Group Blog
 
<<
กันยายน 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
1 กันยายน 2555
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน ชิพพลาย กับ แบ๊ดเลดี้

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังครบ 32 กินอร่อย นอนหลับ และได้มาพบกันอีกกับเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อย จากบรรยากาศเบาๆ และกลิ่นกระดาษที่ลอยๆอยู่ในร้านหนังสือ บางคนอาจจะนึกถึงกองทัพหนังสือที่วางเป็นตั้งๆ ฝุ่นจับหนาเตอะ อยู่ในร้านหนังสือเก่าตัวพ่อที่สวนจตุจักร เวลาไปคุ้ยทีนึงก็จะได้เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัสติดกลับออกมามากมาย พร้อมกับได้ฝึกออกกำลังในการยกปึกหนังสือเอง เพราะบางทีเล่มที่เราอยากดูมันอยู่ข้างล่าง ทับอยู่ด้วยหนังสือสูงเกือบท่วมหัว เวลาออกปากอยากขอดู ก็จะเจอกับสายตาเย็นยะเยือกจากช่องฟรีซที่เสียบแทงเข้ามาที่หัวใจจากเจ้าของร้านหรือไม่ก็ลูกจ้างบรรดาศักดิ์ที่มองตอบมาอย่างเงียบสงบ ความหมายจากประกายตาแปลได้ว่า 

"ไม่ดูได้ไหม ขี้เกียจหยิบ จ่ายตังค์เลยแล้วรีบๆออกจากร้านไปเสียที"

... ทำให้ผมมักจะ "ขออนุญาต ... ยกเอง ... หยิบเอง ... เก็บเอง ... เดินไปจ่ายตังค์อย่างสงบ ... อย่างตัวลีบๆ" ก่อนจะออกมายืนสูดอากาศเข้าอกอย่างเต็มเปี่ยมพร้อมกับรู้สึกว่า "พลัง" กลับมาสถิตย์อยู่กับเราอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงทุ้มนุ่มนวล สุภาพ ถามมาว่า "โป๊ มั้ย เพ่" ...

พลังอำนาจของเราจะเพิ่มขึ้นอีกเมื่อโบกมือปัดอย่างไม่ยี่หระ ขมวดคิ้ว สั่นหน้าพร้อมปฏิเสธอย่างไว้ตัว "ไม่เอาครับ" ก่อนเดินเลี่ยงไป ... ไม่ไกลนัก

และพลังของเราจะพุ่งขึ้นสูงสุด จนทะลุพิกัด เมื่อเจ้าของคำถามนั้นเดินตามมาขยี้ต่อ "สวยนะ ดูก่อนก็ได้พี่" ... เรากลายเป็นผู้มีอำนาจที่เขาเชิญไปเยี่ยมชมสินค้า เชิญแบบ VIP ไม่เหมือนตอนที่คุ้ยหนังสือจากร้านก่อนหน้านี้เลย

เราก้มหน้าเล็กน้อย สบตาพร้อมเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น "ลองดูก็ได้ ไหนล่ะ ..." ก่อนซุกมือลงล้วงกระเป๋า เอียงคอเล็กน้อยพองาม แล้วเดินตามคนที่นำหน้าไป

... ประมาณนักการเมืองระดับประเทศที่ได้รับการดูแลจากข้าราชการท้องถิ่นเป็นอย่างดี

ครับ ... นั่นเป็นฉากคุ้นเคยฉากหนึ่งของวัยรุ่นแตกหนุ่มที่มักจะมีธุระปะปังกับร้านหนังสือโอเพ่นแอร์ที่จตุจักร แต่มันจะไม่หมือนกับบรรยากาศของ "ร้านหนังสือมือสอง" ร้านนี้ครับ เนื่องจาก

1) หนังสือที่ร้านส่วนใหญ่ห่อพลาสติกไว้เพื่อกันฝุ่น และไม่ได้วางเป็นตั้งสูงท่วมหัว แถมแกะดูได้ครับ ไม่ซื้อก็ไม่ว่า

