Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
13 มกราคม 2555
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน ข้าวสารกับก่อการร้าย

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน พบกันอีกเช่นเคยกับเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อย ในบรรยากาศของร้านหนังสือมือสอง ที่ขาย เช่า แลกเปลี่ยน หนังสือไกด์บุ๊คภาษาต่างประเทศ ทั้งโลนลีแพลนเน็ต ราฟท์ไกด์ รุทต๊าร์ด เปติท-ฟุต สเตฟาน-โรเซ และ .... ตลอดจนหนังสืออ่านของนักท่องเที่ยวที่พกติดตัวข้ามน้ำข้ามทะเลไปด้วยกัน

ผมเคยอ่านบทความจากไหนสักที่หนึ่งพูดถึงหนังสือที่ติดตัวนักท่องเที่ยวไปด้วยว่า มันเป็นหนังสือที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดีแล้วไม่ใช่หนังสือชวนหัว อ่านเล่นครึ่งชั่วโมงจบเล่ม หรือไม่ก็หนังสือวิชาการหนักๆสำหรับนักศึกษา คงไม่มีใครแบกเท็กซ์บุ๊ค ไปนอนอ่านชิลล์ๆบนชายหาดของเกาะแสนสวย ในทะเลแปซิฟิค หรือเอาแมกกาซีนดาราไปนอนไกวเปลอ่านอยู่ในป่าดงดิบแถบหมู่เกาะบอร์เนียว

แต่มันน่าจะเป็นหนังสือที่เหมือนเพื่อนที่คุณจะพาไปท่องโลกด้วยสักคนหนึ่ง คุณย่อมต้องไม่อยากพาเพื่อนห่างๆ ที่ทำตัวแย่ๆไปด้วย แต่น่าจะเป็นเพื่อนที่รสนิยมเดียวกัน ไปไหนไปด้วย เฮไหนเฮนั่น และพูดคุยในภาษาเดียวกันรู้เรื่อง

ผมเองนั้นไม่ค่อยได้เดินทางบ่อยนัก แต่สมัยเรียนอุดมศึกษาในกรุงเทพฯนั้น ก็มักจะมีหนังสือติดมือไว้นั่งอ่านบนรถ ปอ.6 บ้าง สาย 82 บ้าง หรือจนกระทั่งทำงานแล้วนั่งรถบริษัท รถตู้โดยสาร ก็ยังคงมีหนังสือติดกระเป๋าไว้อ่านบนรถเสมอมา ... (อันนี้ไม่แนะนำ สำหรับเยาวชนผู้มีสายตาปกติ มิได้ใส่แว่นนะครับ เพราะสายตาน่าจะสั้นได้ สำหรับผมเองนั้นก็รู้ แต่ช่วยไม่ได้แล้วเพราะสายตามันสั้นและต้องใส่แว่นตั้งแต่อยู่ ม.4แล้วครับ) ... นอกจาก "สิทธารถะ" หรือ "โจนาธาน นางนวล" ที่มักจะติดมือไปไหนมาไหนด้วยกันแล้ว มีอยู่เล่มหนึ่งที่สะดุดตาและชอบตั้งแต่แรกพบ แถมพออ่านแล้วก็สะดุดใจเช่นกัน มันคือ "บางสิ่งไม่เปลี่ยนไป ใจที่เปลี่ยนแปลง" ของคุณ "สมิทธิ ธนานิธิโชติ" (ขออนุญาตตัดข้อความบางส่วนจากหนังสือมาแบ่งกันครับ)

..... หลวงพระบางกับการเดินทางของผู้ชายคนหนึ่ง

หลวงพระบางอาจจะเปลี่ยนใครไม่ได้ในฉับพลันทันที แต่หลวงพระบางก็มีมนต์ขลังเฉพาะตัว ที่เรียกให้ผู้ไปเยือนต้องหวนคืนอีกครั้งเสมอ ที่สำคัญหลวงพระบางเหมาะจะเป็นหลักกิโลเมตรแรกๆ ของการเดินทางไกลของคนที่เริ่มจะแบกกระเป๋าขึ้นหลังด้วยความหวั่นใจ..

..ไม่ว่า เราจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ลึกๆ แล้วดูเหมือนว่า มีทางสายหนึ่งเรียกร้องให้เราเดินไปหาอยู่เสมอ บางคนอาจจะยังไม่ชัดเจนว่า เราจะไปหามันโดยวิธีการใดและด้วยเหตุผลเช่นไร แต่ด้วยประสบการณ์ของชายหนุ่มคนหนึ่ง ด้วยบางสิ่งไม่เปลี่ยนไป ใจที่เปลี่ยนแปลง อาจจะทำให้เราต่างมองเห็นหนทางและเหตุผลของเราชัดเจนขึ้นบ้าง

นั่นจะทำให้บางสิ่งของเราเริ่มต้นขึ้น .....



