Group Blog
 
<<
มกราคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
19 มกราคม 2554
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน เล่นลูกค้าซักป้าบ ... จะบาปไหม

สวัสดีครับ ยินดีที่ได้เจอกันอีก แม้จะไม่รู้จัก

ขึ้นหัวเรื่องไว้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะหยาบคายกับลูกค้านะครับ เพียงแต่ว่าเป็นความรู้สึกขำๆบวกกับความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูก เวลาเจอกับลูกค้าฝรั่งประเภท "พิเศษ" และ "ไม่เหมือนใคร" ที่เข้ามาในร้านหนังสือ จนทำให้เกิดวันพิเศษในความทรงจำ ทำให้คนขายเกิดอาการเจ็บจี๊ด หรือถึงกับระเหยเป็นไอ พาลจะเจ็บไข้ได้ป่วยไปเลยก็มีนะครับ โดยเฉพาะวันที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยสมัยนี้

จนบางทีก็นึกถึงตลกคณะ "โย่ง เชิญยิ้ม" ในรายการ "คุณพระช่วย" ที่นักแสดงร้องเพลงฉ่อยแซวกันตอนแสดงเป็นคนแก่พูดจาวกวนพิกล

"นงเอ๋ย พวงขอถาม ... นงเอ๋ย พวงขอถาม ... เล่นคนแก่ซักป้าบ จะบาปไหม"

..........

ลูกค้าประเภทแรกนี่ เป็นกลุ่มที่มักจะใช้คำพูด "เดี๋ยวมานะ" เป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น

- เดี๋ยวมานะ พอดีไม่ได้เอาเงินติดมาด้วย เก็บไว้ที่ห้องพัก / ปกตินี่เวลาใครไปแปลกที่แปลกถิ่น ของสำคัญพวกเงิน พวกพาสปอร์ต เขาจะเก็บติดตัวกันทั้งนั้น ไม่ใช่เหรอ
- เดี๋ยวอีก 2-3 วัน ก็จะเลิกใช้ไกด์บุ๊คเล่มนี้ แล้วจะเอามาเทิร์นเป็นอีกเล่มที่ดูไว้ตรงนั้น
- อีกอันที่อมตะ นิรันดร์กาลคือ เดี๋ยวมานะ ขอไปแลกเงินก่อน พอดีมีแต่ดอลลาร์ / กรณีนี้ผมก็ชี้ไปที่รถบริการเอทีเอ็ม + แลกเงินเคลื่อนที่ของธนาคารยูโอบีที่จอดอยู่ประจำอีกฟากหนึ่งของถนนตรงหน้าร้านพอดี หรือเคาเตอร์บริการแลกเงินของธนาคารกสิกรไทย ที่เยื้องกันอยู่ไม่เกิน 20 เมตร ลูกค้าก็เดินออกจากร้าน ... แล้วหายจ้อยเข้ากลีบเมฆไป
- ฯลฯ

อันที่จริง มันเป็นเรื่องปกติ ที่เราไม่ตัดสินใจซื้อของ แล้วเราต้องการเลี่ยงออกจากสถานการณ์เสี่ยงที่จะต้องเสียเงินเต็มทีแล้ว ฝรั่งโดยทั่วไปมักใช้คำว่า "Let me think about it" ซึ่งผมเดาเอาว่า "ขอคิดดูก่อน" ซึ่งคนขายทั่วไปก็จะเข้าใจโดยสัญชาติญาณว่า ยังไม่ซื้อนะ แต่ว่าลูกค้า "พิเศษ" เหล่านี้มักจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมมา เช่นขอให้เก็บแยกไว้ อย่าขายให้คนอื่น แถมบางทียังต่อราคาจนคนขายแทบสิ้นเนื้อประดาตัว ... แต่ สุดท้ายก็บัวแล้งน้ำ

ผมจำได้ขึ้นใจตอนช่วงลุ้นฟุตบอลโลกเมื่อปีที่แล้ว สัปดาห์แห่งความสนุกสนานเท้าของทีมชาติเยอรมัน หลังจากขย่มทีมชาติอังกฤษ และต่อด้วยต้อนทีมชาติอาร์เจนตินาชนิดเอ๊าท์คลาสด้วยสกอร์ 4-0 จนมาราโดนาไปไม่เป็น ช่วงนั้นมีลูกค้าหนุ่มหล่อประมาณคริสเตียโน โรนัลโด เข้ามาเลือกหนังสือโลนลีแพลนเน็ตไว้เล่มหนึ่ง บอกว่าจะซื้อเล่มนี้ก่อนบินกลับบ้านในอีก 2-3 วัน ให้เก็บแยกไว้ เสร็จแล้วพี่แกก็เดินหายเข้าไปในถนนข้าวสาร น่าจะไปดื่มเบียร์-เชียร์บอล

หัวค่ำวันรุ่งขึ้น พ่อหนุ่มพาเพื่อนมาอีกคน ชักชวนกันเข้ามาเลือกได้เพิ่มอีก 2 เล่ม ผมจำได้แม่นเล่มหนึ่งเป็นโลนลีแพลนเน็ตเมดิเตอร์เรเนียนยุโรป ปีล่าสุด พ่อหนุ่มบอกว่าจะซื้อไปฝากแม่ ทั้ง 2 ขอให้เก็บแยกไว้ด้วยกันกับอีกเล่มเมื่อวาน รวมเป็น 3 เล่ม แล้วก็หายเข้าไปในดื่มกันต่อในถนนข้าวสาร

วันถัดมา ทั้ง 2 เข้ามาตอนหัวค่ำอีก บอกว่าพรุ่งนี้เป็นการฉลองวันสุดท้าย ก่อนบินกลับเช้าตรู่วันถัดไป ก่อนออกไปก็ขอต่อราคาอยู่นานจนคืนนั้นผมแทบนอนไม่หลับ พร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าพรุ่งนี้มาจ่ายเงินแน่นอนเพราะเป็นวันสุดท้ายแล้ว

หัวค่ำของการฉลองวันสุดท้าย ทั้ง 2 คนเข้ามายิ้มกริ่ม ถามหาทั้ง 3 เล่มว่าเก็บแยกไว้ให้เรียบร้อยดีไหม ราคาตามที่ต่อรองกันเมื่อวานนี้นะ เสร็จแล้วยังคุยโวอีก "เห็นไหมเล่า เรามาตามที่สัญญาไว้ เงินที่เราเตรียมก็อยู่นี่" ชายหนุ่มชูเงินให้ดู "แต่เดี๋ยวก่อนนะ เราจะไปดื่มฉลองวันสุดท้ายกันก่อน เราไม่อยากถือหนังสือไปด้วย ขากลับเรามาเอา ร้านคุณปิดกี่โมง"

"ก็ฟุตบอลคู่นี้จบนั่นแหละ ว่าแต่คุณมัดจำไว้ก่อนดีไหม" ผมตอบพร้อมถามไป

"ไม่ล่ะ เดี๋ยวขากลับเรามาเอาหนังสือนะ" ชายหนุ่มยืนยัน

ผมยิ้มโรยๆ อย่างปลงชีวิต บอกกับ 2 หนุ่มก่อนเดินออกจากร้านไป "แล้วคุณอย่าลืมกลับมาซื้อหนังสือให้แม่นะ"

พอทั้ง 2 คนออกจากร้านไป ผมก็หยิบหนังสือทั้ง 3 เล่มออกมาจากถุง จัดเรียงเข้าที่ชั้นตามเดิม พลางคิดในใจว่า "ไอ้เสือ 2 ตัวนี่หลุดเข้าป่าไป ก็คงไม่กลับมาแล้ว เงินมันก็คงกินเบียร์จนหมดนั่นแหละ" ... หลังจากนั้นผมก็ไปนั่งดูฟุตบอลต่อจนจบโดยไม่มีลูกค้าเข้ามาที่ร้านอีกเลยในคืนนั้น โชคดีที่สกอร์ 4-0 ของเยอรมันช่วยให้หลับได้เป็นอย่างดี

..........

ประเภท "สอดคานหาม" นี่ก็ปวดหัวไม่น้อยไปกว่ากัน คือเป็นลูกค้าประเภทนักแนะนำจนเกินพอดี แนะนำจนคนขายอดขายของ ส่วนใหญ่นี่จะเป็นแบบสังหรณ์ เพราะไม่เจอตรงหน้าจังๆ จะเป็นประเภทเข้ามาเจอกันในร้าน ถามกันไปมานั่นนี่ เคยไปมาหรือเปล่า หนังสือเล่มนี้ใช้ได้ไหม จนไปจบที่สุดท้ายพากันออกไปหมดเลย ลูกค้าที่เดิมเข้ามาในร้านอยู่แล้วก็พลอยสลายตัวไปด้วยโดยไม่ได้ซื้อหนังสือสักเล่ม ถ้าพูดกันตามตรง จะว่าลูกค้ากรณีนี้ก็ไม่ถนัดเท่าไหร่ เพราะถ้าที่ร้านเป็นแหล่งแชร์ข้อมูลกันได้ ก็ยังเป็นมูลค่าเพิ่มให้ร้านได้อยู่ดี ถ้าไม่เจอจังๆ วันก่อนนี้เอง

ลุงผอมคนหนึ่ง จูงจักรยานเข้ามาจอดบนฟุตบาทหน้าร้าน แล้วเดินเข้ามาสำรวจดูแถวๆชั้นหนังสือโลนลีแพลนเน็ต หลังจากทักทายวิสาสะกันสักครู่ ก็ได้ความว่า เป็นคนฝรั่งเศส เข้ามาดูหนังสือเพราะความแปลกใจ ตะแกถามว่าไกด์บุ๊คของผมเป็นของจริงหรือของก็อปฯ ผมก็หยิบหนังสือมาเล่มหนึ่ง เปิดให้ดูว่าเป็นของจริง แล้วผมก็ถามกลับไปว่า แกจะซื้อของก็อปฯหรือ ถึงได้ถาม แกบอกว่าเปล่า เพียงแต่มีข้อสงสัยว่าเคยเห็นฉบับก็อปฯ ในเมืองไทยนี่ แกเลยเข้าใจว่าเมืองไทยนี่คงจะมีไกด์บุ๊คก็อปฯ ขายอย่างเปิดเผยเป็นล่ำเป็นสัน

ผมนึกถึงภาพรถบดถนนบนกองซีดีเถื่อน พร้อมกับภาพนักการเมืองบ้าง ดาราบ้างเอามีดคัตเตอร์กรีดกระเป๋า ในหน้าหนังสือพิมพ์ พร้อมบอกไปว่า "ไม่หรอก ที่คุณเห็นน่ะมันผลิตจากประเทศข้างบ้านผมทั้งนั้นแหละ บางทีเห็นบอกว่าขายอยู่ใกล้ๆด่านตรวจคนเข้าเมืองนั่นเอง แล้วก็พวกแบ็คแพ็คเกอร์อย่างคุณนี่แหล่ะ ที่ซื้อติดตัวเข้ามาแล้วก็เอามาแลกเปลี่ยนตามร้านหนังสือ หรือไม่ก็ทิ้งไว้ตามเกสเฮาส์"

ลุงผอมก็พยักหน้าเข้าใจ และบอกว่า "เวลาผมกลับไปที่ฝรั่งเศสแล้ว ถ้ามีคนถามก็จะได้บอกไปว่า ที่เมืองไทยนี่มีร้านหนังสือไกด์บุ๊คต้นฉบับขาย หรือแลกเปลี่ยนได้ ไม่จำเป็นต้องซื้อติดตัวมาเองเสมอไป เพราะบางทีไปหลายประเทศ จะให้แบกขึ้นเครื่องมาก็หนัก บางเล่มนี่เป็นกิโลเหมือนกัน ... ถ้างั้นไกด์บุ๊คของผมที่ใช้อยู่นี่ เดี๋ยวใช้เสร็จผมเอามาเทิร์นที่ร้านคุณก็แล้วกัน"

