พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงมีธรรมสีหนาทที่ทำเทวโลกให้สั่นสะเทือน
.
ภิกษุ ท. ! พญาสัตว์ชื่อสีหะ ออกจากถ้ำที่อาศัยในเวลาเย็น เหยียดกายแล้วเหลียวดูทิศทั้งสี่โดยรอบ บันลือสีหนาทสามครั้งแล้วก็เที่ยวไปเพื่อหาอาหาร. บรรดาสัตว์เดรัจฉานเหล่าใดที่ได้ยินสีหนาท สัตว์เหล่านั้นก็สะดุ้งกลัวเหี่ยวแห้งใจ, พวกที่อาศัยโพรงก็เข้าโพรง ที่อาศัยน้ำก็ลงน้ำ พวกอยู่ป่าก็เข้าป่า ฝูงนกก็โผขึ้นสู่อากาศ, เหล่าช้างของพระราชาในหมู่บ้าน นิคมและเมืองหลวง ที่เขาผูกล่ามไว้ด้วยเชือกอันเหนียว ก็พากันกลัว กระชากเชือกให้ขาด แล้วถ่ายมูตรและกรีสพลางแล่นหนีไปพลาง ทั้งข้างโน้นและข้างนี้.
ภิกษุ ท. ! พญาสัตว์ชื่อสีหะ เป็นสัตว์มีฤทธิ์มาก มีศักดิ์มาก มีอานุภาพมากกว่าบรรดาสัตว์เดรัจฉาน ด้วยอาการอย่างนี้แล.
ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลใดตถาคตอุบัติขึ้นในโลก เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบโดยตนเอง สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ไปดี รู้แจ้งโลก เป็นผู้ฝึกบุรุษที่พอฝึกได้ไม่มีใครยิ่งไปกว่า เป็นครูสอนเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ปลุกสัตว์ให้ตื่น เป็นผู้จำแนกธรรม. ตถาคตนั้นแสดงธรรมว่า ..
- สักกายะ (คือทุกข์) เป็นเช่นนี้ - เหตุให้เกิดสักกายะเป็นเช่นนี้ - ความดับไม่เหลือแห่งสักกายะเป็นเช่นนี้ - ทางให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งสักกายะเป็นเช่นนี้.*
พวกเทพเหล่าใด เป็นผู้มีอายุยืนนาน มีวรรณะ มากไปด้วยความสุข ดำรงอยู่นมนานมาแล้วในวิมานชั้นสูง, พวกเทพนั้นๆ โดยมาก ได้ฟังธรรมเทศนาของตถาคตแล้วก็สะดุ้งกลัว เหี่ยวแห้งใจ สำนึกได้ว่า "ท่านผู้เจริญเอ๋ย! พวกเราเมื่อเป็นผู้ไม่เที่ยง ก็มาสำคัญว่าเป็นผู้เที่ยง เมื่อไม่ยั่งยืน ก็มาสำคัญว่ายั่งยืน เมื่อไม่มั่นคง ก็มาสำคัญว่าเราเป็นผู้มั่นคง. พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืนไม่มั่นคงและถึงทั่วแล้วซึ่งสักกายะ คือความทุกข์" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ตถาคตเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ศักดิ์มาก อานุภาพมาก กว่าสัตว์โลก พร้อมทั้งเทวโลก ด้วยอาการอย่างนี้แล. . . . บาลี จุตกฺก. อํ. ๒๑/๔๒/๓๓. --------------------------------------------------------- * ในบาลี ขนฺธ. สํ. ๑๗/๑๐๓/๑๕๕ ทรงแสดงลักษณะ, สมุทัย, อัตถังคมะ แห่งเบญจขันธ์แทนเรื่องสักกายะ ๔ ประการ ดังที่กล่าวข้างบนนี้, โดยข้อความที่เหมือนกัน.
Create Date : 29 มิถุนายน 2555 |
|
2 comments |
Last Update : 29 มิถุนายน 2555 16:36:43 น. |
Counter : 1433 Pageviews. |
|
|
|
ธรรมะไม่ว่าจากไหน ถ้าสอนให้ละกิเลสได้ ดีทั้งนั้น เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ติดสมมุติว่าคำสอนมาจากไหน