ไม่รู้เหมือนกันว่าสะดุดอะไรกันแน่ระหว่าง ชื่อหนังสือที่ตั้งได้ซึ้งกินใจ กับโค้งเว้าของหุ่นทรงแจกันบนปก

พูดแว้บๆถึงรถตู้ขึ้นมา ขออนุญาตแวะสัก 1 ย่อหน้านะครับ ... คือขอประกาศให้โลกรู้ด้วยความโล่งอกว่าตลอดชีวิตที่เดินทางโดยรถตู้กว่า 10 ปีก่อน ผมเคยเจอความฉุกละหุกอยู่ครั้งเดียวคือ รถตู้ยางแบนแถวๆ ม.กรุงเทพฯ เลยฟิวเจอร์ปาร์ครังสิตไปนิดหน่อย คนขับก็ประคองรถเข้าข้างทางและอำนวยความสะดวกโดยเรียกรถคันใหม่มารับเป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด สามารถมีชีวิตรอดปลอดภัยในระดับเดียวกับสายการบิน VIP แถวๆประเทศสารขันฑ์ อย่างที่เขาโฆษณาว่าในแต่ละวันนั้น มีเที่ยวบินเป็นร้อยเป็นพันเที่ยว ฉะนั้นนานๆตกทีถือว่าเป็นเปอร์เซนต์ที่น้อยมาก ... รถตู้ก็ปลอดภัยในระดับเดียวกันนะ แต่ละวันมีรถตู้วิ่งเป็นร้อยเป็นพันคัน มีชนตายบ้างนานๆที ทางกระทรวงอะไรๆที่เกี่ยวข้องหรือกรมไหนๆเขาคงดูแล้วว่าเป็นเปอร์เซนต์ที่น้อยมาก ก็เลยไม่หือไม่อือสักเท่าไหร่ ไม่มี พรบ.นิรโทษ ... เอ้อ ขอโทษ ... ไม่มี พรก. กู้ล้านล้าน ... เอ่อ ขอโทษอีกทีครับ ... ไม่มีการควบคุมอะไรใดๆเกี่ยวกับการขนส่งสาธารณะต้องรีบทำทั้งสิ้น มีแต่รถไฟฟ้าสายสีต่างๆที่ต้องรีบตักตอนน้ำขึ้น ... ก็ปล่อยให้เป็นคุณภาพชีวิตสไตล์ไทยแลนด์กันต่อไป ... โชคดีจริงๆที่ผมไม่มีความจำเป็นใดๆต้องใช้รถตู้อีกแล้ว ก็ขออวยพรให้ทุกท่านที่ยังคงต้องเดินทางโดยรถตู้มีชีวิตการเดินทางที่ปลอดภัย มีเรื่องฉุกละหุกตกใจได้บ้างนิดหน่อยแต่พองามนะครับ ... สาธุ

กลับมาที่ร้านหนังสือดีกว่า ในสภาพอากาศ "ร้อนแล้วจ้า" หลังปีใหม่มาได้ 2 สัปดาห์ ในขณะที่ยุโรป อเมริกา เกาหลี นั้น หนาวเย็น+หิมะตก ส่วนออสเตรเลียกลับร้อนแห้ง ทำให้ไทยแลนด์และเพื่อนบ้านแถบเอเชียกลายเป็นสวรรค์สำหรับหลบภัยจากสภาพอากาศในไฮซีซัน ... แต่การท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ก็ยังคงเจอเวรกรรมกับข่าวเตือนภัยก่อการร้ายในช่วงวันเด็กอยู่ดี

วันศุกร์เย็น ผมกลับจากทำงานมาเจอรถติดจากงานฉลอง 175 ปีวัดบวรนิเวศวิหาร รวมกับรถฉลามบกเปิดไซเรนพร้อมด้วยตำรวจสวมเสื้อเกราะ เดินขวักไขว่เต็มถนนหน้าโรงพักชนะสงคราม หนุ่มแจ็ค-พ่อค้าเสื้อยืดข้างร้านก็ปิดเงียบไปก่อนแล้ว พร้อมๆกับร้านขายกระเป๋าเดินทางถัดไปอีก 3-4 ห้องก็เช่นกัน