2) บริการดี (ไม่ชาร์จเพิ่ม 10% เหมือนร้านอาหารญี่ปุ่นบางร้าน) ... แต่ไม่มากเกินไปเหมือนกับข้าราชการและนักการเมืองไม่ดีบางส่วน ที่มักจะเอาเงินภาษีของประชาชนไปรับรองผู้ใหญ่ ไปถลุง ... ขอโทษครับทั้งนักการเมืองและข้าราชการ คือว่า เงินเดือน เงินบำนาญที่พวกท่านใช้อยู่น่ะ มาจากภาษีที่ประชาชนเสียให้ประเทศนะครับ ใช้ให้มันดีๆหน่อย ... ขออนุญาต แง้บ หน่อยหนึ่งครับ คงไม่ว่ากัน Smiley

3) ไม่มีโป๊ครับ มีแต่ไกด์บุ๊ค ภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นก็มีภาษาอื่นๆบ้าง เช่น ฮีบรูว์ ฝรั่งเศส ด๊อยช์ ดัทช์ สวีดิช สแปนิช ฯลฯ

******************************

คืนก่อนตอนหัวค่ำ ผมนั่งดูหนังสือพิมพ์พบ "เพื่อนเก่า" ปรากฏตัวอีกครั้งหลังหายตัวไปเกือบปี เพื่อนคนนี้ชื่อเท่ห์ออกเสียงเป็นภาษาต่างบ้านต่างเมือง ทำเอาคนไทยลืมเพื่อนรุ่นดึกหลายคนที่คบหากันมานานทั้ง "พนังกั้นน้ำ" "ถุงทราย" แล้วหันไปคบ "เพื่อนเก่า" ของผมคนนี้ที่มาจากเมืองนอกเมืองนาพร้อมกับเพื่อนร่วมแก๊งค์อีก 2 คน

ใช่ครับ เพื่อนเก่าของผมคนนี้คือ "บิ๊กแบ็ค" ที่หายตัวไปเกือบปีก่อนจะมาปรากฏตัวอีกครั้งหลังจากน้ำท่วมที่สุโขทัยสัปดาห์นี้นี่เอง รอยเตอร์รายงานจากนอกประเทศชัดเจน ปีนี้น้ำท่วมประเทศไทยไปแล้ว 25% หรือเกือบ 20 จังหวัด ปีก่อนหลังจากหายตัวไปก็ทิ้งเพื่อนคนหนึ่งไว้เบื้องหลังเพื่อเป็นตัวช่วยให้นิคมฯต่างๆหายใจหายคอได้ทั่วท้องกันบ้าง "ชีทไพล" คือเพื่อนคนนั้นนั่นเอง ... นอกจากนั้นยังมีเพื่อนร่วมแก๊งค์อีกคน เขาชื่อ "เกเบี้ยน" นัยว่าเป็นถุงหรือกล่องตาข่ายเหล็กใส่หินขนาดใหญ่ที่ซ่อมประตูระบายน้ำบางโฉมศรีตั้งแต่ปีก่อน



"GABION" กล่องกระชุหิน "เกเบี้ยน" พระเอกตัวจริงของศึกที่ประตูระบายน้ำบางโฉมศรีปีที่แล้ว



ขออนุญาตเขียนแก้ให้กับบางท่านที่ไม่ค่อยคุ้น ... เขาชื่อ "ชีทไพล" ครับ มันอ่านจากภาษาอังกฤษที่เขียนว่า "Sheet pile" ... ไม่ใช่ "ชิพพลาย" ครับ ... คือไม่รู้ว่าคนพูดนั้นพูดผิดจริงๆ หรือ คนเขียนข่าวเขียนผิด หรือใครมั่วก็ไม่รู้ ... แต่รู้ว่าข่าวที่หน้าหนังสือพิมพ์ปล่อยออกมานั้น คุณไม่ได้ทำการบ้าน / ตรวจสอบอะไรสักอย่างเลย มันบ่งบอกถึงคุณภาพของสิ่งที่ทำอย่างแท้จริง ... ระดับไหนก็คิดกันเอาเองครับ ... ไม่ใช่อะไร เด็กๆเห็นแล้วจะงงไปกันใหญ่ ... "ชิพพลาย" มันเกี่ยวอะไรกับ "ช้างพลาย" หรือเปล่า ... หรือว่าจะเกี่ยวกับ "ชิบหาย" เป็นแน่แท้ ... โอ้ ประเทศไทย

หลังจากที่ผมนั่งสลดอยู่กับ "ชิพพลาย" อยู่ค่อนดึก ผมก็คว้าหนังสือพอกเกตบุ๊คเล่มหนึ่งมาอ่านต่อเพื่อดับอารมณ์ มันเล่าเกี่ยวกับการเดินทางท่องเที่ยวเข้าป่า ไปนอนกางเต๊นท์ ฟังเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล เสียงแห่งความเงียบ สงบ สายน้ำไหลรินในลำธาร อากาศสด ไม่ได้ผจญภัยอะไรใหญ่โต แค่ชีวิตของคนร่วมสมัย ที่แวะเข้าป่าไปบ่อยๆ หลีกหนีจากรถติด ชีวิตประจำวัน มันคือ "คนกรุงเก่าเข้าป่า" ของมาโนช พุฒตาล จากสำนักพิมพ์โอเพนบุ๊ค ก็เพลินๆอยู่



หนังสือภาษาไทยเล่มล่าสุดในรอบปีที่ได้อ่าน จาก "บุตรของนายเฉลียวกับนางอำไพ"

"คุณมีดิกชันนารี เยอรมัน-อังกฤษ หรือเปล่า" หนุ่มผิวสีผมถักเดร็ดจ์ล็อค ก้าวเข้ามาในร้านพร้อมถามด้วยภาษาไทยสำเนียงแปร่งนิดหน่อย

ผมชำเลืองคุ้นๆไปที่ชั้นวางหนังสือเฟรสบุ๊ค ก่อนจะก้าวไปหยิบมาให้ดู "มีสิ นี่ไง" มันขนาดย่อมกว่าขายหัวเราะเล็กน้อย แต่หนาเกือบคืบ

ลูกค้าผิวสีวางขวดเบียร์ในมือลง แล้วหยิบดิกฯเล่มนั้นขึ้นมาพลิกดูอย่างตั้งใจ "พรุ่งนี้ผมจะมาเอาสูทที่ถนนข้าวสารนี่ คุณเก็บไว้ให้ด้วย พรุ่งนี้ผมมาเอา"

ผมยิ้มเหมือนเคย "ได้สิ คุณพูดไทยชัดเจนดี คุณอยู่ที่นี่เหรอ"

"ใช่แล้ว ผมทำงานอยู่ที่เขาดิน ผมมาจากเคนยา" ชายหนุ่มตอบพร้อมยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนเล่ายาวต่อมาว่า ตัวเขามาแสดงโชว์กายกรรมอยู่ที่เขาดินเป็นปีแล้ว วันนี้นัดมาเจอแฟนสาวคนไทยที่เบอร์เกอร์คิง ปกติเขาพักอยู่ที่บางพลัด เราคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ

"ผมชอบกรุงเทพ นี่ถ้าว่างว่าจะไปเที่ยวที่สุโขทัย กาญจนบุรี แล้วก็อุดรฯ" เสียงใสพร้อมยิ้มฟันขาว "เพราะสุโขทัยมีประวัติศาสตร์ เป็นเมืองหลวงเก่าของคุณ ใช่ไหม ส่วนกาญจนบุรีก็มีสะพานข้ามแม่น้ำแคว มีเรื่องราวของสงครามโลก"

"แล้วอุดรฯล่ะ" ผมถามไป

"ที่นั่นเป็นบ้านแฟนผมเอง ผมเคยไปครั้งหนึ่ง" ชายหนุ่มอธิบาย

ผมดูอากัปกิริยาแล้ว ท่าจะคุยกันยาว เลยเปลี่ยนรูปแบบเป็นเจาะประเด็นเอาเนื้อหามากกว่าเรื่องท่องเที่ยว "คุณอยูที่นี่เป็นไงบ้าง"

