Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
30 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Men are from Mars, Women are from Venus

สวัสดีครับ ยินดีที่ยังมีชีวิตอยู่ และได้มาเขียนบล็อกอีกครั้ง

ร้านหนังสือยังเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวผู้ต้องการใช้ไกด์บุ๊คภาษาต่างประเทศอยู่ ทั้งหนังสือใหม่และมือสอง

วันนี้ดึกมากแล้ว ลูกค้าหนุ่มผิวสีจากมาเลเซีย เข้ามาเพื่อถามหาเฟรสบุ๊คไทย-อังกฤษ ผมยื่นให้เลือกหลายฉบับ ทั้งของโลนลีแพลนเน็ต / เบอร์ลิทซ์ / Practical Thai ของบุ๊คเน็ต และอย่างอื่นอีก 4-5 เล่ม แต่ปรากฏว่าลูกค้าพอใจ "Thai Phrase Book with Tones" ของ Aaron Handel ซึ่งเจ้าตัวใช้ชื่อไทยว่า "คุณอรุณ"



ฉบับพิมพ์ใหม่ล่าสุดมีการเพิ่มบทที่ว่าด้วย การบอกรักในภาษาไทยเข้ามาด้วย

ลูกค้ามาเลย์บอกว่าเลือกเล่มนี้เพราะ มีการบอกรายละเอียดเรื่องการออกเสียงวรรณยุกต์ด้วย เพราะเขาพอรู้ว่าภาษาไทยมีรายละเอียดที่แตกต่างตรงจุดนี้ เช่น ใหม่ (New) / ไม่ (No) / ไหม้ (Burn) / ไม้ (Wood) / ไหม (Silk) ซึ่งถ้าเขียนเป็นภาษาคาราโอเกะ ก็ "MAI" อย่างเดียว

หลังจากนั้นเขาบอกว่าอีก 2-3 วันจะกลับมาเลเซียแล้ว ปลายปีอาจจะมาอีกที พร้อมกับเอาพาสปอร์ตมาโชว์ให้ดูว่าเขาล่าอิมมิเกรชันแสตมป์มาได้เยอะแค่ไหน ผมดูไปก็ยิ้มไปแสดงความชื่นชมหลักฐานการเดินทางของลูกค้า

"ผมจะหารถไปสนามบินได้ที่ไหน ในคู่มือบอกว่าเป็นรถเบอร์ AE-2" หนุ่มมาเลย์ถามมา

"อ๋อ Airport Express - 2 : Suvanabhumi - Khaosan Rd." ผมอธิบายบอกจุดจอดรถพร้อมราคา 150 บาท เริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 5 ทุ่มครึ่ง ... ผมบอกได้ละเอียดเพราะมีนักท่องเที่ยวถามเกือบทุกวัน จนผมต้องเดินไปขอโบร์ชัวร์มาดูจากเคาน์เตอร์จนได้



Airport Express Bus

"ขอบคุณมาก แล้วคุณช่วยแนะนำผมหน่อยสิ คือ ผมมีเวลาว่างอีก 1 วันก่อนเดินทางกลับ ผมอยากไปเห็นทะเลที่ใกล้ที่สุด ไป-กลับภายใน 1 วันมีไหม" หนุ่มมาเลย์ถามต่อ

"คุณอยากดูอะไร แบบไหนล่ะ เดินทางยังไง" ผมถามคร่าวๆ จะได้แนะนำได้ถูก

"ก็ไปเช้า กลับเย็น มีทะเล" เสียงตอบไม่ค่อยแน่ใจ

ผมคิดในใจ "อืมมม ช่างละเอียดเพิ่มขึ้นมากเลย" เห็นท่าจะไม่ได้ความ ผมเลยถามเองดีกว่า "คุณไปคนเดียว ใช่ไหม / ผจญภัยหรือเปล่า / ดูธรรมชาติหรือเปล่า"

"ใช่ ผมไปคนเดียว แค่เดินดู / ถ่ายรูป / ชายหาด-เกาะ" หนุ่มมาเลย์ตอบชัดเจน

"ดื่มอัลกอฮอล์ไหม / ดูโชว์กลางคืนหรือเปล่า" ผมถามเจาะเพิ่มเติม

"ไม่ดื่ม ไม่ดูโชว์ ผมเป็นมุสลิมน่ะ เรื่องพวกนี้ศาสนาของเราห้าม" ตอบพร้อมส่ายหน้าปฏิเสธมา

