Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2556
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
20 กรกฏาคม 2556
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Khaosan New Look

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งกับเรื่องเล่าเรื่อยเปื่อยจากร้านหนังสือในข้าวสาร ร้านหนังสือเล็กๆ ธรรมดาๆ ที่สุดปลายถนนข้าวสาร ซึ่งเพิ่งจะเปลี่ยนมุมมองใหม่ให้ไฉไลกว่าเดิมเมื่อไม่กี่วันก่อน ทำเอารู้สึกสดชื่น สดใส ในอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง ต้องชักภาพมาฝากกันเป็นที่ระลึกให้ได้ดูกันจะจะ

จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ผมยิ้มแต้มแก้มแต่เช้าอยู่หน้าร้าน ต้องเดินกลับเข้าไปเอากล้องมายืนกดชัตเตอร์ พร้อมกับจ้องมองนิ่งๆอยู่หลายนาที โดยข้างๆเป็นหนุ่มฝรั่งคนหนึ่งสะพายกล้องถ่ายรูปอยู่ตรงหน้าประตูทางรถออกของวัดชนะสงครามใกล้ๆกัน ชายหนุ่มกดชัตเตอร์อยู่หลายครั้ง ท่าทางว่าจะต้องการเก็บภาพถนนข้าวสารยามเช้าเป็นที่ระลึก โดยที่ยังไม่รู้สึกกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผมเลยเดินเข้าไปชวนคุย

"ยูกำลังเก็บภาพถนนข้าวสารใช่ไหม" ผมถามทักทายไป

"ใช่ ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก" ชายหนุ่มชูกล้องในมือให้ดู ภาพที่ถ่ายค้างไว้หน้าจอ

"ยูโชคดีมากนะ วันนี้เป็นวันแรกที่ภาพวิวหน้าถนนข้าวสารเปิดโล่งขนาดนี้" ผมพูดแล้วชี้นิ้วให้ดูหน้าถนนเทียบกับบริเวณด้านข้างมุมสูง

"อ้อเหรอ โชคดีจริง ถ้างั้นต้องเก็บภาพเพิ่มอีกหน่อย ขอบคุณนะ" ชายหนุ่มโบกมือให้พร้อมกล่าวขอบคุณ แล้วหันไปกดชัตเตอร์เพิ่ม


ข้าวสารมุมใหม่ ไร้สายไฟเกะกะสายตา


มุมนี้ดูโอ่โถงโล่งโจ้งดีจริงๆ ... เอ๊ะ มองไกลๆ พร้อมทำตาเบลอร์ๆข้างหนึ่ง ดูเหมือนไม่ใช่เมืองไทยแฮะ ออกไปทางตะวันตกนิดๆ จะเบอร์ลินก็ไม่ใช่ จะมาดริดก็ไม่เชิง ... อิ อิ


แต่ตอสายไฟ-สายโทรศัพท์ที่เหลือ จะกลายเป็นสารแขวนลอยอยู่อย่างนั้นหรือเปล่าก็ไม่รู้ (วันก่อนผมยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าร้าน ก็ยังเห็นฝรั่งกลุ่มหนึ่งมายืนดู ชี้มือชี้ไม้ พร้อถ่ายภาพไปที่สายไฟแขวนลอยที่ยังค้างฟ้าอยู่อย่างนั้น ปนหัวเราะกันอยู่คิกคัก)

