ทุกวันนี้เรื่องราวของเทคนิคการบริหารจัดการล้วนมีมากมายให้เราเรียนรู้ บางคนเมื่อสอบถามถึงความรู้ต่างๆ ด้านการบริหาร หรือเทคนิคสมัยใหม่ต่างๆ ก็ตอบได้แทบจะทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่มาที่ไปของทฤษฎีเหล่านั้น หรือหลักการต่างๆ เรียกได้ว่ารู้แทบทุกเรื่องตามที่เจ้าของทฤษฎีเขาว่ามา
เช่น ถามถึง BSC หรือ Balanced Scorecard ก็รู้เรื่อง ถามถึงเรื่องของ KPI ก็รู้อีก ถามถึงเรื่อง HR Transformation ก็รู้เรื่องเช่นกัน หรือ ถามถึงเรื่องราวของ Reward Management ก็ตอบได้ ฯลฯ
แต่ปัญหาก็คือ รู้แล้วเราสามารถนำเอาความรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการจริงๆ ได้หรือไม่
ผมเคยได้ยินหลายคนพูดถึงเรื่องราวใหม่ๆ ทางด้านการบริหารงานบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ HR Transformation หรือ การพัฒนาระบบประเมินผลงานให้เป็นระบบบริหารผลงาน หรือ การเปลี่ยนจากระบบบริหารบุคคล สู่ การพัฒนาทุนมนุษย์ หรือ เปลี่ยนจากระบบการสรรหา รักษา พัฒนา ให้เป็น การบริหารพัฒนาคนเพื่อการเปลี่ยนแปลงระดับองค์การ หรือ เปลี่ยนจากการสรรหาคนเก่ง และดี มาสู่ การสรรหาคนเก่ง ดี เรียนรู้ไว ฯลฯ
เรื่องราวตัวอย่างข้างต้นเป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนว่า ในแวดวง HR มีการพูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา มีการอภิปราย มีการโต้แย้งกันในมุมมองต่างๆ แต่อยู่แค่เพียงในลักษณะขององค์ความรู้ในเชิงหลักการ ทฤษฎี มากกว่า ที่จะลงไปสู่แนวปฏิบัติจริง
เวลาถามคำถามกับเหล่า HR ตามบริษัทต่างๆ ที่ได้ผ่านความรู้เหล่านี้มาว่า แนวโน้มในการบริหารงานบุคคลในอนาคตจะเป็นอย่างไรบ้างในแต่ละเรื่องของการบริหารบุคคล ผมก็มักจะได้รับคำตอบที่ไม่ค่อยแตกต่างกันนัก เพราะศึกษามาจากแหล่งความรู้เดียวกัน
แต่พอถามต่อว่า แล้วจะทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดขึ้นได่อย่างไรในองค์กรของเรา กลับไม่ค่อยมีคำตอบสักเท่าไร เพราะไม่รู้ว่าในทางปฏิบัติแล้วจะต้องทำอย่างไรกันบ้าง
บางบริษัทก็พยายามนำเอาหลักการไปประยุกต์ใช้จริง ซึ่งก็เป็นที่น่าชื่นชม เพราะรู้แล้วก็พยายามที่จะนำสิ่งที่รู้มาทำให้เกิดขึ้นจริงในองค์กร แบบนี้น่าสรรเสริญครับ เพียงแต่ปัญหาก็คือ หลายคนยึดติดอยู่กับหลักการที่เป็นทฤษฎีมากจนเกินไป จนไม่สามารถหาทางออกได้ก็มี
ในความเห็นของผมนั้นทฤษฎีเป็นเพียงแนวทางกว้างๆ ให้เราเกิดความเข้าใจ แต่เวลานำเอาทฤษฎีเหล่านั้นไปใช้งาน เราจะต้องประยุกต์ให้เข้ากับองค์กรของเราให้มากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องยึดตามทฤษฎีนั้นเป๊ะๆ
อย่างเวลาที่ผมออกแบบโครงสร้างเงินเดือนให้กับองค์กรต่างๆ ทฤษฎีเป็นส่วนหนึ่งของหลักการที่นำมาใช้ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ต้องประยุกต์ให้เข้ากับองค์กรต่างๆ ให้สามารถนำไปใช้งานได้จริง บางองค์กรก็หลุดกรอบทฤษฎีไปเหมือนกัน แต่ว่าเขาสามารถใช้บริหารค่าจ้างได้อย่างดี และพนักงานรู้สึกถึงความเป็นธรรม แบบนี้ผมว่าดีกว่าทำตามทฤษฎีล้วนๆ แต่พนักงานร้องยี้นะครับ