"ก็ดี ที่นี่มีทุกอย่างเกือบๆจะเหมือนที่เคนยา อาหารก็ใกล้เคียงกัน ที่เคนยาผมกินอาหารใช้มือ ก็คล้ายๆกับคนไทย แต่มีอยู่ทีนึงตอนที่ไปอุดร มื้อนั้นมีปลาด้วย ผมใช้มือแกะปลาเหมือนที่กินที่เคนยาตามปกติ แต่เพื่อนร่วมโต๊ะคนไทยมองผมเป็นตาเดียว ผมอายมาก มื้อนั้นผมเลยเลิกกินไปเลย" เสียงเล่าพร้อมสายหน้ายิ้มๆ

ผมหัวเราะก๊าก "เหรอ แปลกนะ บางทีเนื้อปลามื้อนั้นมันอาจจะเละ ไม่เหมาะกับมือก็ได้มั้ง"

"คนไทยบางคนก็กลัวผมนะ ที่บ้านพักที่บางพลัด มันเป็นห้องเช่าน่ะ จะมีคู่สามี-ภรรยาคู่หนึ่งที่กลัวผม เจอผมที่ไหนก็จะหลบทันที ผมเดินเข้าเซเว่น-พวกเขาเดินออก พอผมเดินออก-พวกเขาก็กลับเข้าไปใหม่ บางทีเดินสวนกันที่ทางเดินในคอนโด พวกเขาก็จะหลบๆ อาการมันชัดมาก ผมรู้สึกไม่ดีเลย ทั้งๆที่ผมไม่ได้ไปทำอะไรให้เขาเลย ... บางทีเด็กๆที่มาเที่ยวเขาดินกับพ่อแม่ก็ไม่กล้ามาถ่ายรูปกับผม"

"ถ้างั้นคุณอาจจะต้องสวมหัวตัวตลกตอนถ่ายรูปละมั้ง" ผมพูดไปหัวเราะไป

"ทำไมเขากลัวผมก็ไม่รู้ ผมผิวดำละมัง คุณคุยกับผมได้ดีเลย ไม่เห็นกลัวผม" เสียงถามอย่างสงสัยปนอ่อนอกอ่อนใจ

"เขาคงไม่ค่อยชินกับคนอื่นน่ะ เด็กๆที่เขาดินก็ยังเด็กน่ะ ส่วนคนข้างห้องของคุณที่บางพลัด ก็ช่างเขาเถอะ บางทีเขาอาจจะดูหนังฝรั่งฮอลลีวู้ดเยอะไปก็ได้ คนดำในหนังมักจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อาวุทธปืน อาชญากรรม ทำร้ายร่างกาย ฆ่าคน บางทีพวกเขาอาจคิดว่าคุณเป็นพ่อค้ายาเสพติดมีโคเคนอยู่ในห้องก็ได้ เขาไม่รู้จักคุณนี่นา" ผมพยายามอธิบายช่วย

"บอสของผมที่เขาดินเขียนข้อมูลรายละเอียดของผมเป็นภาษาไทยเคลือบพลาสติกให้ผมแขวนไว้ที่ประตูห้องเลยนะ พวกเขาก็ยังกลัวกันอีก" คิ้วขมวดแล้วกระดกเบียร์ 1 อึก

"เหรอ ... บอสของคุณนี่ดีจริงๆ ถ้างั้นก็ช่างเขาเถอะ มันเป็นปัญหาของเขา ถ้าเขากลัวมากนักก็ให้เขาย้ายออกไป" ผมหัวเราะขลุกขลักอยู่ในคอ

"บางทีตอนบ่ายๆเย็นๆ เลิกงานแล้วผมจะไปว่ายน้ำ คนไทยว่ายน้ำเก่ง ที่เคนยาก็มีสระว่ายน้ำธรรมชาติเหมือนกัน แต่คนที่นั่นไม่ค่อยนิยมว่ายน้ำกันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะไปตกปลากัน แต่กลับชอบกีฬาวิ่งมากกว่า ที่นั่นภูเขาเยอะ ผู้คนจะเคยชินกับภูเขา ทำให้กล้ามเนื้อเหมาะกับกีฬาประเภทวิ่ง คนไทยนี่ที่ผมเห็นจะว่ายน้ำดี ชกมวยดี" ชายหนุ่มเล่าพลางพยักหน้าก่อนจะเล่าต่อ

"ที่เขาดินก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะ แต่ไม่ค่อยมีใครพูดภาษาอังกฤษกัน คุณรู้ไหมบางทีนักท่องเที่ยวอยากจะซื้อของ แต่คนขายพูดไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาหลายๆคนก็ขี้เกียจสื่อสารก็จะไม่ซื้อดีกว่า เพราะฉะนั้นพวกคุณคนไทยน่าจะหัดพูดภาษาอังกฤษกันเยอะๆ" ไล่มาเป็นชุดๆ

"ที่โรงเรียนใกล้ๆเขาดิน แปลกมากนะ ผมเห็นหนุ่มสาวใส่ชุดนักศึกษามาเรียนกัน แต่พวกเขาพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้ แต่เด็กเล็กๆใส่กางเกงขาสั้นที่เรียนแถวนั้นกลับพูดภาษาอังกฤษได้คล่องมากเลย ... แล้วก็ผู้หญิงจะใส่กระโปรงสั้นมากๆเลย เหมือนกับ "แบ๊ดเลดี" ที่ผมเคยเห็นข้างนอกเลย ทั้งๆที่พวกเขามาเรียนหนังสือกัน"

( ... เอ่อออม อันนี้ถอดความชัดเจน ไม่ผิดครับ ... ก็ไปไล่กันเอาเองนะครับว่า แถวนั้นมีมหาวิทยาลัยไหนบ้างที่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ โรงเรียนอะไรบ้างที่ปล่อยนักศึกษาใส่กระโปรงสั้นกุดจนแม้กระทั่ง "คนเคนยา" ยังมองเป็น "แบ๊ดเลดี้" กันเลย ... โอ้ พระเจ้า )

ผมหัวเราะน้ำตาไหลอย่างพูดไม่ออก พยายามแก้ต่างให้ประมาณว่า มหาวิทยาลัยก็มีหลายระดับ นักศึกษาที่มาเรียนก็มีเก่งบ้าง ไม่เก่งบ้าง ... แต่ไอ้เรื่อง "แบ๊ดเลดี้" นี่ผมก็ไปไม่เป็น ก็ไม่รู้จะแก้ยังไงเหมือนกัน "แล้วที่เคนยาล่ะ พวกคุณพูดกี่ภาษา" ผมถามเลี่ยงไป

เส้นผมที่ถักสั่นอยู่ไหวๆ "ก็หลายภาษานะ คุณรู้ใช่ไหม ว่าเราเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เพราะฉะนั้นนอกจากสวาฮิลีที่เป็นภาษาท้องถิ่นของเรา ก็จะมีภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐานอีกภาษาหนึ่ง คนที่ไม่ได้เข้าโรงเรียน ก็จะพูดได้แต่อ่าน-เขียนไม่ได้ นอกนั้นพอเข้าเรียนก็จะมี ภาษาเยอรมัน อิตาลี ฝรั่งเศส สเปนให้เรียนด้วย"

"เงิน 2 ชิลลิงเคนยาก็คิดเป็นประมาณ 1 บาทไทย อาหารการกิน 1 วันในร้านอาหาร 3 มื้อก็ประมาณ 500 ชิลลิง ประมาณ 250 บาทไทย แต่ถ้าซื้อมาทำกินเองก็อาจจะสัก 400 ชิลลิง" ชายหนุ่มเล่าต่อ "ถ้าเป็นรถยาริส 1 คันก็น่าจะประมาณ 400000 ชิลลิง"

ผมฟังแล้วตาโตพลางคิดในใจ "ถูกนี่หว่า"

"ถนนหนทางที่นั่นจะดีแต่เฉพาะในเมืองหลวง ส่วนนอกเมืองถนนจะไม่ดีและแคบมาก ขับรถลำบาก ไม่เหมือนเมืองไทยที่ถนนดีมาก บางพื้นที่จะแห้งแล้ง บางทีฝนไม่ตกเลยนานเกือบ 2 ปี ผู้คนอดตายก็มี บางคนก็จะผอมๆ ส่วนใหญ่เรากินข้าวโพด ทำเป็นซุปกินกันเพราะมันจะหนักท้องกว่ากินข้าว ที่นั่นเรามีทั้งข้าวโพดขาว เหลือง ม่วง ดำ มะพร้าวเราก็มี แต่เราไม่มีเครื่องปอกมะพร้าวแบบคนไทย"

"แล้วก็บางทีผมมาถนนข้าวสารนี่ดึกๆ เกือบเที่ยงคืน ก็ยังเห็นเด็กเล็กๆเดินขายดอกไม้กัน ... โอ้ อันนี้ โนกู้ด" หนุ่มเคนยาส่ายหน้าโบกมือรับไม่ได้ ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มเก้อๆ ไม่รู้จะออกตัวยังไงเลย



หนุ่มผิวสีจากเคนยา - นักกายกรรมจากสวนสัตว์ดุสิต ผู้ไม่ไลค์สาวกระโปรงสั้นเป็น "แบ๊ดเลดี้"

หลังจากชายหนุ่มโดนแฟนสาวโทรตามจนออกจากร้านไป ผมนึกถึงเพื่อนฟิลิปปินส์ที่เคยคุยกัน

"เจต ยูรู้ไหม หลังจบโอลิมปิกส์ที่ผ่านมา เพื่อนคนไทยเคยคุยกับไอว่าเมืองไทยปีนี้ไม่ดีเลย ไม่ได้เหรียญทองสักเหรียญ ไอตอบไปว่ายูคนไทยได้เหรียญเงินมาบ้างก็ยังดี ... ฟิลิปปินส์ของไอนี่สิ เหรียญทองไม่ได้ แล้วแถมยังติดอันดับท็อปการคอรัปชันระดับโลกอีกต่างหาก บ้านไอนะ เงินถูกคอรัปชันไม่เหลือพอจะมาสร้างถนน สร้างทางด่วนได้ เดินทางสะดวกอย่างเมืองไทยหรอก"

*** ฟังดูแล้วรู้สึกใจชื้น เอ๊ะ ... หรือจะต้องไปขอบคุณนักการเมืองกับข้าราชการที่ไม่ดีเหล่านั้น ที่กรุณาคอรัปชันไม่มากเกินไป จนเหลือเงินมาสร้างทางด่วน สร้างสนามบินให้คนไทยได้ใช้กัน

*** หรือจะต้องยินดีรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า "โกงได้ แต่เอามาแบ่งกันบ้าง ก็ไม่เป็นไร"

ขอให้วันพรุ่งนี้ ฟ้าเป็นใจกับเราด้วย
ราตรีสวัสดิ์ครับ

ป.ล. วันนี้เป็นวันที่ 1 กันยายน ... ย้อนกลับไป 22 ปี เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับการเสียสละอันยิ่งใหญ่ ขอให้ดวงวิญญาณของผู้วายชนม์ไปสู่สุคติ ... "สืบ นาคะเสถียร"



Create Date : 01 กันยายน 2555
Last Update : 15 กันยายน 2555 1:33:52 น. 1 comments
Counter : 3234 Pageviews.

 
สงสัยต้องแวะไปเขาดิน ไปถ่ายรูปกับชาวเคนยาคนนั้นซะแล้ว แต่...โดนวิจารณ์เรื่องภาษาถึงกับสะอึกเลย โดนมากกกกกกเพราะฉันก้อยังงูๆๆปลาๆๆ 555 ตอนนี้พยายามอยู่ แต่เรื่องการแต่งตัวนี่ แล้วแต่ส่วนบุคคลอ่ะเนอะ แต่คุณก็ยังเขียนสนุกเหมือนเดิมเลย


โดย: koji IP: 171.98.18.98 วันที่: 20 กันยายน 2555 เวลา:5:03:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.