13-14-15 เป็นเวลา 3 วัน กับ 12 ประเทศที่ประกาศเตือนภัยก่อการร้าย ทำให้นักท่องเที่ยววูบหายไป ทั้งพ่อค้าแม่ค้าก็บางตาลงกว่าปกติ ... หึ หึ สารวัตรท่านบอกว่า ไม่ต้องห่วงเมืองไทยนั้น เป็นแค่ทางผ่านสำหรับนัดแนะ วางแผน เท่านั้น คนไทยเราน่ารัก เขาไม่มาตีกันหรือทำอะไรรุนแรงในบ้านเราหรอก ... เหมือนกับกลัวว่าจะไม่มีเขตปลอดภัยให้มาพักผ่อนกัน นึกถึงประมาณ ฉนวนกาซาที่ยิวกับปาเลสไตน์ตีกันไม่จบสักที ดูท่าเราคงจะเป็นที่ให้ เสือ สิงห์ กระทิง แรด เหล่านี้มาพักรบ นัดพบกันวางแผน ฟอกเงิน หรือ ... กันต่อไป ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี



ตรวจเข้ม - เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินตรวจตราถนนข้าวสาร แหล่งท่องเที่ยวดังของกรุงเทพฯ อย่างเข้มงวด หลังสถานทูตสหรัฐออกประกาศเตือนภัยก่อการร้ายในเมืองหลวงของไทย เมื่อวันที่ 13 ม.ค.

พูดถึงก่อการร้าย วันก่อนนี้ลูกค้า 2 สาวชาวยิวก็เจอก่อการร้ายเหมือนกัน วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ เธอทั้งคู่เข้ามาในร้านพร้อมกับซื้อโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์มือสองไป 1 เล่ม หลังจากชำระเงินค่าหนังสือแล้ว สาวยิวผมทองก็เอ่ยถามผมขึ้นมาว่า

"คุณรู้ไหมว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอยู่ที่ไหน"

ผมพยักหน้าพร้อมถามกลับไป "รู้สิ สำนักงานอยู่ที่ ถ.ราชดำเนิน ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่ ว่าแต่คุณจะไปทำอะไรรึ วันนี้มันน่าจะปิดนะ เพราะเป็นวันอาทิตย์ สถานที่ราชการน่าจะหยุดทำงาน"

"เราซื้อแพ็คเกจทัวร์จากที่นั่น แล้วเรามีปัญหาอยากจะไปคุยกับเขาเรื่องเงินที่เราจ่ายน่ะ เราคิดว่าจะไปคุยกับเขาพรุ่งนี้" เธออธิบาย

ผมขมวดคิ้วงงๆ "ใช่เหรอ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยขายทัวร์ด้วยเหรอ คุณเข้าใจผิดหรือเปล่า"

"ใช่สิ เรายังมีใบเสร็จอยู่นี่เลย" หนึ่งในสองหยิบใบเสร็จให้ดู

"ทำไมล่ะ คุณมีปัญหาอะไรเหรอ" ผมถามขณะที่คลี่ใบเสร็จออกพร้อมดูรายละเอียด มันคือใบเสร็จของบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง อยู่แถวข้างกระทรวงศึกษาธิการ (ถ้าจำไม่ผิด)

"คือเราซื้อแพ็คเกจทัวร์สัปดาห์หน้าจากที่นี่ในราคา 17000 บาทต่อคน โอนเงินเรียบร้อยแล้วทางอินเตอร์เน็ต แต่เราเจอเพื่อนนักท่องเที่ยวคนหนึ่งซึ่งเดินทางเหมือนกันเลย แต่ราคาแค่ 11000 เอง เราเลยอยากจะไปขอเงินคืน" คนเล่าหน้านิ่วคิ้วขมวด

ผมเม้มปาก "เข้าใจล่ะ ผมอธิบายให้ฟัง ไอ้ที่คุณติดต่อเนี่ยนะ มันไม่ใช่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยนะ มันเป็นบริษัททัวร์ทั่วๆไป ที่ชื่อมันคล้ายกันเท่านั้นเอง แล้วก็มันน่าจะเปิดทำงานปกติ เดี๋ยวผมโทรเช็คให้ ถ้ายังไงคุณอาจจะได้คุยกับเขาวันนี้เลยก็ได้"

2 สาวตาโต "จริงเหรอ ดีจริง ขอบคุณมาก"

ผมโทรไปตามเบอร์โทรศัพท์ในใบเสร็จ ก่อนถามทางปลายสายว่ามีลูกค้าต่างประเทศจะไปหาที่บริษัท วันนี้เปิดทำงานหรือไม่ พร้อมกับที่อยู่โดยละเอียด