ภาพหน้าถนนข้าวสารมุมมองใหม่ เปิดโล่งสบายตาเนื่องจากเสาไฟฟ้าถูกถอดออกไป สายไฟถูกจับยัดลงท่อใต้ดิน ผมไปถามพนักงานที่กำลังดำเนินการอยู่ได้ความว่า เป็นโครงการของ "กทม" ที่ให้ย้ายทั้งสายไฟและสายโทรศัพท์ลงใต้ดิน ตลอดช่วงถนนข้าวสาร เพื่อให้ทัศนียภาพของบริเวณถนนข้าวสารนี้ดูดีขึ้น สอดคล้องกับตอนช่วงเช้ามืดที่มีเสียงทำอะไรกันอยู่ข้างนอก พอผมเปิดม่านหน้าต่างดูก็เห็นรถบรรทุกยาวๆ ขนเสาไฟฟ้าออกไปหลายต้น เสียดายแต่ว่าระยะทางที่รื้อสายไฟออกนั้น ไม่ได้กินลามไปถึงร้านกาแฟสตาร์บัคส์หน้าโรงแรม "บ้านชาติ" ไม่งั้นลูกค้าร้านกาแฟคงจะแฮปปี้มากกว่านี้ เพราะถ่ายรูปออกมาได้สวยใสไร้แถบดำๆคาดอยู่หน้าตึก (เวลายืนถ่ายรูปจากฝั่งวัดชนะสงคราม)

ใกล้กันนั้น ร้าน "Subway" ก็ย้ายไปแล้วเปลี่ยนเป็นร้านทัวร์ ป้ายโฆษณาภาษาฮีบรูตัวเบ้อเร่อ พร้อมๆกับมีเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้บริการอินเตอร์เน็ต วันก่อนเดินผ่านแว๊บๆเห็นมีตู้ขายเบเกอรีด้วย และที่ติดๆกันก็เป็นร้านขายของตบแต่งประเภทโคมไฟ เวลาเดินผ่านตอนค่ำๆเห็นไฟสว่างจากโคมที่เปิดด้านในร้านสวยน่าดูดี

ส่วนร้านอาหารญี่ปุ่น "Taketei" ตรงมุมโค้งด้านในซอยรามบุตรีติดกับบริษัทลมพระยาก็ปิดไปแล้ว พอดีผ่านไปถามเพราะเห็นคนงานหลายคนกำลังก่อสร้างตบแต่งร้านใหม่ ต้องรอดูหน้าตากันอีกทีว่าจะออกมาเป็นร้านอะไร เห็นพ่อค้าข้างๆบอกว่าร้านเดิมย้ายไปสุขุมวิท คงจะขายดีร่ำรวยเลยอัพเกรดร้านไปหาลูกค้าฝรั่งกระเป๋าหนัก ขอแสดงความเสียใจกับลูกค้าขาประจำด้วยนะครับ เพราะเห็นลูกค้าพูดถึงในเน็ตเยอะเหมือนกัน

... แต่หัวมุมฝั่งตรงข้ามที่ชั้นล่างเป็นร้านอาหาร ชั้นบนเป็นโรงแรมโฟร์ซันก็เปลี่ยนไปแล้ว กลายเป็นไก่ทอดเกาหลีอะไรสักอย่างนี่แหละ ไม่รู้จะสู้ไก่ทอดป้าเล็กแถวบ้านได้ไหม น่องละ 19 บาท


"Kyochon" - เคียวโชน ไก่ทอดเกาหลีที่นำขบวนสู่ถนนข้าวสาร ตรงมุมโค้งทะลุออกซอยรามบุตรี ตรงข้ามออฟฟิศของลมพระยา ... รูปนี้ถ่ายไว้ช่วงก่อน ป่านนี้คงทำเสร็จแล้วครับ

ค่ำวันก่อน ได้มีโอกาสคุยกับป้าขายข้าวโพดปิ้งหลังวัด ผมเห็นแกอยู่ที่นี่มานานแล้วตั้งแต่เด็กๆ ระหว่างรอเอารถเข็นออกมาจอดที่ทำเลประจำ คือหน้าประตูวัดด้านทางออกรถซึ่งปกติจะปิดตอนสองทุ่ม ถ้าออกมาจอดก่อนจะเป็นการขวางทางเข้า-ออกของรถ ... ปกติแกขายข้าวโพดกะดึก เพราะมีที่จอดรถเข็นสบายดี ไม่ต้องเจอแดดร้อน แก่แล้ว-ขายของสมบุกสมบันนักไม่ได้ ลูกสาวให้ขาย 20 ฝักพอ ราคาฝักละ 25 บาท ลูกค้าเป็นฝรั่งซะส่วนใหญ่ ขายเสร็จหมดก็เข็นรถกลับบ้านนอนเลย ... ค่าข้าวโพดวันละ 500 บาท เดือนหนึ่งก็ 15000 บาท เท่ากับเงินเดือนปริญญาตรีพอดี

