"สวัสดีค่า เจอกันอีกแล้ว เอาหนังสือมาแลกค่ะ" ภรรยาชาวไทยทักทายมา"สวัสดีครับ พี่มากี่เดือนครับปีนี้" ผมกล่าวทักทายไป"พี่กลับมาเมืองไทยปีละครั้งค่ะ ครั้งหนึ่งก็ 3 เดือน" เธอกล่าว"เล่มนี้คุณซื้อมาจากเมืองไทยเหรอ ที่นั่นขายหนังสือภาษาเยอรมันด้วยเหรอ ผมไม่เคยเห็นเลย" ผมชี้ไปที่สติ๊กเกอร์ราคาที่ปกหลังจากร้านหนังสือเชนสโตร์ชื่อดังที่เพิ่งถูกซื้อกิจการไปเร็วๆนี้"ถูกแล้ว ผมซื้อจากที่นี่แหละ เป็นร้านเดียวที่ขายหนังสือเยอรมัน และจากสาขาเดียวที่สุขุมวิทเท่านั้น สาขาอื่นไม่มีนะ ผมดูมาหมดแล้ว" หนุ่มเมืองเบียร์กล่าวยิ้มๆเธอขอนามบัตรของร้านไปเผื่อเช็คก่อนมาคราวหน้า ผมขอถ่ายรูปทั้งคู่เก็บไว้เป็นที่ระลึก ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดังบอก "ไม่มีปัญหา ผมแต่งงานกับเธอแล้ว นี่เป็นภรรยาของผม" ก่อนออกจากร้านไป ชายหนุ่มยังหันมาแซวน้องภรรยาด้วยว่าจะให้มาช่วยเป็นพนักงานทำความสะอาดร้านถ้าผมตกลง
หนุ่มแมทธิวนั้น ดูจะผูกติดกับบททนายไปแล้วไม่ว่าจะเป็น "A Time to kill - ยุติธรรมอำมหิต" หรือ "Amistad - หัวใจทาสสะท้านโลก" นอกจากนั้น ผมว่าน่าจะมีอีกหลายเรื่องเหมือนกัน โดยเฉพาะบทบาททนายว่าความในศาลยุติธรรม แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบมากก็คือ "The Crucible - ขออาฆาต ถึงชาติหน้า" โดยเฉพาะ "แดเนียล เดย์ลิวอิส" ในบทบาทของ "จอห์น พร็อคเตอร์" ที่แสดงได้ดี (สะใจคอซาดิสม์) พร้อมกับ "วิโนนา ไรเดอร์" ในบท "อบิเกล" ที่กลายเป็นนางแม่มดร้ายในประวิตศาสตร์เมืองเซเลมไป
หลังจากรื้อค้นลังวิดีโอที่เก็บสะสมไว้มาดูอีกรอบให้หายคิดถึง ... โดยความเห็นส่วนตัวของผม หลายๆฉากกลางโรงศาลจำเป็นนั้น สร้างแรงกดดันให้กับคนดูอย่างมหาศาล ฉากกลุ่มเด็กสาวแกล้งเป็นลมทั้งหมดนั้น ... ช่างเสแสร้งสิ้นดี แต่โดยอะไรสักอย่างที่ปิดบังสายตาของผู้พิพากษาเอาไว้ ทำให้มองไม่เห็นความเป็นจริงจนตัดสินลงโทษผู้บริสุทธิ์ ... ฉากที่ภรรยาของจอห์นเลี่ยงความจริงเรื่องความสัมพันธ์ของสามีกับอบิเกล จนกระทั่งทำให้กลายเป็นคนที่ถูกลงโทษเสียเอง ... รวมกระทั่งฉากสำคัญที่สองสามีภรรยาคุยกันริมน้ำ และสามีตกลงจะสมยอมว่าติดต่อกับซาตานเพื่อให้รอดชีวิตอยู่ต่อไป แต่ผู้พิพากษาศาลยังต้องการลายมือชื่อของจอห์นเพื่อยืนยันความจริงกับชาวบ้าน จนทำให้เจ้าตัวเปลี่ยนใจเพราะไม่ต้องการให้ชื่อของตัวเองแปดเปื้อนมลทินจากคำโกหกไปตลอดกาล และยอมตายเพื่อความสัตย์ ... "Hold me my name" - ปล่อยชื่อของข้าไว้ แล้วเอาชีวิตของข้าไปแทนขอเอาคำโฆษณาขนมทิวลีมาใช้ก็แล้วกัน ... "แน็ก ชอบมากกก"..........ปีก่อนนี้ คู่สามีภรรยาชาวเยอรมันอีกคู่หนึ่ง ก็เป็นลูกค้าที่น่าจดจำ สามีนั้นอ้วนใหญ่ ส่วนภรรยาก็รูปทรงดูดี ทั้งคู่น่าจะอายุใกล้ 50 แล้ว หลังจากคุ้ยๆดูที่ชั้นหนังสือไกด์บุ๊คเยอรมันได้มา 1 เล่มเป็นไทยแลนด์ของสเตฟาน ลูสประมาณปี 2006 หรือ 2007 จำไม่ได้ ในขณะที่สามีต่อราคาอย่างอารมณ์ดีชนิดกัดไม่ปล่อยและมีลูกล่อลูกชน ส่วนภรรยานั้นเธอยืนยิ้มอยู่ไกลๆตรงแป้นหมุนใส่แผนที่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินมาหัวเราะแล้วก็บอกกับผมว่า"เขาอันตรายมาก คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงเลือกเขา ... เพราะฉันรู้ว่าเขาจะดูแลครอบครัวของเราได้อย่างแน่นอน"ผมหัวเราะก๊ากแล้วบอกเธอไปว่า "ถูกแล้ว ถ้าผมเป็นคุณ ผมก็คงคิดเหมือนกัน"หลังจากต่อรองราคากันอย่างสนุกสนาน ก็ตกลงกันได้ในที่สุดพร้อมกับการเช็คแฮนด์หนักแน่นจากมืออวบใหญ่อย่างกับนักมวย"คุณต่อราคาหนังสือของผมขนาดนี้แล้ว คุณจะกลับมาขายคืนอีกไหมนี่" ผมพูดยิ้มๆพร้อมกับส่ายหน้า ถอนหายใจ"ไม่แน่นะ" ใบหน้าสีแดงยักคิ้วพร้อมกับหัวเราะขึ้นพร้อมกัน..........สัปดาห์ก่อนหน้านี้ก็เช่นกัน ลูกค้าหญิงเลือดเบียร์ร่างสูงใหญ่คนเดียว เดินเข้ามาถามหาไกด์บุ๊คบาหลี-ภาษาเยอรมัน ผมชี้ไปที่ไกด์บุ๊คของมาร์โคโปโล บาหลีปี 2008 ขนาดเท่าหนังสือสวดมนตร์สมัยเด็ก"ลดราคาได้ไหม มันเก่ามากแล้วนี่ ปีอะไรน่ะ" เธอถาม"ราคานี้ถูกแล้วครับ แถมมีเล่มเดียวด้วย ปี 2008 ... นี่ไง" ผมชี้ให้ดูปี ค.ศ. ด้านใน"โห งั้นมันก็อยู่ตรงนี้มาตั้ง 4 ปีแล้วสิ" เธอทำตาโต"เปล่านะ ร้านของผมเพิ่งตั้งมา 2 ปีกว่าๆ เล่มนี้มีลูกค้ามาแลกกับหนังสืออ่านไปก่อนปีใหม่นี่เอง" ผมอธิบายตามเนื้อผ้า"ก็ใช่ แต่มัน 4 ปีแล้ว แล้วมันจะอยู่อีกนานไหมเนี่ย" เธอถามยิ้มๆผมเริ่มเก็ท "คุณไซโคผมเหรอ ... ได้สิ ผมลดราคาให้ได้อยู่แล้ว เอ้า ว่ามา" ผมบอกแล้วยิ้มยิงฟันเธอยิ้มอย่างพึงพอใจในราคาที่ต่อรอง ส่วนผมก็ส่ายหน้ายิ้มๆเหมือนเดิม"เล่มนี้ผมไม่รับซื้อคืนครึ่งราคานะ" ผมบอกพร้อมทำหน้ามึน"ทำไมละ ... ร้อยเดียวก็ไม่เอาเหรอ" เธอหัวเราะ ถามมา"ม่ายเอา ... นี่ผมขอถ่ายรูปคุณกับหนังสือของผมหน่อยสิ" ผมตอบพร้อมถามไป"ทำไม ... คุณจะเอาไปประกาศไว้หน้าร้านว่า "ไม่ต้อนรับ" เหรอไง" เธอถามย้อนกลับมา"เปล่า ผมจะเอาไปอัพเดทในบล็อกน่ะ" ผมตอบพร้อมยกกล้องขึ้น"โน" เธอหัวเราะแล้วหันหลัง รีบจ้ำออกจากร้านไป ปล่อยให้ผมยืนกอดอกหัวเราะอยู่คนเดียว............... ดึกคืนนั้น ขณะผมกำลังจะปิดร้าน ชายหนุ่มผิวสีแต่งตัวประมาณแร็ปเปอร์ที่หลุดออกมาจากหนังฮอลลีวู้ดเดินเข้ามาในร้าน โยกตัวเล็กน้อยพร้อมกับยื่นแบงก์ 500 มาที่ผม ก่อนพูดไทยสำเนียงทะแม่งๆ"Can you change? แบ๊ง ... ร้อย ... มี ... ม้ายยย" หางเสียงลากยาวทองแดงผมชะงักนิดหนึ่ง แล้วอมยิ้มพร้อมหัวเราะในลำคอ ก่อนเปิดเก๊ะนับแบงก์สีแดง 4 ใบ "สี่ ... ร้อย ... ด่าย ... ม้ายยย"ไอ้หนุ่มส่ายหน้า "หม่าย ... ดายยย"ผมหัวเราะพร้อมกับรวบแบงก์ยี่สิบที่เหลือรวมให้ไปจนครบ ... ถึงแม้อากาศยามดึกจะอบอ้าวสักหน่อย แต่คืนนี้ใครบางคนคงหลับอย่างอารมณ์ดี