ทำไมคนเราจึงมักเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดี (2) จากข้อเขียนคราวที่แล้วในเรื่องของ ทำไมคนเราจึงมักเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดีนั้น ผมก็ได้รับข้อคิดเห็นจากท่านผู้อ่าน ซึ่งเป็นข้อคิดเห็นที่ดีมากๆ ความคิดเห็นแรกมากจากคุณ sweet_cider ซึ่งผมจะขอลอกความเห็นมาลงในนี้อีกครั้งนึงสำหรับท่านที่ไม่มีโอกาสได้อ่าน “คงมีการเปรียบเทียบกันเกิดขึ้นค่ะว่าการทำคนอื่นมาสายแล้วไม่โดนว่า เค้าก็ถูกเอาเปรียบ เพราะคนที่มาทำงานเช้ารู้สึกว่าทำดีแล้วไม่เห็นได้อะไร หรือว่าไม่เห็นความแตกต่างหรือข้อดีของการมาทำงานเช้ากว่า ซึ่งทางคนที่เป็นหัวหน้าเองก็ต้องแสดงให้เห็นว่าคุณได้มีการจัดการกับคนที่ได้ทำเรื่องที่ผิด หรือแย่ให้ชัดเจนไม่เกิดการเปรียบเทียบเกิดขึ้น” นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พนักงานมักจะเอาอย่างคนที่ทำพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่ต้องการ ซึ่งก็คือ คนทำดีมักจะไม่ได้สิ่งที่ดีตอบแทน หรือถ้าได้ ก็ได้เอาตอนปลายปี ปีละครั้ง แล้วก็หายไปกับสายลม สิ่งที่ผมพูดถึงนี่ ถ้าคุยในแง่ของการบริหารบุคคลมันก็คือ พฤติกรรมที่บริษัทต้องการให้พนักงานแสดงออกมา ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับวัฒนธรรม และค่านิยมของบริษัทนั้นๆ ซึ่งผมเชื่อว่าทุกบริษัทล้วนแล้วแต่มีภาพของพฤติกรรมหลักที่บริษัทต้องการอยู่แล้ว แต่เราไม่เคยที่จะกำหนดให้มันชัดเจนขึ้นมา กลับมาในเรื่องของการเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ดี สิ่งหนึ่งที่เป็นเหตุผลชัดเจนมาก ก็คือ เวลาพนักงานทำดีแล้ว หัวหน้าไม่เคยที่จะให้ความสำคัญ หรือไม่เคยที่จะออกปากชม แต่ทางทางกลับกัน พนักงานที่ทำพฤติกรรมไม่ดี หัวหน้ามักจะให้ความสำคัญเสมอ เช่น ได้มีโอกาสคุยกับหัวหน้าบ่อยๆ บางครั้งหัวหน้ายังชวนไปเลี้ยงข้าว หรือเลี้ยงกาแฟ เพื่อที่จะคุยกันในเรื่องพฤติกรรมที่ไม่ดี ทั้งๆ ที่พนักงานคนอื่นก็ทราบดีว่าที่ไปทานข้าวนั้น เป็นการพูดคุยตักเตือน แต่ก็ยังรู้สึกว่า เราทำดีแล้ว แต่ทำไมหัวหน้าไม่เคยที่จะเลี้ยงกาแฟ หรือเลี้ยงข้าวบ้างเลย ส่วนอีกท่านหนึ่งที่ให้ความคิดเห็นดีๆ ไว้ก็คือ คุณดอกกรรณิการ์ “อยู่ที่วัฒนธรรมองค์กรด้วยหรือเปล่าครับ...ที่ไม่ยอมให้รางวัลกับผู้ที่ทำความดีอ่ะ... เลยเกิดค่านิยมผิดๆกันขึ้น ถ้าเป็นไปได้ควรมีบอร์ดพนักงานดีเด่นประจำเดือน... ใครได้รางวัลมากก็พิจารณาให้โบนัสให้เป็นพิเศษ... มนุษย์ทุกคนไม่มีใครอยากทำความชั่วหรอกครับ แต่ถ้าเกิดทำความดีแล้วทำให้รู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด.. สังคมในที่ทำงานไม่ยอมรับเชิดชู..แล้วเค้าจะทำไปทำไม่.. ทำความดีไปก็ได้เงินเดือนเท่ากันกับคนทำไม่ดี..