อีกเรื่องก็คือ Balanced Scorecard ซึ่งหลายๆ องค์กรพยายามนำไปใช้แต่ก็มีสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ส่วนใหญ่บริษัทที่สามารถนำไปใช้ได้สำเร็จนั้น มักจะเป็นบริษัทที่นำเอา BSC มาเป็นแนวทางในการคิด พิจารณา จากนั้นก็ดัดแปลงหลักการนั้นให้เข้ากับวิถีการบริหารงานของบริษัทตนเองมากกว่าการที่จะใช้ตรงๆ ตามทฤษฎี เนื่องจากมันเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น บางบริษัท ผู้บริหารเถียงกันจะเป็นจะตายให้ได้ เพราะต่างก็เรียนรู้มาไม่เหมือนกัน แต่สิ่งที่เถียงกันนั้นกลับไม่มีประโยชน์อะไรในการบริหารงานขององค์กรเลย เถียงกันบนพื้นฐานของทฤษฎีเท่านั้น
ก็เลยมีนิทานเซ็นเรื่องหนึ่งมาฝากครับ ซึ่งเป็นเรื่องราวคล้ายๆ กับที่ผมเล่าให้ฟังข้างต้นครับ เรื่องมีอยู่ว่า
คราหนึ่ง อาจารย์เซนเรียกศิษย์สามคนมาพบ จากนั้นเขียนบทกวีขึ้นบทหนึ่ง ความว่า พิรุณโปรยปราย สองคนก้าวย่าง ไม่เปียกปอนหนึ่งคน จากนั้นจึงเอ่ยถามเหล่าศิษย์ว่า พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรกับกวีบทนี้ เหตุใดจึง ไม่เปียกปอนหนึ่งคน จงลองตอบออกมาดู
ศิษย์คนแรกกล่าวตอบว่า สองคนเดินอยู่ท่ามกลางฝนแต่คนหนึ่งไม่เปียกฝน เหตุผลง่ายดายยิ่ง นั่นย่อมเป็นเพราะคนผู้นั้นต้องสวมใส่เสื้อกันฝนอย่างแน่นอน
อาจารย์เซนไม่มีปฏิกริยาตอบสนองต่อคำตอบนั้น หันไปถามศิษย์คนที่สองว่า เจ้าเล่า เห็นว่าอย่างไร?
ศิษย์คนต่อมาตอบว่า คำตอบแรกย่อมไม่ถูกต้อง เพราะคำตอบที่แท้จริงย่อมไม่ง่ายดายขนาดนั้น สองคนเดินอยู่กลางฝน แต่คนหนึ่งไม่เปียก นี่ช่างผิดปกติอย่างยิ่ง ข้าคิดว่าต้องเป็นเพราะสถานที่ที่ทั้งสองเดินอยู่เป็นเขตที่บรรจบกันระหว่าง พื้นที่ที่ฝนตกและพื้นที่ที่ฝนไม่ตก คนหนึ่งเดินอยู่ด้านที่มีฝน ส่วนอีกคนเดินอยู่ด้านที่ฝนไม่ตก จึงไม่เปียกปอน อาจารย์เซนได้ฟังคำตอบนี้ เพียงแต่ยิ้มออกมาน้อยๆ พลางเอ่ยถามศิษย์คนสุดท้ายว่าคิดเห็นอย่างไร
ศิษย์คนที่สามตอบว่า คำตอบที่ศิษย์พี่ทั้งสองตอบมาทั้งการสวมเสื้อกันฝน และเดินอยู่ในเขตที่บรรจบกันระหว่างพื้นที่ที่ฝนตกและพื้นที่ที่ฝนไม่ตกล้วน เกินความเป็นไปได้ จริงๆ แล้วคำตอบนั้นง่ายดายยิ่ง การที่คนหนึ่งไม่เปียกก็เพราะเดินอยู่ใต้ชายคาบ้าน แม้ฝนตก ย่อมไม่เปียก เขาตอบด้วยความมั่นใจ ทั้งยังยืดอกเฝ้ารอคำชมเชยจากอาจารย์เซน ทว่าอาจารย์เซนกลับเงียบงัน
ชั่วครู่ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า วันนี้ข้าเรียกพวกเจ้ามา ทั้งยังตั้งปัญหาให้พวกเจ้าตอบ ทว่าไม่มีแม้สักคนที่ตอบคำถามได้ตรงใจข้า พวกเจ้าติดตามข้ามานาน ทุกวันก้มหน้าก้มตาร่ำเรียนพระธรรมคัมภีร์ ทว่ากลับไม่มีความก้าวหน้า พวกเจ้าทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด? ศิษย์ทั้งสามคนต่างมองหน้ากันไปมา พลางส่ายหน้าว่าไม่เข้าใจ
อาจารย์เซนจึงตอบว่า เหตุที่พวกเจ้าไม่ก้าวหน้า เป็นเพราะพวกเจ้าเพียงยึดติดกับตัวอักษรในตำราเท่านั้น ดังเช่นปัญหาที่ข้าถามในวันนี้ ไม่เปียกปอนหนึ่งคน พวกเจ้าได้แต่ยึดติดกับความหมายของข้อความในแง่มุมเดียว จึงไม่อาจค้นพบคำตอบ แท้จริงแล้วคำกล่าวที่ว่า ไม่เปียกปอนหนึ่งคน นั้นย่อมหมายความว่า เปียกปอนทั้งสองคน ได้เช่นกัน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การคิดวิเคราะห์เรื่องใดก็ตาม หากสนใจเพียงเปลือกที่ห่อหุ้ม หรือยึดติดกับตัวอักษรเพียงผิวเผิน การหยั่งรู้ที่แท้ ย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น