แกเล่าให้ฟังว่าญาติเป็นก้อนเนื้อร้าย สงสัยว่าเป็นเพราะกินไก่ปิ้งมากไป เพราะพ่อแม่ซึ่งเป็นญาติกันก็ขายไก่ปิ้งให้กินไก่ปิ้งตั้งแต่เด็ก อาหารอย่างอื่นสมัยนี้ราคาก็สูงขึ้นสู้ไม่ไหว เดี๋ยวนี้แกกินก็แต่ผักลวกกับน้ำพริกพออยู่ได้ ก่อนหน้านี้แกก็มีรถเข็นทำอาหารขายมาหลายอย่างสารพัด ... นี่คือส่วนหนึ่งของบทสนทนาที่คุยกัน ผมจะเล่าให้ฟัง

"เอ้อ ป้า ผมถามหน่อยสิ บางทีตามตลาดนัด ผมเห็นแม่ค้าขายปลาหมึกย่างไม้ละ 10 บาท ลูกค้ามุงกันเต็มยังกะแจกฟรี ปลาหมึกนั่นมันถูกและดีจริงๆเหรอ" ผมปุจฉา

"ทำน้ำจิ้มรสชาติดีๆก็ขายได้กำไรนะ ทำไมเหรอ" ป้ายิ้มพร้อมรอยย่นแห่งประสพการณ์

"ผมไม่แน่ใจว่าปลาหมึกมันสดดีจริงหรือเปล่าน่ะ ขายถูกขนาดนั้นได้ เคยเห็นบางร้านปลาหมึกย่างทั้งตัวก็ไม้ละ 30-40 บาทแล้ว คือผมพอดูกุ้งสดได้ ถ้าไม่สดมันจะนิ่มๆ บางทีหัวมันจะหลุดออกมา ถ้าเป็นปลาสดนี่ ตาจะใสๆ ไม่ขุ่น แต่ปลาหมึกนี่ดูไม่ออก ถ้าไม่สดนี่มันน่าจะนิ่มๆ แต่พอเอาขึ้นเสียบไม้ย่างแล้วดูยากเข้าไปอีก" ผมถามต่อพร้อมเผยความรู้ความชำนาญเท่าหางอึ่ง

"อ๋อ ปลาหมึกย่างนี่ถ้าไม่แน่ใจก็เลี่ยงไปคุณ ป้าเคยขายนะ ตอนไปรับปลาหมึกมาเขาจะให้ยาใส่ซองมาด้วย เอามากวนๆผสมปลาหมึก ฟองขึ้น-แล้วเวลากินนะ เนื้อมันจะเหนียวเป็นหนังยางเลย ขายหมดไม่เหลือ เพราะเนื้อมันไม่เสีย" ป้าเล่าพร้อมบรรยายท่าทางกวนปลาหมึกในถัง

"ฟอร์มาลิน ใช่ไหมป้า ไอ้ที่มันฉีดศพน่ะ" ผมเอ่ยชื่อยาออกไปเตือนความทรงจำ ในห้องแล็บเคมี เรารู้จักมันในนามของ "ฟอร์มาลดีไฮด์" มันเป็นสารอัลดีไฮด์ตัวแรกในสูตร มีคาร์บอนตัวเดียวเป็นองค์ประกอบ

"ใช่ๆ ฟอร์มาลิน นั่นแหละๆ" ป้าพยักหน้าจำชื่อได้ "ตอนขายก็ทำน้ำจิ้มให้มันรสจัดๆนะ โอ๊ย เท่าไหร่ก็ไม่เหลือ" ผมเคยสังเกตุดู จะเห็นเด็กเล็กมักจะคายออกเพราะปลาหมึกมันเหนียว ฟันเด็กอาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะเคี้ยวเนื้อปลาหมึกอาบยาให้ขาดออก "เนื้อเหนียวเป็นหนังยาง" ของป้าน่าจะจริง ... ผมคิดดีใจไปกับลูกค้าด้วยที่ป้าแกเลิกขายปลาหมึกย่างรถเข็นไปนานแล้ว เปลี่ยนมาขายข้าวโพดปิ้งแทน แต่สำหรับแฟนพันธุ์แท้ปลาหมึกย่างรถเข็นเจ้าอื่นก็ฟังๆไว้บ้างก็แล้วกันนะครับ อิ อิ

นอกร้านมาซะนาน แวะเข้าร้านหน่อยละกันครับ แต่วันนี้เป็นเรื่องของโปสการ์ดที่ลูกค้ามาฝากส่งที่ร้าน ชุดแรกเป็นโปสการ์ดภาพปราสาทหินนครวัดจากกัมพูชา วิวสวย ภาพมุมกว้าง ตอนมานั้นมาแบบเป็นแผ่นติดกันมาในแนวตั้งรวดเดียว 10 แผ่น ต้องมาตัดเอาเอง ผู้ผลิตโปสการ์ดที่กัมพูชาไม่ได้ปั๊มจุดประมาให้ด้วย มีแค่พิมพ์เส้นมาให้เล็งตัดกันเอาเอง ... เมืองไทยผมไม่ค่อยจะเคยเห็นครับ ที่เป็นแผงติดกันมาแบบนี้

ชุดโปสการ์ดที่ติดเป็นแผงจากกัมพูชาข้างบ้านเรา

แต่ลูกค้าหนุ่มสาวอีกคู่หนึ่งที่มาฝากส่งโปสการ์ดกลับเลือกใช้โปสการ์ดที่แตกต่างออกไป เปิดร้านมา 4 ปีกว่าแล้ว เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เห็นลูกค้าฝรั่งเลือกทำโปสการ์ดแบบเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่ค่อยจะเห็นบ่อยนัก (จริงๆแล้ว ไอเดียคนทำโปสการ์ดนั้นหลากหลายมาก และช่างภาพมืออาชีพคนไทยก็น่าจะมีอยู่) ภาพบนโปสการ์ดดูออกว่าถ่ายจากกล้องถ่ายรูปธรรมดานี่เอง ความละเอียดกี่พิกเซลผมไม่แน่ใจ แต่ให้อารมณ์ภาพออก "จริง" ในบรรยากาศแบบสดๆ โดยไม่ต้องปรุงแต่ง และไม่ใช่งานพิมพ์สำเร็จรูปด้วย แต่มันเป็นภาพที่ถ่ายแล้วปริ้นท์ลงบนกระดาษอัดรูปแบบสมัยก่อน ใช้กระดาษ "โกดัก" ให้ความรู้สึกเป็นโปสการ์ดนิวลุค ที่น่าจะเรียกรอยยิ้มจากผู้รับปลายทางได้เหมือนกัน


รูปที่ถ่ายแล้วปริ้นท์ลงบนกระดาษ ส่งเป็นโปสการ์ด บ่งบอกความ "ติสต์" ของผู้ส่งเป็นอย่างดี

ด้านหลังภาพ-โปสการ์ด ลายน้ำของ "Kodak" หนึ่งในความทรงจำก่อนยุคดิจิตอล

เจตตจัน

085-8035412

087-0719858

jettajan227@yahoo.com

ปล. สุดสัปดาห์ก่อน ตอนผ่านตลาดนัดตอนค่ำๆแถวบางบัวทองอยู่ทีหนึ่ง ทนความเย้ายวนในกลิ่นหอมของคอเลสเตอรอลเสียบไม้ย่างบนรถเข็นไม่ได้ เลยไปเข้าแถวต่อคิวซื้อไปชิมซะ 2 ไม้ ... อืม เนื้อมันเหนียวเป็นหนังยางจริงๆด้วยแหละ SmileySmileySmiley




Create Date : 20 กรกฎาคม 2556
Last Update : 20 กรกฎาคม 2556 18:16:29 น. 1 comments
Counter : 1525 Pageviews.

 
thx u crab


โดย: Kavanich96 วันที่: 21 กรกฎาคม 2556 เวลา:5:32:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.