"เรียบร้อยแล้ว บริษัทนั้นเปิด คุณไปคุยวันนี้ได้เลย ... ว่าแต่ถามจริงๆ คุณคิดว่าคุณจะได้เงินคืนจริงๆเหรอ จากการไปคุยวันนี้" ผมเลิกคิ้วถามไป

"เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าอย่างน้อยเราควรจะได้ส่วนลดบ้างก็ยังดี" คนผมทองตอบมาเบาๆ

ผมพาทั้งคู่เดินออกไปเรียกรถสามล้อ พร้อมกับที่ 2 สาวต่อรองราคากัน โดยที่เรียกราคาให้รถสามล้อรอ 15 นาทีพร้อมรับกลับมาที่ถนนข้าวสารด้วย ... ในใจเกิดคำถามที่ไม่มีคำตอบหลายข้อ จ่ายเงินแล้ว อ้อยเข้าปากช้างแล้ว จะยอมคืนเหรอ / 15 นาทีสำหรับต่อรองแลกกับ ส่วนต่างคนละ 6000 บาท รวมเป็น 12000 บาท ผมว่าน่าจะต้องใช้กำลังภายในกันมากกว่านั้นมั้ง / เอาชื่อของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไปอ้าง อย่างที่เห็นเคยประกาศห้ามในทีวี ไม่ดีนะ เสียชื่อเสียงไปทั้งประเทศนะ / แล้วเอากำไรส่วนต่าง 30-40 เปอร์เซนต์ขนาดนี้ มันมากไปหรือเปล่า มันเหมือนกับการทุบหม้อข้าวตัวเองนา ... เคยอ่านฟอร์เวิร์ดเมล์คนได้รับรางวัลแพ็คเกจท่องเที่ยวราคาหลายแสนจากห้างสรรพสินค้า พอไปจริงถามคนข้างๆที่มาด้วยกันในกรุ๊ปทัวร์ ราคาแค่หลักหมื่น แถมพอกลับมาแล้วยังต้องเสียภาษีอีกตั้งหลายตังค์ เพราะทางห้างแจ้งไว้เป็นรายได้ของคนรับรางวัลตั้งหลายแสนบาท (สรุปคือ ทางห้างซื้อแพ็คเกจทัวร์ราคาถูกมาแจกเป็นรางวัลราคาแพงมาก โดยที่ห้างเอาไปหักค่าใช้จ่ายได้ แต่คนรับรางวัลซวยไปเพราะรับรางวัลราคาถูกในนามราคาแพง แถมต้องเสียภาษีในอัตราแพงอีกต่างหาก) ... อย่างนี้มันก่อการร้ายชัดๆ

..........

ก่อการร้ายครั้งล่าสุดที่เจอในร้านคือคริสมาสต์อีฟที่ผ่านมา ลูกค้าเก่าหนุ่มใหญ่จากเยอรมันที่โดนก่อการร้ายหัวใจ พ่อหนุ่มแวะมาทักทายผมที่ร้าน หลังจากที่หายหน้าไปประมาณ 1 ปี ผมบอกให้เขาอยู่เที่ยวงาน "Miracle smile @ Thailand" ที่ถนนข้าวสารก่อน 2 วัน แต่ลูกค้าปฏิเสธ บอกว่ามีนัดไว้และพรุ่งนี้เย็นจะเดินทางออกจากกรุงเทพฯ ไปต่ออีก 1 เดือนก่อนจะกลับมาเมืองไทยอีกที พร้อมกับเอาหนังสือโลนลีแพลนเน็ตไทยแลนด์ที่ใช้อยู่มาขายให้

วันรุ่งขึ้นตอนบ่ายแก่ ขณะที่ผมนั่งหนวกหูอยู่กับวงดนตรีที่ขึ้นซ้อมบนเวทีก่อนแสดงจริงตอนค่ำ ลูกค้าหนุ่มใหญ่ก็กลับมาที่ร้าน พร้อมกับนั่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ผมจึงถามไปว่ารถออกกี่โมง ต้องเช็คดีๆนะ เพราะวันนี้มีงานปิดถนน ระวังจะตกรถ

"ผมไม่ไปแล้วล่ะ" เสียงตอบมาพร้อมหน้าเศร้า

"เอ้าทำไมล่ะ เปลี่ยนแผนเร็วจัง" ผมเลิกคิ้วถาม

ลูกค้าเลือดเบียร์ร่ายยาวให้ฟังว่า แฟนสาวของเขาไม่มาตามนัด เธอเป็นนักร้องชาวอิตาลี ซึ่งเขาเพิ่งจะแยกจากเธอมาเมื่อสัปดาห์ก่อน เพื่อเดินทางล่วงหน้ามาเมืองไทย โดยทั้งคู่นัดเจอกันอีกทีที่กรุงเทพฯ ก่อนจะใช้เวลาท่องเที่ยวด้วยกัน ทั้งคู่คบหาดูใจกันมา 3 ปีแล้ว เขาใช้คำว่า "เราอาศัยอยู่ด้วยกัน นอนห้องเดียวกัน" เธอชื่อมาเรีย เธอโทรมาบอกเลิกกับเขาในวันคริสต์มาส

