Group Blog
 
<<
เมษายน 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
5 เมษายน 2557
 
All Blogs
 
ร้านหนังสือในข้าวสาร ... ตอน Medical & Forensic Medicine Museum

สวัสดีครับคุณผู้อ่านที่รักทุกท่าน ด้วยความยินดีครับที่ยังมีชีวิตอยู่ มีกิน มีใช้ ไม่อดอยาก แม้จะไม่มากมายอะไรนัก แต่ก็พอทำให้กินอิ่ม นอนหลับและยังสามารถหาเวลามาเขียนบล็อกเล่าเรื่องราวเรื่อยเปื่อยจากร้านหนังสือในข้าวสารให้ได้อ่านกันอีกสัปดาห์ หลังจากที่สิงคโปร์ทำตลกโดยการประกาศจัดงานสงกรานต์แบบเมืองไทยบ้านเรา ก่อนที่ออร์กาไนเซอร์จะพบว่าตอนนี้บนเกาะประสพภาวะแห้งแล้ง เลยจะจัดสงกรานต์แบบแห้ง ไม่มีน้ำสาดกัน มีแต่งานออกร้าน มวยไทยโชว์ คอนเสิร์ต (เก็บเงินค่าชม) คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานประมาณหมื่นคน ... อ่านไปก็ให้รู้สึกตลกๆ แปลกๆกับสงกรานต์สิงคโปร์ เหมือนกับฮาโลวีนผีไทยที่เซนโตซาปีก่อน ว่าคนคิดคอนเซปท์งานคิดได้ไง

มองในเชิงธุรกิจ ก็พอเข้าใจได้ว่าจะทำอะไรแปลกๆใหม่ๆ โชว์ฝีมือเลียนแบบงานระดับประเทศจากเพื่อนบ้าน (จริงๆก็น่าจะเป็นระดับโลกไปแล้วนะครับ) ... แต่บรรยากาศมันไม่น่าจะเหมือนกันเท่าไหร่นะเพราะ สงกรานต์บ้านเรานอกจากเปียกแล้ว มันยังเลอะเทอะด้วย ทั้งแป้งดินสอพอง ทั้งขยะขวดน้ำพลาสติก ถาดโฟมข้าวไข่เจียว รวมทั้งไม้เสียบลูกชิ้นที่ทิ้งไว้ให้เทศบาลมาทำความสะอาดทุกวัน แล้วสิงคโปร์ที่แม้แต่หมากฝรั่งก็ไม่มีให้เคี้ยวจะไหวเหรอนั่น ... เอ๊ะ เปรียบเทียบได้ชัดเจนเกินไปหรือเปล่าหนอ

แล้วแถมไม่มีน้ำ จัดเป็นสงกรานต์แบบแห้ง แล้วจะเอาโคโยตี้ใส่เสื้อกล้ามบางๆ กางเกงฟิตๆสั้นๆ สาดน้ำเปียกๆ มาเต้นบนเวทีเรียกเสียงจากหนุ่มๆได้ไง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีเลดี้บอยเป็นธงนำละก็ ไม่มีทางเหมือนแน่นอน ... ขอแนะนำออร์แกไนเซอร์จัดงานว่าให้เพิ่มรายการโมเดิร์นแดนซ์แบบเปียกๆ + ปาร์ตี้โฟมของไทยเลดี้บอยเข้าไปด้วย (ไม่ใช่หญิงแท้-ให้บอกไปเลย) หลังคอนเสิร์ตของฟิล์มกับโฟร์-มด รับรองจะเรียกทัวร์จีน-ทัวร์รัสเซียได้อีกโขเลยทีเดียว รับรองว่ายอดเป้าหมายผู้เข้าร่วมงานน่าจะเกินสามหมื่น-ห้าหมื่นอย่างแน่นอน ... หมอกฤษณ์ คอนเฟิร์ม อิ อิ