ผมก็พยักหน้าตกลง ระหว่างนั้นก็มีลูกค้าหนุ่มสาวคู่หนึ่งเข้ามาในร้าน แล้วก็เดินมาที่ชั้นหนังสือไกด์บุ๊คภาษาฝรั่งเศส มองๆดูแป๊บนึง คนสาวก็เลือกหยิบหนังสือโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์ ภาษาฝรั่งเศส ปี 2008 ขึ้นมาถือไว้ อีกมือหนึ่งถือกระเป๋าเงิน ถามว่า "คุณมีเล่มใหม่ยังไม่ใช้หรือเปล่า" ขณะที่ทำท่าเตรียมหยิบเงิน

ผมทำท่าเตรียมรับเงิน พลางก็ส่ายหน้าและตอบไปว่า "มือสองภาษาฝรั่งเศสก็มีเล่มนั้น ส่วนมือหนึ่งไม่มี ร้านส่วนใหญ่จะมีขายก็ภาษาอังกฤษซะเยอะ ...."

ผมยังไม่ทันพูดจบประโยค ทันใดนั้นลุงผอมก็สปีคเฟรนช์ขึ้นมา ตอบโต้ไป-กลับกันประมาณ 2-3 รอบ ก็เริ่มมีชี้โบ๊ชี้เบ๊ ทำมือทำไม้บอกทิศทาง ออกจากร้าน แล้วเลี้ยวซ้าย-ขวา ผมเริ่มเห็นท่าไม่ดี จะบอกให้ลุงไปนั่งรอที่โต๊ะ ก็พอดีสาวฝรั่งเศสค่อยๆบรรจงวางหนังสือเล่มนั้นลงที่เดิม แล้วกล่าวขอบคุณพร้อมกับเดินออกไปกับเพื่อนหนุ่ม ผมกระพริบตาปริบๆอยู่อึดใจนึง หันมาที่ลุง ก็ปรากฏว่าลุงอันตรธานไปจากตรงที่ยืนคุยอยู่เมื่อกี้ เห็นเงาแว้บๆ ปล่อยให้ผมยืนเจริญพรอยู่คนเดียว

..........

อีกประเภทหนึ่งคือนักถาม เหมือนเจ้าหนูจำไม ในการ์ตูนอิกคิวซัง ... คือถามไปเรื่อย เล่มนั้นมีไหม เล่มนี้มีหรือเปล่า ... ถ้ามีก็หยิบดู แล้วถามเล่มอื่นต่อ จนไปจบไอ้เล่มที่ไม่มีในร้าน ถ้าเป็นโลนลีแพลนเน็ต ผมก็เอาแคตตาล็อกมากางให้ดูเลยว่า ไอ้ที่ถามน่ะมันมีหรือเปล่า ถ้าไม่มี เล่มไหนใกล้เคียงที่สุดที่น่าจะทดแทนกันได้ หรือถ้าจะเอาจริงก็สั่งซื้อให้ แถมได้ส่วนลดอีกต่างหาก

มือหนึ่งมีไหม - มี เอ้า ขอดูมือสองอีก - หยิบให้ดู ขอดูฉบับเก่าเทียบกัน - พอเสร็จแล้วก็วาง หันหลังเดินออกจากร้าน ไม่พูดอะไรสักคำ ปล่อยให้คนขายยืนงงเป็นไก่ตาแตก ... ก็ยังพอรับได้

บางทีถามจนหมด ไปจบที่ มีฉบับก็อปฯ ขายไหม ... จบข่าว

เคสหนึ่งมาพร้อมกัน 3-4 คน มาจากอังกฤษ หนุ่มคนหนึ่งเข้ามาหยิบดูโลนลีแพลนเน็ตเซาท์อีสต์เอเซีย ฉบับใหม่ยังไม่ใช้ ดูราคาแล้วคำนวณกลับเป็นปอนด์ แล้วบอกว่า "คุณขายแพงกว่าราคาหนังสือ ผมซื้อที่อังกฤษถูกกว่านี้"

