคนอื่น

"ฉันไม่รู้ ฉันมาจากกรีซ ฉันกลับไปไม่ได้หรอก ที่นั่นแย่มาก" เธอว่าพร้อมกับส่ายหน้า ผมฟูด้านสั่นกระเซิง

"แต่คุณก็ยังมีเงินอยู่ที่นี่ได้นี่ แล้วที่นั่นเขาอยู่กันยังไง" ผมขมวดคิ้ว

"ฉันไม่ใช่ "Tourist" นะ ฉันเป็น "Traveller" คุณเข้าใจไหม ฉันออกมาจากที่นั่นได้ 5 ปีแล้ว เพราะมันอยู่ไม่ได้ ต้องเดินทางไปเรื่อย ไม่มีที่จะกลับ ไม่รู้จะอีกนานแค่ไหน ... ฉันอยู่ยังไงเหรอ ฉันอยู่ห้องพักคืนละร้อยเดียว ไปนั่งฆ่าเวลาที่สวนสาธารณะ กินแครกเกอร์วันละ 2 ชิ้น พอวีซ่าหมดอายุ ฉันก็ต้องเดินทางไปต่อใหม่ที่ชายแดน ... ที่กรีซตอนนี้ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ไม่มีอนาคต พวกเขาต้องทำงาน 3 จ็อบเพื่อให้อยู่รอด หลายคนอดอยาก ไม่มีจะกิน บางคนก็ฆ่าตัวตาย" เธอตอบเสียงดัง อารมณ์แสดงออกทางสีหน้าชัดเจน แต่ไม่มีน้ำตาให้เห็น ... ถ้าเป็นจริง สถานการณ์การดิ้นรนขนาดนี้มันเลยเส้นลิมิตไปนานแล้ว น้ำตาไม่ได้ช่วยอะไร และดูเธอแกร่งเกินกว่าจะปล่อยมันออกมาให้ใครสักคนได้เห็นมัน

"ฮืมมมม ... ถ้างั้นทำไมคุณไม่หางานทำล่ะ ผมเห็นใครหลายคนที่เข้ามาทำงานในเมืองไทยนี้ บางคนทำงานบริษัทเป็นโปรแกรมเมอร์ อย่างน้อยก็ครูภาษาอังกฤษ เดือนก่อนผมยังเจอลูกค้าสาวคนนึงจากแอฟริกาใต้ เธอเป็นสาวผิวสี มาทำงานเป็นครูอาสาสมัครที่หมู่บ้านเด็กในเมืองกาญจน์ หรือก่อนนี้ก็มีสาวยุโรปที่มาสอนหนังสือในโรงเรียนบนภูเขาที่เชียงใหม่" ผมเริ่มคูลดาวน์ลง พร้อมกับลองเสนอแนะอะไรบางอย่าง ดูท่าสถานการณ์ของเธอจะหนักเอาการอยู่

"พวกเขาอยู่ยาวได้ไหม มีอาหาร-ที่พักให้หรือเปล่า" เธอถามและมองหน้าผมอย่างสนใจ

"ผมเข้าใจว่าทางโรงเรียนอาจจะเดินเรื่องให้ เรื่องวีซ่าทำงาน ส่วนอาหาร-ที่พัก-เงินเดือน ก็น่าจะต้องคุยกัน ถ้าไม่มากเกินไป เขาก็น่าจะจัดหาให้ หรือไม่งั้นพวกนี้บางทีอาจจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล หรือองค์กรการกุศลต่างประเทศอย่างยูนิเซฟ เวิลด์วิชันหรืออื่นๆ คุณน่าจะลองเช็คจากอินเตอร์เน็ตดู" ผมพยายามช่วยเท่าที่สามารถ

"อืมมม ... ฉันคุ้นๆว่าเคยรู้จักอาสาสมัครอยู่คนนึง ใช่ เธอได้วีซ่าอยู่เป็นปีเลย ... ต้องลองเช็คดู ... ส่วนที่คุณบอกเมื่อกี้นี้ที่กาญจนบุรี ... ชื่ออะไรนะ"

"หมู่บ้านเด็ก ... หมู่บ้าน ก็คือ วิลเลจ ... เด็ก ก็คือ คิดหรือไชลด์" ผมทวนให้เธอฟังอีกที

"หมู่บ้านเด็ก ... เดี๋ยวฉันจะลองเช็คดูอีกที" เธอว่า พร้อมพยักหน้ารับรู้

ผมยิ้มให้เธอ พร้อมกับหยิบเงินเพิ่มให้ไปอีกตามที่เธอขอ "ผมขอให้คุณโชคดีนะ"

"ขอบคุณ" เธอพยักหน้า แววตาอ่อนลง ก่อนจะเก็บหนังสือที่เหลือใส่กระเป๋าแล้วออกจากร้านไป ... บอกลาเธอครั้งนี้ เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมใช้คำว่า "โชคดี" และ ... ผมหมายความตามนั้นจริงๆ Smiley



ภาพการ์ตูนตลกร้ายที่สื่อความหมายได้ชัดเจน โดยไม่ต้องมีตัวหนังสือเลยสักตัว ... กับรัฐบาลกรีซที่ต้องรัดเข็มขัดประชาชนอย่างหนัก เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศให้อยู่รอดภายใต้สัญญาสนับสนุนเงินกู้จาก EU โดยนางอังเกลาร์ แมร์เคิลแห่งเยอรมันเป็นเสาหลักค้ำอยู่ 
(ภาพจาก ้https://athens.indymedia.org )

ราตรีสวัสดิ์ครับ

เจตตจัน
02-2820358
085-8035412
087-0719858



Create Date : 22 มีนาคม 2557
Last Update : 22 มีนาคม 2557 18:36:16 น. 2 comments
Counter : 2315 Pageviews.

 
กลับมาอ่านต่อค่ะ ไม่นึกว่าร้านหนังสือที่ข้าวสารจะมีเรื่องเล่ามากมายขนาดนี้ แต่ก็แหล่งของผู้คนที่มาจากหลายที่นี่นา

ความรู้ใหม่จริงๆ เรื่องราคาของเก่าระหว่างแอร์ กับเครื่องซักผ้าเนี่ย


โดย: wachi (กาบริเอล ) วันที่: 25 มีนาคม 2557 เวลา:10:19:22 น.  

 
ชาวกรีซเชื่อใน ตำนานมากคับ
เค้าก็พูดตรงนะ ใช้มา5ปี
ผมไม่ว่าหรอกนะ อย่างที่คุณบอกขอให้ โชคดี ^_^


โดย: งง IP: 134.196.174.62 วันที่: 21 พฤศจิกายน 2557 เวลา:12:40:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.