"มาเรียบอกว่า เธอมีชายคนใหม่แล้ว ... เธอทำอย่างนี้ได้ไง ทั้งๆที่อาทิตย์ที่แล้วในอิตาลี เรายังอยู่ด้วยกันเลย" ลูกค้าหนุ่มเอ่ยพร้อมน้ำตาคลอ

"แล้วคุณรู้ไหม ผมไม่ชอบคริสต์มาส ผมไม่ชอบงานรื่นเริงในวันนี้ เพราะแม่ผมตายตอนวันคริสต์มาส ผมเสียใจเสมอทุกปีเมื่อถึงวันนี้ ผมพยายามจะเลี่ยงจากงานเฉลิมฉลองในวันนี้ของทุกปี เธอเองก็รู้ แต่เธอกลับบอกเลิกกับผมในวันเดียวกัน เธอแย่จริงๆ"

"คุณแน่ใจเหรอว่า ไม่ได้ฟังผิด เธออาจจะแค่ติดธุระด่วนมาไม่ได้ละมัง" ผมถามไป

"ไม่หรอก เรานัดกันไว้แล้วเรียบร้อย ... แต่เธอบอกแบบนี้ จะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ ผมต้องเปลี่ยนแผน เสียเงินหลายร้อยยูโร บินไปหาเธอที่อิตาลีงั้นเหรอ" ตาเริ่มแดง

"เรื่องอย่างนี้ต้องใช้เวลานะ ตอนนี้คุณทำอะไรไม่ได้หรอก ลองโทรไปถามดูอีกทีก็ได้ แล้วถ้ามาเรียยืนยันอย่างนั้นจริงๆ คุณก็ลองคิดให้ดีก่อน ค่อยหาโอกาสคุยกับเธอ 2 คนวันหลังน่าจะดีกว่า" ผมพยายามเต็มที่

ลูกค้าหนุ่มขออนุญาตผมใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อส่งเมล์ไปหามาเรีย พร้อมกับส่งภาพตัวเองที่ถ่ายมาโดยกล้องดิจิตอลไปหาญาติของเขาที่เยอรมัน หลังจากเราคุยกันอยู่เกือบชั่วโมง

"คุณมองดูที่นี่สิ หญิงสาวเยอะแยะ ผมสามารถหาหญิงสาวมาเป็นคู่ควงได้มากมายที่นี่ ทั้งคนไทย ทั้งคนต่างชาติ แต่ผมกลับต้องมาเสียใจในขณะที่ผู้คนมากมายมีความสุขกัน" ลูกค้าหนุ่มเอ่ยเบาๆ

"ผมขอบคุณมากนะ ที่คุณช่วยผมและสละเวลาให้ผมในวันนี้ คุณมีน้ำใจจริงๆ" ลูกค้ายื่นมือมาสัมผัสพร้อมเอ่ยขอบคุณ

"ไม่เป็นไร คุณค่อยๆคิดแล้วกันว่าจะทำอะไรต่อ" ผมสัมผัสมือตอบ

"คุณจะเอาหนังสือโลนลีแพลนเน็ตเล่มนี้ไว้เลยไหม" ถามพร้อมยื่นหนังสือมาให้

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ "ยังดีกว่า คุณเก็บเอาไว้ก่อน แผนคุณเปลี่ยนนี่นะ คุณอาจจะจำเป็นต้องใช้มัน"

ผมเดินไปส่งที่หน้าร้าน พร้อมโบกมือลา ก่อนที่ลูกค้าหนุ่มจะเดินลับหายไป เสียงซ้อมเพลงยังดังก้องจากเวทีหน้าร้าน เพลงอะไรผมไม่รู้ แต่ท่วงทำนองที่ก้องอยู่ในหัว คือ เพลง "Last Christmas" ของ Wham ที่ออกมาตั้งแต่ปี 1984

" Last Christmas
I gave you my heart
But the very next day, you gave it away
This year
To save me from tears
I'll give it to someone special ... "




Create Date : 13 มกราคม 2555
Last Update : 16 มกราคม 2555 21:26:50 น. 0 comments
Counter : 1459 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.