ผมต้องอธิบายไปว่า "แน่นอนอังกฤษถูกกว่า เพราะมีสำนักพิมพ์ที่นั่น แถมราคาเป็นปอนด์ได้เลย นอกจากอังกฤษแล้ว ที่ออสเตรเลียก็ถูกกว่า เพราะเป็นสาขาใหญ่ ส่งเข้ามาที่เมืองไทยนี่ ต้องเสียค่าขนส่งมา แถมเราชำระค่าหนังสือเป็นดอลลาร์ เสียค่าอัตราแลกเปลี่ยนอีก แต่บางประเทศจะแพงกว่านี้อีกนะ"

พ่อหนุ่มหันไปหัวเราะกับเพื่อน แล้วหยิบฉบับมือสองขึ้นมาดูราคา เสร็จแล้วยื่นมือหยิบของเพื่อนมาเทียบกันให้ผมดู บอก "ฉบับมือสองนี่ล่ะ เห็นไหมของคุณก็แพงกว่า"

ผมชำเลืองดูหนังสือในมือชายหนุ่ม แล้วยื่นมือไปรับหนังสือของผมกลับมาเก็บไว้ในชั้นตามเดิม ชี้เล่มอื่นให้ดู "แล้วแต่เล่มน่ะ ราคาไม่เท่ากัน แล้วแต่สภาพของหนังสือ บางเล่มสภาพยังดีก็ราคาสูงหน่อย บางเล่มสภาพชำรุดทรุดโทรมแล้ว ก็ราคาถูกหน่อย ... แต่ ขอโทษนะของคุณเล่มนั้นเป็นฉบับก็อปปี้น่ะ ผมเคยได้ยินลูกค้าบางคนบอกว่า ไกด์บุ๊คก็อปปี้ฉบับใหม่ราคาประมาณ 4 ดอลลาร์ คุณซื้อมาเท่าไหร่ล่ะ"

พ่อหนุ่มหัวเราะไม่ตอบ แล้วก็เดินออกจากร้านไปกับเพื่อนๆ ... ผมจำได้ว่าวันนั้นรู้สึกใจเย็นอย่างประหลาด ไม่รู้เพราะ 1 ถึง 100 ที่นับวนไปมาอยู่หลายรอบหรือเปล่า

..........

กรณีสุดท้ายเลยจำได้ไม่ลืม ก็คือลูกค้าสาวญี่ปุ่นสุดสวย มากับหนุ่มแขกดำสนิท คือก่อนหน้านี้ ผมแลกได้หนังสือโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์ภาษาญี่ปุ่นมาได้เล่มหนึ่ง สภาพดีมาก หลังจากได้มา ผมก็ตบแต่งเรียบร้อย ห่อใส่ถุงพลาสติกอย่างดี วางโชว์ไว้กลางตู้อย่างโดดเด่น เป็นเวลานาน ... นาน ถึงกว่าครึ่งปี นานจนฝุ่นจับ แม้จะอยู่ในตู้กระจก ไม่ว่าจะพลิกซ้ายก็แล้ว ตะแคงขวาก็แล้ว หมุนมุมไหนก็แล้ว ก็ยังไม่มีลูกค้าหยิบจับ ประหนึ่งว่าคนญี่ปุ่นตายหมดโลก หรือไม่ก็ผมคงเข้าใจผิด ... จริงๆเป็นภาษาต่างดาว

จนกระทั่งคู่แท้คู่นี้เดินทางมาเจอกับมัน สาวญี่ปุ่นขอไปพลิกดูในมืออย่างดีใจ ผมเองก็บริการให้อย่างดีใจ ที่จะขายออกเสียที มีแต่หนุ่มแขกข้างๆนี่คนเดียวทีกลอกตามองอย่างแปลกๆ

สาวสวยถามผมว่า "ราคาเท่าไหร่ ขอลดหน่อยได้ไหม"