"โอเค ถ้างั้นดีที่สุดเลย พัทยา ไปเช้า-เย็นกลับ เดินทางสะดวก มีชายหาด ถ่ายรูปได้ กินอาหารทะเลได้ เย็นๆคุณก็กลับมา ไม่ต้องไปดูโชว์ อย่าลืมถามเอเจนซีเขาด้วยว่า ข้ามไปเกาะล้านด้วยหรือเปล่า ถ้าไม่มี-ไม่เอานะ" ผมจัดทริปเสร็จสรรพ พร้อมพาข้ามถนนไปที่โต๊ะทัวร์ฝั่งตรงข้าม หน้าโรงพักชนะสงคราม แล้วปล่อยทิ้งไว้กับหญิงสาวพนักงานซึ่งกล่าวขอบคุณที่พาลูกค้ามาให้

หลังจากนั้นลูกค้าหนุ่มกลับมาโชว์ตั๋วให้ดู ว่ามีเกาะล้านด้วย แถมจัดอาหารมุสลิมให้เป็นพิเศษ ผมยิ้มพลางคิดในใจ "โชคดีจริงๆ"

"ขอบคุณมากนะ แล้ววันหลังผมจะแวะมาอีก" ชายหนุ่มสัมผัสมือกับผมก่อนออกจากร้านไป

***************
พูดถึงเฟรสบุ๊คไทเกอร์ ทำให้นึกถึงคุณอรุณขึ้นมา ผมเจอหน้าแกปีละ 3-4 ครั้ง แกเป็นฝรั่งผอม แก้มตอบ ไม่สูงและผมสีทอง วันแรกที่เจอกันคือประมาณปลายปี 2009 เดือนไหนผมจำไม่ได้แล้ว หลังจากผมเปิดร้านใหม่ๆได้สัก 2-3 เดือน แกลากกระเป๋าเดินทางเข้ามาพร้อมกับภรรยาคนไทย ร่างผอม ผิวคล้ำ ทั้งคู่เข้ามาแนะนำตัวพร้อมฝากขายหนังสือ และซีดี-ดีวีดีครบชุดพร้อมบอกว่า แล้ววันหลังจะมาเก็บเงินค่าหนังสือ

หลังจากนั้นทั้งคู่แวะเวียนมาเก็บยอดทุกๆ 3-5 เดือน บางรอบขายดีหนังสือที่แกฝากไว้เกือบหมด แต่บางรอบก็ไม่ดีขายได้ไม่กี่เล่ม ผมถามว่าอยู่ได้เหรอ แกบอกก็พอโอเค ปกติแกสั่งพิมพ์ทีละประมาณ 5000 เล่ม แล้วแกก็จะเดินทางไปฝากขายตามร้านต่างๆทั่วประเทศ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยว จังหวัดใหญ่ๆนี่จะมีหลายร้านมาก เชียงใหม่นี่จะขายดีเป็นพิเศษ เพราะคนต่างชาติที่มาอยู่เชียงใหม่นั้นจะมาอยู่นาน เนื่องจากสภาพอากาศค่อนข้างดีเหมือนกับยุโรป ส่วนใหญ่มักเป็นพวกคนสูงอายุหรือคนเกษียณแล้ว พวกนี้จำเป็นต้องเรียนรู้หนังสือไทย ภาษาไทย ดังนั้นแกจึงทำดีวีดีชุดใหญ่ไว้ด้วย ไม่เหมือนกับถนนข้าวสารที่คนต่างชาติมาก็เพื่อแวะพักชั่วคราว มาเล่น เป็นพวกแบ็คแพ็คเกอร์ ดังนั้นที่นี่จะขายดีเป็นช่วงๆ ภูเก็ตก็คล้ายๆกัน บนเกาะสมุยก็มีลูกค้าของแก แต่เดินทางไปลำบาก นานๆไปทีนึง

ประมาณปี 2010 กลางปี เจอแกมาเก็บเงินคนเดียว เลยถามไปว่าภรรยาไปไหน ทำไมถึงไม่มาด้วย

แกเล่าให้ฟังไปด้วย น้ำตาคลอไปด้วย "ภรรยาของผมเสียแล้ว เธอเป็นมะเร็ง เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง เราไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเธอป่วย เพราะเธอแข็งแรงดี จนกระทั่งวันหนึ่งเธอหน้ามืดเป็นลมไปที่บ้าน ผมพาไปหาหมอถึงรู้ว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เธออยู่ที่โรงพยาบาลได้ไม่ถึงสัปดาห์ก็เสีย ... ผมเสียใจมาก เราอยู่ด้วยกันมานาน ไม่มีลูก ... ตอนนี้ลำบากมาก ผมคิดถึงเธอมาก"

ผมแสดงความเสียใจกับแก ก่อนออกไป หลังจากนั้นก็เจอกัน 2-3 ครั้งจนปีนี้ ดูแกเข้มแข็งขึ้น "The show must go on" - ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป

ในขณะที่ชีวิตของคนบางคนต้องดิ้นรน ต้องลำบากในการปรับตัวปรับใจ เมื่อสถานการณ์บีบบังคับให้ต้องเปลี่ยนจากการอยู่เป็นคู่กลายเป็นอยู่คนเดียวโดยไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อน ... ใครหลายๆคนที่ยืนหยัดอยู่เพื่อที่จะพบเจอการจากพรากอันเป็นเรื่องปกติ จะบริหารจิตใจอย่างไร หรือในใจเธอคิดอะไร - ใครเล่าจะรู้

ตั้งแต่ร้านหนังสือเปิดมา ผมเห็นหญิงสาวไทยหลายคนที่ร่วมทางมากับชายต่างเชื้อชาติ ทั้งหนุ่มและสูงวัย หญิงสาวบางคนยืนรออยู่ข้างนอกร้าน ระหว่างที่ชายเหล่านั้นเข้ามาเลือกหนังสือ บ้างก็นั่งเฉยไม่พูดไม่จาประดุจอากาศธาตุ มองไม่ออกว่าไม่ต้องการจะถูกเข้าใจว่าเป็นแค่เพื่อนเดินทางหรือลึกซึ้งกว่านั้น (ไม่ว่าจะเข้าใจถูกหรือผิด) หรือว่าเธอหยิ่งไม่อยากพูดจาสมาคมกับคนไทยเพราะเธอมีเพื่อนต่างชาติ

แต่ก็มีหลายๆคนที่เปิดเผย ช่วยสอบถามและอำนวยความสะดวกให้ เธออาจจะเป็นแค่เพื่อนที่คบหากันตามปกติก็ไม่แปลก แต่ที่ผมจำได้ค่อนข้างชัดเจนมีอยู่ 2 คน หนึ่งคือสาววัยรุ่นตาคมที่มากับหนุ่มเยอรมัน ชายหนุ่มบอกว่าเธอเป็นช่างทำผม มาด้วยกันในฐานะแฟน ผมจำเธอได้เพราะในระหว่างที่ผมคุยกับชายหนุ่มอยู่เกือบชั่วโมง เธอก็ไปคุ้ยหาหนังสือภาษาไทยในลังเล็ก 2-3 ลังที่ผมเอามาวางๆไว้ใต้ชั้นหนังสือไกด์บุ๊ค

(เนื่องจากเคยมีลูกค้าต่างชาติที่ถามหาหนังสือภาษาไทยเหมือนกัน 1 ในนั้นซื้อหนังสือเกี่ยวกับการทำกาแฟไปฝากเพื่อนชาวอิตาลีที่เป็นนักสะสมหนังสือเกี่ยวกับกาแฟทั่วโลก อีก 1 ที่จำได้นั้นซื้อหนังสือไทยไป 4-5 เล่มให้เพื่อนคนไทยที่ไปอยู่ที่อิสราเอล)

เธอคุ้ยได้หนังสือ "คนรักของคนรัก" หนังสือวิจารณ์หนังแสนสวยของคุณ นันทขว้าง สิรสุนทรไป หนังสือเล่มนี้ผมซื้อมาจาก "ร้านหนังสือเดินทาง" หลายปีแล้ว มีตราประทับของร้านเป็นชายหนุ่มจูงเด็กถือตุ๊กตาหมีอยู่ด้วยที่หน้าแรกในเล่ม



"คนรักของคนรัก"

อีกหนึ่งสาวไทยที่มากับหนุ่มต่างชาติที่ผมจำได้นั้น วันแรกทั้งคู่เข้ามาที่ร้านตอนค่ำ แวะดูไกด์บุ๊คอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาอีกทีในวันถัดมา วันแรกนั้นผมไม่ได้ยินเสียงจากเธอ แต่ในวันถัดมารอยยิ้มกับสำเนียงทองแดงของเธอที่เรียกชายหนุ่มว่า "Darling" ช่วยสอบถามรายละเอียดการเดินทางได้เป็นอย่างดี เธอว่ามาจากเขาหลัก เดินทางโดยรถทัวร์มาแวะที่หัวหิน 2 วันก่อนจะตรงมาที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นครั้งแรกของเธอ ส่วนชายหนุ่มนั้นเป็นคนสเปนมาเมืองไทยเป็นครั้งแรกเหมือนกัน

ชายหนุ่มต้องการเดินทางไปเที่ยวอยุธยาโดยรถไฟ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังภาคเหนือ หลังจากวางแผนใช้เวลาในกรุงเทพ 2-3 วัน พร้อมกันนั้นก็สอบถามเส้นทางไปติดต่อทำเอกสารการเดินทางเข้าออสเตรเลียที่ตึก แถวๆสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ ที่ถนนสาธร

หลังจากนั้นทั้งคู่กลับมาเป็นครั้งที่ 3 เพื่อแลกหนังสือโลนลีแพลนเน็ตดิสโคเวอร์ไทยแลนด์ปี 2010 เป็นโลนลีแพลนเน็ตซิดนีย์และนิวเซาท์เวลส์ ปี 2007

วงชีวิตที่โคจรมาเจอกันระหว่างสองหนุ่มสาวต่างเชื้อชาตินั้นเป็นระยะเวลายาวนานเท่าไหร่ ผมไม่ได้ถาม ..... ตอนที่ชายหนุ่มสอบถามทางไปทำเอกสารเข้าออสเตรเลียนั้น เสี้ยววินาทีที่แวบขึ้นมาในหัวสมองทำให้ผมก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมผมถึงยั้งปากไว้ ไม่ถามออกไปว่า "คุณไปออสเตรเลียด้วยกันหรือเปล่า?" ..... แล้วสมมุติว่าเมื่อเวลาแห่งการลาจากมาถึง เธอจะเสียศูนย์ไหม ..... หญิงสาวจะต้องปรับตัวปรับใจอย่างไร .....

***************

เดือนก่อนผมมีธุระต้องติดต่อกับหนุ่มจีนอยู่คนหนึ่ง เป็นชาวปักกิ่งที่มาตรวจสอบโรงงานที่เมืองไทย ผมต้องขับรถไปส่งพ่อหนุ่มกลับที่พักที่เยาวราช ได้คุยกันเกือบ 2 ชั่วโมงระหว่างรายการขับไปคุยไป พ่อหนุ่มเล่าว่าอายุ 20กว่าๆ เรียนจบก็ทำงานได้มาประมาณ 3 ปีแล้ว ธรรมชาติของงานต้องเดินทางตลอด ทั้งเมืองจีนและต่างประเทศ ปกติแล้วจะมาเมืองไทยปีละ 2 ครั้ง ครั้งนี้มาประมาณ 10 วัน

ในความคิดของชายหนุ่ม ภาษานั้นสำคัญมากสำหรับการใช้ชีวิตเดี๋ยวนี้ ในระหว่างบทสนธนา ผมถามไปว่า

"คุณมาจากปักกิ่ง ภาษาจีนที่คุณใช้คือภาษาจีนกลางหรือที่เรียกกันว่า แมนดาริน ใช่ไหม"

ชายหนุ่มทำคิ้วขมวด ถามย้อนมาคล้ายกับไม่เข้าใจคำถามของผม "ยังไงเหรอที่เรียกว่า แมนดาริน"

ผมชงักนิดหนึ่งก่อนจะตอบไป "ผมก็ไม่รู้หรอกว่าสำเนียงมันต่างกันยังไง ผมเคยได้ยินแต่ว่า ภาษาจีนมีหลายสำเนียง เช่น แมนดาริน ไหหลำ กวางตุ้ง ฮกเกี้ยน แคะ และอื่นๆอีกเพียบเลย เช่น การนับเลขนั้นมีหลายอย่างเช่น เจ๊ก - หนอ - ซา - สี่ - ... ในขณะเดียวกัน อิ - เอ้อ - ซาน - ซื่อ - ... ก็ได้ อะไรแบบเนี้ย"

ชายหนุ่มพยักหน้าพร้อมตอบมาเป็นชุด "อ๋อ เข้าใจล่ะ ... แต่ละพื้นที่ก็มีภาษาต่างๆกัน แล้วประเทศจีนมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก บางทีผมไปตรวจโรงงานไกลๆ ซึ่งใช้ภาษาจีนท้องถิ่นคนละภาษากัน ผมเองยังฟังไม่รู้เรื่องเลย"

โอเค ผมเก็ต ... มันก็คงเหมือนเมืองไทยหรือทุกๆประเทศนั่นแหละ ที่มีภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ทั้งคำพูดหรือการออกเสียง ไทยเราเองยังมี การอู้คำเมืองของคนเหนือ การเว่าลาวของคนอีสาน การแหล่งใต้ หรือแม้กระทั่งภาษายาวี ... เพราะฉะนั้น คนจีนที่เมืองฮาร์บินที่ไกลสุดติดรัสเซีย คงไม่รู้ภาษาจีนของคนที่อยู่ยูนนานติดไทยแน่นอน ... มิน่าล่ะ ลูกค้าไปจีนของผมบางคนปฏิเสธที่จะซื้อเฟรสบุ๊ค แมนดาริน หรือ แคนโตนีส แต่กลับถามหาสมุดภาพแทน เพราะแผนเดินทางของเขานั้นเกือบทั่วประเทศและกินเวลานานหลายๆเดือน ลูกค้าบอกว่าเฟรสบุ๊คเล่มเดียว ภาษาเดียวเอาไม่อยู่ ถ้าใช้สมุดภาพจะดีกว่า



China minority region

มาเมืองไทยเที่ยวนี้พาแฟนมาด้วย จากที่พักนั้นเธอมีกิจวัตรประจำวันคือการไปชอปปิงที่มาบุญครอง เธอชอบมาก ที่เมืองจีนก็เหมือนกัน พอหยุดสุดสัปดาห์ทีนึงก็ดูหนังกับชอปปิง (ผมคิด - ช่างเป็นกิจกรรมสิ้นคิด เหมือนอาหารสิ้นคิด ข้าวราดกระเพราไก่-ไข่ดาวจริงๆ)

"คุณรู้ไหม ปกติผมจะสูบบุหรี่นะ แต่พอรู้จักคบหากับเธอได้พักหนึ่ง เธอขอให้ผมเลิกบุหรี่" หนุ่มเลือดมังกรเล่า

"ดีนี่ เธอเป็นห่วงสุขภาพของคุณ" ผมยิ้ม

"ใช่ ผมก็เลิกบุหรี่ได้ หลังจากนั้นไม่มีอะไรทำ ผมก็เลยเล่นเกมส์ออนไลน์แทน" ชายหนุ่มเล่าต่อ

"เธอว่าไง" ผมเลิกคิ้ว ถามไป

"สักพักหนึ่ง เธอก็ขอให้ผมเลิกเล่นเกมส์ เธอบอกว่าผมติดเกมส์ เลยไม่ค่อยสนใจเธอ" ชายหนุ่มตอบกลั้วหัวเราะในคอ

"คุณเลิกเล่มเกมส์ไหม" ผมถาม

"เลิกสิ ก็เธอขอนี่ ... แล้วคุณคิดว่า ผมจะขอให้เธอเลิกชอปปิงได้ไหมนี่ มันไม่ยุติธรรมเลย" เรามองตากันแล้วหัวเราะลั่นรถขึ้นมาพร้อมกัน

"เวลาผมออกมาทำงาน บางทีผมรู้สึกเหมือนขึ้นสวรรค์ยังไงยังงั้น" ชายหนุ่มเปรยยิ้มๆ พร้อมเป่าควันบุหรี่ออกจากรถไป




Create Date : 30 กันยายน 2554
Last Update : 4 ตุลาคม 2554 21:44:02 น. 0 comments
Counter : 1528 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.