ครับ ... วันนี้ก็ใกล้สงกรานต์บ้านเราเข้าไปเต็มทีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสงกรานต์ปีนี้จะได้เล่นน้ำกันอย่างอยู่ดีมีสุขหรือเปล่า เพราะเห็นว่าหนังสือพิมพ์ต่างก็พากันโหมประโคมกีฬาสีกันอีกแล้ว ขณะที่นักลงทุนต่างชาติก็เตรียมตัวถอยกันออกไป เพราะไม่มีรัฐบาลเขาไม่เอา เห็นข่าวการเมืองบ้านเราแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างที่คอลัมนิสต์คนหนึ่งเขียนว่า "จากประวัติศาสตร์บ้านเรา รู้ก็รู้อยู่ว่า ถ้าตีกันเสร็จแล้วก็ต้องเจรจา ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่ยอมเจรจาก่อนจะตีกัน" ... ไม่เข้าใจ

ส่วน พรก.ฉุกเฉิน ที่ยกเลิกไป ... ก็ต้องขอบคุณกันผ่านบล็อกนี้เอง ที่ช่วยเห็นแก่คนทำมาหากินคนอื่นๆบ้าง เพราะธุรกิจท่องเที่ยวจะได้เดินต่อ มีท่อให้หายใจได้บ้าง คนทำงานอยู่ในธุรกิจท่องเที่ยวก็พอสมควร ทั้งโรงแรม เอเยนซีทัวร์ บริการรถโดยสาร-ขนส่ง ขายสินค้า อาหาร ของที่ระลึก ไกด์ รวมถึงร้านหนังสือมือสองเล็กๆแห่งนี้ด้วย เพราะมีแต่หนังสือท่องเที่ยวภาษาต่างประเทศเป็นหลัก ลูกค้าก็คือนักท่องเที่ยวที่นำเงินตราต่างประเทศเข้ามา เรียกว่าหาเงินเข้าบ้านทางตรงชัดๆเลย แล้ว พรก. ฉุกเฉิน ที่ประกาศออกมาก็ทำให้นักท่องเที่ยวเขาไม่เข้ามา เพราะเมืองนอกเขาจะทำประกันเรื่องการเดินทางไว้ด้วยเป็นพื้นฐานที่จำเป็นต้องมี พอเขาเห็นเราประกาศ "Emergency" ประกันเขาก็ไม่จ่ายไง คนที่จะเดินทางเข้ามาเขาก็เลี่ยงแล้ว หลายๆคนก็ได้รับผลกระทบมาก-น้อยต่างกัน แล้วแต่ชีวิตใครจะมีความสามารถในการปรับตัว ยืดหยุ่นได้มากกว่ากัน ปรับตัวได้ก็รอดไป ปรับไม่ได้ก็ล้มหายตายจาก แถวบางลำพูนี่ก็ล้มหายตายจากไปหลายร้านแล้ว .... ชานมหายไป ข้าวมันไก่เปิดใหม่หายไป สเต็คปลาหายไปกลายเป็นร้านไอติมน่ารักมาแทน ร้านขายเสื้อผ้าข้างๆก๋วยเตี๋ยวเป็ดก็เลิกกลายเป็นร้านขายยา ล่าสุดนี่ร้านกาแฟขนาด 3 ห้อง "ลาเต้จูด" ก็กลายไปเป็นภัตตาคารเกาหลี "ดงแฮ" เดี๋ยวว่างๆจะไปลองชิมดูสักที เพราะไม่รู้ว่าอีก 3 เดือน 5 เดือน หลังจากนี้จะยังอยู่หรือเปล่า

แต่แถวๆข้าวสารนี่มีคนรอเสียบตลอดนะครับ ห้องว่างไม่นานเท่าไหร่ หลายๆที่ก็ยังรอดปลอดภัยมาได้ สตาร์บัคส์หน้าบ้านชาติก็อยู่มานานแล้ว คอนนิจิปังก็ยังอยู่ดีมีสุข-ร้านปิดวันอาทิตย์ ข้างๆกันก็มีร้านเครื่องดื่มเปิดใหม่น่าไปลองดู เห็นมีลูกค้านั่งเต็มเหมือนกันทั้งฝรั่งทั้งไทย ร้านหนังสือเล็กๆแหล่งกำเนิดเรื่องราวเรื่อยเปื่อยของบล็อกๆนี้ก็ยังโต้คลื่น ฝ่าลมฝนมาได้เข้าปีที่ 5 เข้าไปแล้ว ก็ได้แต่หวังว่าจะยังคง "อยู่ได้" และ "อยู่ต่อไป" จะได้มีเรื่องเล่ามาเขียนให้อ่านกันได้อีกนานๆ

พอดีวันก่อนได้คุยกับเจ้าของร้านหนังสือมือสองรุ่นบุกเบิกของถนนข้าวสารคนหนึ่ง ซึ่งเคยได้ยินว่ามีตัวตนอยู่มานานแล้ว แต่ยังไม่เคยได้โอกาสเห็นตัวตนสักที พอดีกลับจากที่ทำงานมาถึงร้านตอนค่ำก็ได้เห็น "พี่ผู้หญิง" เข้ามาดูหนังสือในร้านถามหาโลนลีแพลนเน็ตศรีลังกาภาษาฝรั่งเศส เวอร์ชันล่าสุด ซึ่งผมมีอยู่เล่มหนึ่งแต่เป็นอีดิชันเก่า เลยไม่โดน ... แต่ก็เลยได้มีโอกาสเสวนากันพักใหญ่ ผมเองสังหรณ์ตะหงิดๆว่าน่าจะใช่ ก็เลยลองประวิงเวลาหาช่องชวนคุย แรกๆพี่เขาก็ไม่ค่อยอยากจะเปิดเผยตัวนัก แต่เนื่องจากเรื่องราวที่คุยกันมันจะเป็นเรื่องวงในของคนทำธุรกิจหนังสือมือสองแถวนี้ ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ร้าน ไม่ว่าจะเป็น "ชามาน" เจ้าเก่า ... "อโพเรีย" ซึ่งปิดไปแล้ว ... "สาระบัน" ซึ่งก็ย้ายทำเลจากร้านเดิมที่ปิดไปไม่ไกลกัน ตลอดจนอีกหลายร้านที่จำชื่อได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จนกระทั่งในที่สุดก็ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ แม้จะไม่รู้ชื้อ-นามสกุล

คุยกันนานชั่วโมงกว่า เป็นเรื่องราวของตั้งร้านยุคบุกเบิก การหาหนังสือเข้าร้าน สายส่งหนังสืออันมาจากข้อได้เปรียบที่เคยทำงานโรงแรมมาก่อน การแย่งหาที่ขายของคู่แข่ง การบริหารลูกน้อง ลูกค้าฝรั่งขี้ขโมย ทั้งจับได้และจับไม่ได้ การขยายร้านไปต่างจังหวัดทั้งที่ประสพความสำเร็จและล้มเหลว การต่อยอดไปยังธุรกิจอื่น

"ร้านคุณมาช้าไปรู้ไหม เมื่อก่อนขายดีกว่านี้มาก" คนทำร้านรุ่นเก่าพูดให้ฟัง สังเกตุได้จากเมื่อก่อนนี้ ที่ร้าน "Bookazine" สาขาถนนข้าวสารเปิดขายมาตั้งนาน จนกระทั่งยอดขายหนังสือลดลงๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งปิดตัวเองไปปลายปี 2011 หลังน้ำท่วม เพราะรายรับจากยอดขายหนังสือไม่สมดุลย์กับค่าเช้าที่และค่าแรงพนักงาน

นอกจากนี้ก็ยังมีคำแนะนำอีกหลายอย่าง สำหรับการดูแลหนังสือให้ดูใหม่ หน้าหนังสือบางเรื่อง บางภาษาที่ไม่ตรงกับกลุ่มลูกค้า เพราะลูกค้าบางเชื้อชาติที่มาเที่ยวบ้านเรา มักจะมีเส้นทางปกติที่จะไม่เข้ามาที่กรุงเทพ บางประเทศจะมีไฟลท์ที่บินตรงลงไปยังภาคใต้และก็มักจะอยู่กันแถวชายหาด หรือเกาะนั้นแหละ ไม่ค่อยไปที่อื่น จนกระทั่งจบทริปก็บินกลับ เรียกว่ามาพักผ่อน ตากอากาศจริงๆจังๆเพียงอย่างเดียว ไม่ค่อยได้ไปท่องเที่ยว ผจญภัย เปิดหูเปิดตาสักเท่าไหร่ อาจจะเพราะอายุ หรือสภาพอากาศก็ไม่รู้ล่ะ

คุยกันยังไม่จบดีก็พอดีมีลูกค้าเข้ามาขัดจังหวะ เลยทำให้การสนธนาต้องหยุดลง ผมจำเป็นต้องโบกมือลาก่อนที่เจ้าของร้านหนังสือยุคบุกเบิกจะแยกตัวไป ... หันมาต้อนรับลูกค้าหนุ่มสาวที่เอาหนังสือมาแลก พร้อมกับฝากส่งโปสการ์ดสวยๆ หนังสือเป็นชุดของ "Stieg Larsson" 2 เล่มคนละภาษาและไกด์บุ๊คของโลนลีแพลนเน็ตอีก 1 เล่ม หลังจากได้หนังสือที่ต้องการ เจ้าของหนังสือวางแผนที่ลงบนโต๊ะและถามผมทันที

"Do you know how to go to the Midecal museum ?" คุณรู้ไหมว่าจะไป "พิพธภัณฑ์ยา" ได้ยังไง ... ผมแปลแบบตรงตัวอย่าง งงๆ เพราะไม่รู้จัก ... มีด้วยเหรอ

"Again, please. ... National museum ?" อีกทีซิ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติหรือเปล่า ... ผมถามย้ำอย่างไม่แน่ใจ

"No, The medical museum. Another side of the river." ไม่ใช่ ฉันหมายถึง "พิพธภัณฑ์ยา" อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำน่ะ ... หญิงสาวเจ้าของแผนที่จิ้มลงไปที่แผ่นกระดาษเบื้องหน้า

ผมมองตามที่ปลายเล็บ เห็นเป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษ "Medical & Forensic medicine Museum" สัญญลักษณ์ของมันวางอยู่ตรงข้างๆแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามท่าพระจันทร์ ... มันอยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราช ... ผมพยักหน้าอย่างคุ้นๆว่าน่าจะใช่ มันน่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เคยได้ยินว่าเก็บร่างของ "ซีอุย" ไว้และมีเศษเสื้อผ้าของพยาบาล "นวลฉวี" ที่ถูกแทงตาย ที่นั่นควรจะมีร่างเด็กดองในโหลแก้วและอะไรๆอีกหลายอย่าง

"From this map, you can go both by boat and bus." จากแผนที่อันนี้ คุณไปได้ทั้งทางเรือและทางรถนั่แหละ ... ผมตอบพร้อมอธิบายว่านั่งแท็กซี่ข้ามสะพานไป หรือไม่ก็เดินไปที่ท่าพระจันทร์แล้วนั่งเรือข้ามไปยังโรงพยาบาลศิริราชก็ได้

"I see." เข้าใจล่ะ ... ชายหนุ่มตอบพร้อมพยักหน้า

"Very strange." แปลกมากนะ ... ผมมองหน้าและพึมพำยิ้มๆ

"Why?" ทำไมหรือ ... หญิงสาวถามมาและยิ้มกว้างเช่นกัน

"From almost 5 years in my shop, you are the 1st. couple who look for medical museum. Normally they looked for national museum, grand palace or beautiful temple. Do you wann take a look on deadman or small kid in the bottle ? " เกือบ 5 ปีที่ร้านนี้ พวกคุณเป็นคู่แรกที่อยากไปดูพิพิธภัณฑ์ทางการแพทย์แห่งนี้ ส่วนใหญ่จะถามทางไปดูพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ วัดพระแก้วหรือไม่ก็วัดสวยๆอื่นๆ แต่พวกคุณอยากไปดูคนตายกับเด็กดอง แปลกไหมล่ะ ... ผมยักคิ้วให้และยิ้มกว้าง

"Yes, we like it." ช่ายยย เราอยากดู ... เธอหันไปพยักหน้าและหัวเราะกับเพื่อนชาย

ผมเลยลองค้นภาพในกูเกิลเปิดให้ดู สำหรับทั้งคู่และตัวผมเอง เพราะผมเองก็ยังไม่เคยไปเยี่ยมชมเลยสักครั้ง คือเข้าใจว่าในโรงพยาบาลมีห้องพิพิธภัณฑ์หลายส่วน ทั้งพยาธิวิทยา นิติเวช กายวิภาค และอย่างอื่นอีกหลายส่วน ... ก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่จะดูส่วนไหนละครับ แต่ภาพมันออกมาเป็น เด็กดอง ซีอุย หัวคนตายจากอุบัติเหตุ เนื้อสมองและตับไตไส้พุง เต็มไปหมด ... ลักษณะพิกลพิการพิลึกพิลั่น กับสีเนื้อซีดๆ เป็นชิ้นๆในขวด หรือทรากชิ้นส่วนแห้งๆ ชวนให้มวนท้องเป็นอย่างยิ่ง


"ซีอุย แซ่อึ้ง" เห็นเป็นละครทีวีตั้งแต่เด็ก


"ชายไม่ทราบชื่อ คอขาดจากอุบัติเหตุ"


"ร่างแฝด" ของเด็กน้อยในพิพิธภัณฑ์ ... ขอบคุณภาพบางส่วนจากพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นแหล่งให้ความรู้และเป็นประโยชน์มหาศาลแก่วงการแพทย์

... ผมชี้ให้ดูหน้าจอแบบเร็วๆ โชว์ให้เห็นว่าประมาณนี้ ก็เห็นทั้งคู่ยิ้มดีใจ พยักหน้ากันว่าใช่แล้ว แสดงว่าคงจะไปดูกายวิภาคนี่แหละ เลยได้แต่ทำตาปริบๆ พร้อมกับปิดหน้าจอไปที่เกมไพ่ "จับหมู" ออนไลน์เหมือนเดิม

"Sundday-OFF" ปิดวันอาทิตย์นะ ... ผมบอกเพิ่มเติมพร้อมกับชี้ไปที่รูปในแผนที่ ก่อนที่ทั้งคู่จะออกไป

"Thank you so much." ขอบคุณมาก ... ทั้งคู่โบกมือให้และก้าวออกไป




ภาพหนังสือชุดที่เอามาแลก พร้อมกับโปสการ์ดสวยๆจากเวียตนาม ... ดูจากภาพล่างขวา ท่าทางเวียตนามจะมีจักรยานเยอะจริงๆ ... ถ้าเป็นบ้านเรา ก็คงจะเป็นวัน "Car free day" วันเดียวในรอบปี

เจตตจัน
02-2820358
085-8035412
087-0719858

End credit / ค่ำวันนั้นผมนั่งเล่น "จับหมูออนไลน์" ยามดึกต่อ ... เพื่อนร่วมวงเลเวลต่ำๆหลายคน เหมาะกับการถูกทรมานจากการค่อยๆ "บี้หมู" โดยเรียกไพ่โพธิ์ดำทีละรอบๆ จนสมาชิกโรคจิตบางคนโยน "สิบจิก" เบิ้ลลงไปพร้อมกันเพราะดำหมด ทำให้ลบเป็นสองร้อยไปเลย หรือไม่ก็ค่อยๆเรียกดอกจิกต่ำๆ เพื่อให้คนอยากได้ 50 แต้มฟรีๆ เจอหมูเข้ามาพร้อมกันเวลา "วอยด์"

หรือบางทีก็เรียกไพ่โพธิ์แดงกลางๆก่อน เพื่อ "ซื้อถูก" และแกล้งให้คนที่คิดการใหญ่อยาก "ช้วน" ต้องยอมเอา "ฝรั่ง" ลงมากินเพื่อลบเยอะไปก่อน ไม่งั้นก็เป็นการ "ตัดช้วน" เสียแต่เนิ่นๆ นอกจากนั้นก็จะเป็นการเก็งในรอบท้ายๆว่าจะกินแต้ม "บวกร้อย" จาก "แจ็คเหลี่ยม" ได้อย่างไร

บางรอบสมาชิกจะแสดงภาพอารมณ์ "อีโมติคอน" แซวกันเล่นตลกๆ ภาพหมูน้อย "ตกใจ" บ้าง "นั่งร้องไห้" บ้างช่วยให้การเล่นมีความสนุกสนานเพิ่มขึ้น จากการยัดแต้มลบให้คนอื่น หรือแย่งแต้มบวกมาเป็นของตัวเองได้

แต่รอบที่ผมจำได้แม่นคือ รอบที่ผมกำลังจะทำ "ช้วน" ติดกันเป็นรอบที่สามใน 4 เกม หลังจาก "บิ๊กช้วน" รอบแรกและ "ช้วนกลาง" ในรอบที่ 2 ... สาวน้อยเลเวลต่ำคนหนึ่งเรียกไพ่โพธิ์แดงเป็นคนแรก หลังจากที่ผมกินไพ่โพธิ์แดงไปแล้ว 1 รอบและแสดงอาการรอช้วนอยู่มือท้ายสุด ... มือเลเวลยี่สิบกว่าคนหนึ่งออกอาการหงุดหงิด พิมพ์ข้อความลงบนบอร์ดเชิงตำหนิสาวน้อยว่า "หาแต่เรื่อง"

สาวน้อยพิมพ์ตอบไปว่า "ว่าเราเหรอ เรื่องไรอ่ะ"

หนุ่มนิรนามคำรามมาในบอร์ด "เดี๋ยวก็รู้"

รอบนั้นผมนั่งหัวเราะอย่างครื้นเครงอยู่หน้าจอให้กับหนุ่มนิรนามผู้ออกอาการหงุดหงิด (เราเจอกันมาหลายรอบ หลายวันแล้ว และมักจะรู้ทัน "ตัดแต้มบวก" "ตัดช้วน" หรือ "ยัดแหม่ม" "เบิ้ลแต้มลบ" ให้กันอยู่บ่อยๆ) ก่อนกินไพ่โพธิ์แดงไปอีกรอบ แต่ตอนจบเกม ไพ่ในมือ "ขาดช้วน" ไป 2 ใบ ซึ่งติดอยู่ที่สาวน้อยคนนั้นนั่นเอง

ก่อนจบเกม ผมกดแสดงไอคอนการ์ตูน "หมูน้อยโบกมือบ๊ายบาย" พร้อมกับพิมพ์ข้อความ "จุกเบย ... อกแหล็ก" ก่อนจะออกจากหน้าจอเกม พร้อมกับรู้สึกสะใจอยู่ลึกๆ ... ถ้านั่งเล่นไพ่อยู่ด้วยกันจริงๆ เธอคงส่งยิ้มให้หนุ่มนิรนาม พร้อมกับยักคิ้วและถามไป "เห็นไหมล่ะ"

... เอาไว้วันไหน ไปดูบ้างดีกว่า ยังไม่เคยไปดู "ซีอุย" เลย ... เคยเห็นแต่ในหนังตอนเด็กๆ SmileySmiley




Create Date : 05 เมษายน 2557
Last Update : 5 เมษายน 2557 10:00:15 น. 0 comments
Counter : 8505 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jettajan
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add jettajan's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.