ผมก็บอกราคาไป แล้วก็เจรจาต่อรองกันอยู่ ระหว่างนั้นก็มีเสียงงึมงำของหนุ่มแขกดังมาเป็นระยะ ประมาณว่า "จะดีเหรอ ไม่เห็นจำเป็นต้องใช้เลย ไกด์บุ๊คเล่มนี้" สาวเจ้าก็โต้ตอบไปเป็นระยะสลับกับหันมาต่อรองราคากับผม
จนท้ายที่สุดเธอพอใจกับสภาพหนังสือ ส่วนผมก็พอใจกับราคาที่ต่อรองกัน ขณะที่เธอจะเปิดกระเป๋าหยิบเงินออกมา หนุ่มแขกก็จับข้อศอกเธอยึดไว้ แล้วพ่นเร็วปรื๋อว่า

"อย่าซื้อเลย ไกด์บุ๊คเล่มนี้ ไว้เดี๋ยวกลับมาใหม่ค่อยซื้อก็ได้"

ผมชะงัก มองไปที่ตาคู่นั้น แล้วหันมามองหญิงสาว

หญิงสาวกระชากศอกออก พร้อมกับขึ้นเสียงสูงปรี๊ด "อย่ายุ่งน่ะ คราวหลังได้ยังไงกัน ฉันไม่ผ่านกลับมาแถวนี้แล้ว ถ้าไม่ซื้อตอนนี้แล้วจะให้ไปซื้อตอนไหน โลนลีแพลนเน็ตภาษาญี่ปุ่น แถวนี้ยิ่งหายากๆอยู่ด้วย"

หนุ่มแขกหน้าจ๋อย คอตก เงียบสนิท ปล่อยให้ผมรับเงิน หยิบหนังสือใส่ถุงแล้วอวยพรให้ลูกค้าสุดสวยเดินทางโดยสวัสดิภาพ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากร้านไป ผมยิ้มมุมปาก ในใจบอกว่า "สมน้ำหน้า ไอ้หอกหัก"

..........

"คุณเอ๋ย ผมจะขอถาม, คุณเอ๋ย ผมจะขอถาม ... เล่นลูกค้าสักป้าบ มันจะบาปไหม"


Create Date : 19 มกราคม 2554
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2554 9:22:11 น. 3 comments
Counter : 1425 Pageviews.

 
เวลาอ่านนี่เหมือนจะฮานะค่ะ แต่ก็สงสารคุณจัง อย่างนี้แหละค่ะลูกค้าร้อยพ่อพันแม่มาจากที่ต่างๆ กัน ยิ่งฝรั่งใครบอกว่าหมู บางคนแสบกว่าคนไทยอีก เรื่องไม่ดีๆ อย่างหนังสือก็อบ ของแบรนด์เนมก็อบ ยันบัตรนักศึกษาก็อบนี่ คิดถึงแต่บ้านเราแหละ ทั้งๆ ที่เจ้าตัวที่มาเสาะหา มันแย่ยิ่งกว่าอีกนะ

หนังสือบ้านตัวเอง แพงกว่านี้อีก ทีมาซื้อบ้านเราทำเป็นคิดมาก ไม่อยากคุยหรอกว่าคนไทยหัวดำๆ เวลาไปนอกช้อปกระจายยิ่งกว่าพวกฝรั่งขี้งก คิดเยอะพวกนี้ซะอีก ยิ่งพวกมองเราเหมือนเป็นตัวประหลาด ล้าสมัย ยิ้มเยาะแล้วไม่พูดอะไรนี่ อย่าได้เจอเชียว มีป้าบ...บบบบ


โดย: สกุลลัน วันที่: 19 มกราคม 2554 เวลา:23:43:18 น.  

 
ขอบคุณในคอมเมนท์ ขอบคุณครับ


โดย: jettajan (jettajan ) วันที่: 4 เมษายน 2554 เวลา:17:28:49 น.  

 
Just meet your blogs and it's so gooood.
many times i can feel your words,i mean i do my business as a small guest house on samsen rd. and
meet the people from around theworld with roi por pun mae..................555


โดย: Ha Dee IP: 125.25.45.17 วันที่: 3 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:27:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.