องค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด
การสำรวจองค์กรที่ น่าทำงานด้วยมากที่สุด หรือที่เรียกกว่า The best company to work for ของนิตยสาร Fortune มีเป็นประจำทุกปี ของปีนี้ก็ออกมาได้สักพักแล้วครับ พอดีเพิ่งได้มีโอกาสได้อ่าน ก็เลยนำเอามาเล่าสู่กันฟังครับ
ปีนี้บริษัทที่ได้อันดับหนึ่งขององค์กรที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดจาก นิตยสาร Fortune ก็คือ บริษัท SAS ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้าน Software และการออกแบบ Solutions ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบงานเพื่อให้การตัดสินในการทำงานง่ายขึ้น
หลายคนอาจจะไม่รู้จักบริษัทนี้ แต่สิ่งที่อยากจะเล่าให้ฟังนั้น ไม่ใช่ชื่อเสียงของบริษัท แต่เป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทนี้อันดับหนึ่งสำหรับบริษัทที่น่าทำงานด้วย
SAS มีพนักงานรวมทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ หนึ่งหมื่นกว่าคน มีอัตราการลาออกโดยสมัครใจของพนักงานเพียง 2% เท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้นผลการสำรวจยังบอกว่าบริษัทมีการจ่ายเงินเดือนในอัตราที่ ไม่ได้สูงมาก เมื่อเทียบอัตราการจ่ายกับบริษัททั้ง 100 อันดับแล้ว บริษัทอันดับหนึ่งนี้ไม่อยู่ในหนึ่งในเก้าสิบรายด้วยซ้ำ แต่ทำไมเขาจึงได้อันดับหนึ่งสำหรับบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุด
แต่สิ่งที่ทำให้บริษัทนี้ได้รับอันดับหนึ่งก็คือ เรื่องของการดูแลพนักงานในด้านสวัสดิการต่างๆ ที่เป็นเลิศ สิ่งที่ทำให้เขาเป็นอันดับหนึ่งก็คือ
* มีการจัดศูนย์ดูแลเด็ก หรือลูกๆ ของพนักงานอย่างดี ในอัตรา 410$ ต่อเดือน * จ่ายค่าเบี้ยประกันสุขภาพให้กับพนักงานในอัตรา 90% * ให้วันลาป่วยที่ไม่จำกัด * มีศูนย์สุขภาพพนักงาน ซึ่งมีหมอ 4 คน และ พยาบาลอีก 10 คน ดูแลพนักงานยามเจ็บป่วยโดยไม่คิดค่าบริการกับพนักงาน * มี Fitness Center บนพื้นที่ 66,000 ตารางเมตร ให้พนักงานได้ออกกำลังกายโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเช่นกัน * มีห้องสมุดใหญ่ * มีการจัด Summer Camp ให้กับเด็กๆ ที่เป็นลูกๆ ของพนักงานในบริษัท
ที่เขาทำได้แบบนี้ก็เพราะบริษัทพยายามสร้างความเชื่อใจกันระหว่างบริษัท กับพนักงาน ให้เกิดความเชื่อใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่คอยจับผิดซึ่งกันและกัน (เหมือนกับหลายๆ บริษัทที่เป็นอยู่ในบ้านเรา)
สิ่งที่ผมสังเกตเห็นจากการจัดอันดับบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดในแต่ ละปีนั้น บริษัทที่ได้อันดับต้นๆ นั้น ไม่ใช่บริษัทที่มีชื่อเสียงมากมาย ไม่ใช่บริษัทที่มีกำไรสูงที่สุด ไม่ใช่บริษัทที่จ่ายค่าจ้างเงินเดือนให้พนักงานในระดับสูงที่สุดในตลาด แต่เป็นบริษัที่พยายามสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี มีการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน มีการจัดสวัสดิการให้กับพนักงานอย่างดีมาก (ต้องเรียกว่าดี มากๆๆๆๆๆเลยครับ)
และที่สำคัญก็คือ เป็นบริษัทที่เชื่อใจพนักงานว่า พนักงานทุกเข้ามาสร้างผลงานให้กับบริษัท และบริษัทก็ตอบแทนโดยการดูแลพนักงาน และครอบครัวของพนักงาน ทั้งในด้านความเป็นอยู่ ความสะดวกสบาย โดยที่พนักงานไม่จำเป็นต้องออกมาเรียกร้องอะไรมากมาย และบริษัทเองก็ไม่ต้องออกมาพยายามบอกให้พนักงานสร้างผลงานเพื่อแลกเปลี่ยน กับค่าตอบแทน นี่คือ “ความเชื่อใจซึ่งกันและกันระหว่าง พนักงานกับบริษัท”
ถามว่าบริษัทอย่างเราๆ สามารถทำได้หรือไม่ คำตอบก็คือ ทำได้ครับ เราอาจจะไม่ต้องไปเทียบกับบริษัทอันดับหนึ่งนี้ก็ได้ แต่สิ่งที่อยากให้ได้ศึกษาก็คือ ปรัชญาในการบริหาร และการดูแลพนักงานของเขามากกว่าครับ ว่าเขาทำอย่างไร เขาสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นโดยคิดว่า พนักงานเป็นทรัพย์สินที่มีคุณค่ามากที่สุดของบริษัท และเป็นทรัพย์สินที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ตลอดเวลา ซึ่งบริษัทจะต้องรักษาไว้เป็นอย่างดี
เห็นแบบนี้แล้วก็คงต้องมองย้อนดูการบริหารของบริษัทตนเองซะแล้ว
Create Date : 11 มีนาคม 2553 |
|
2 comments |
Last Update : 11 มีนาคม 2553 8:11:19 น. |
Counter : 1329 Pageviews. |
|
|