แค่นี้ก็เกิดการเปรียบเทียบแล้วหละครับ การเป็นหัวหน้าคน สำคัญที่ต้องประเมินการทำงานของลูกน้องให้ถูกต้อง และรับฟังได้ มิฉะนั้นจะเกิดการไม่ยอมรับในที่ทำงานครับ” ซึ่งประเด็นก็จะคล้ายๆ กับท่านแรก ที่ว่า ทำดีแล้วไม่ได้ดี ก็เลยไม่อยากทำ รู้สึกท้อแท้ ซึ่งผมเองก็เห็นด้วย นี่ก็คือแรงจูงใจเพื่อให้พนักงานสร้าง ผลงาน และพฤติกรรมที่ดี ซึ่งโดยปกติคนเราก็มักจะต้องการการชื่นชมจากบุคคลอื่น ตามบรรดาทฤษฏีแรงจูงใจต่างๆ แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งถึงสาเหตุที่ทำให้คนเรามักจะเลียนแบบพฤติกรรมไม่ดีของคนอื่นก็คือ คนนั้นเลือกเองที่จะเลียนแบบสิ่งที่ไม่ดีเอง แปลว่าอะไร?? แปลว่า คนคนนั้นมีจิตใจที่ไม่มั่นคง และไม่เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองทำว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว ขาดภาวะผู้นำในตนเอง หรือในภาษาของ 7 habits ก็คือขาดนิสัยที่ 1 ก็คือ Be proactive คือเป็นคนที่มุ่งมั่น และไม่ตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมตามสัญชาติญาน หรือความต้องการส่วนตัว แต่เป็นการตอบสนองตามหลักการที่ถูกต้องตามหลักสากลโลก ดังนั้น การที่คนเราจะมีพฤติกรรมหรือแสดงออกอย่างไรนั้น มันมาจากสองส่วนก็คือ เขาได้อะไรจากการแสดงออก และเขามีความเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้องมากน้อยแค่ไหน ผมเองก็มีลูกทีม ทั้งสองแบบ ก็คือ เห็นคนอื่นทำไม่ดี แต่ก็ไม่เคยเลียนแบบเลย ถามเขา เขาก็บอกว่า เขามีความภูมิใจในตนเอง ภูมิใจในสิ่งที่เขาทำถูกต้องในหลักการสากล ผมก็ถามต่อว่า แล้วไม่รู้สึกว่าอยากทำตามพฤติกรรมที่ไม่ดีของคนอื่นบ้างหรืออย่างไร เช่น นอนสบาย ตื่นสายหน่อย หรือ เล่นเกมส์ขณะทำงาน ฯลฯ เขาก็ตอบผมมาว่า ถ้าเขาเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้นเมื่อไร เป้าหมายในชีวิตของเขาก็คงจะบรรลุได้ยาก เขาอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่า สบายๆ ไปวันๆ นี่คือคำตอบของพนักงานคนนั้น และก็มีพนักงานอีกคนหนึ่ง ซึ่งเคยทำดีมาก่อน แต่สุดท้ายก็ไปเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่ค่อยดีนัก ก็คือ เริ่มมาสาย เริ่มเล่นเกมส์ เริ่มที่จะนำเอางานอื่นเข้ามาทำมากกว่าทำงานที่ได้รับมอบหมาย ผมก็ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมผลงานถึงแย่ลงเมื่อเทียบกับสมัยแรกๆ สิ่งที่เขาตอบมา ก็คือ เขาเห็นคนอื่นมาสายได้ เขาก็มาบ้าง เพราะไม่เห็นถูกตำหนิอะไร แล้วเขาก็ไม่ได้มาสายมากมายอะไร และสาเหตุที่เขาเล่นเกมส์ในที่ทำงาน ก็เพราะ เขาเครียด อยากพักผ่อนบ้าง งานก็เยอะทำไม่ทัน และก็เล่นแล้วไม่เห็นมีคนว่าอะไรเลย แต่ผลสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นกับพนักงานทั้งสองคนนี้ พนักงานคนแรกที่ผมเล่าให้ฟัง ตอนนี้ไปเป็น กรรมการผู้จัดการของบริษัทแห่งหนึ่งไปแล้ว ส่วนอีกคน ยังคงทำงานอยู่ในตำแหน่งเดิม เป็นเวลารวมแล้วกว่า 15 ปี โดยที่ทั้งสองคนนี้เริ่มทำงานพร้อมกัน (เขาจบมาพร้อมกัน รุ่นเดียวกัน) เห็นผลของการเชื่อมั่นในสิ่งที่ถูกต้องมั้ยครับ ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่ถูกต้องตามหลักสากลโลก ผมว่า ไม่จำเป็นต้องมีคำชมจากหัวหน้ามากมาย ถ้าคนเรามีความภูมิใจในตนเอง และยืนหยัดในสิ่งที่ถูก ผลดีก็จะตามกับชีวิตของเราอย่างแน่นอนครับ Create Date : 18 มกราคม 2551 Last Update : 18 มกราคม 2551 9:13:54 น. 0 comments Counter : 1130 Pageviews.   Share Tweet ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก Comment :   *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet