พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ (อีกนัยหนึ่ง)
.
ภิกษุ ท. ! ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า "สัตว์โลกนี้หนอ ถึงแล้วซึ่งความยากเข็ญย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ, ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร."
ภิกษุ ท. ! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะ จึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัยหนอ จึงมีชรามรณะ" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคาย, แก่เราว่า ..
...* เพราะ ชาติ นั่นแล มีอยู่ ชรามรณะ จึงได้มี : เพราะมีชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรามรณะ" ดังนี้.
...* เพราะ ภพ นั่นแล มีอยู่ ชาติ จึงได้มี : เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ" ดังนี้.
...เพราะ อุปาทาน นั่นแล มีอยู่ ภพ จึงได้มี : เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ"ดังนี้.
...เพราะ ตัณหา นั่นแล มีอยู่ อุปาทาน จึงได้มี : เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน" ดังนี้.
...เพราะ เวทนา นั่นแล มีอยู่ ตัณหา จึงได้มี : เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา" ดังนี้.
...เพราะ ผัสสะ นั่นแล มีอยู่ เวทนา จึงได้มี : เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา" ดังนี้.
...เพราะ สฬายตนะ นั่นแล มีอยู่ ผัสสะ จึงได้มี : เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ" ดังนี้.
...เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ สฬายตนะ จึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ" ดังนี้.
...เพราะ วิญญาณ นั่นแล มีอยู่ นามรูป จึงได้มี : เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ความรู้สึกอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะ นามรูป นั่นแล มีอยู่ วิญญาณ จึงได้มี : เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ .. - เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; - เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; - เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ - เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ; - เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา; - เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา; - เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน; - เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ; - เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ; - เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้."
(หมายเหตุ .. จขบ ข้อความนี้อาจทำให้ งง สับสน ... " .. วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ .. - เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; - เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; - เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
นามรูป - นามธรรมและรูปธรรม; - นามธรรม หมายถึง สิ่งที่ไม่มีรูป คือรู้ไม่ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่รู้ได้ด้วยใจ ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ; - รูปธรรม หมายถึงสิ่งที่มีรูป สิ่งที่เป็นรูป ได้แก่รูปขันธ์ทั้งหมด
จากความหมายของ " วิญญาณ " ที่หมายถึงการรับรู้จากอายตนะ หรือความรู้แจ้งอารมณ์ ..
ความรู้แจ้งอารมณ์ หรือ การรับรู้จากอายตนะ จึงต้องตั้งอยู่บนนามรูป หรือ ร่างกาย .. เพราะหากไม่มีร่างกาย อายตนะทั้ง 6 ก็ไม่มี .. วิญญาณ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ..
เพราะฉะนั้นที่ตรัสว่า .. "เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ" คือความหมายนี้ ... เป็นสภาพธรรมของร่างกาย หรือ รูปกับนามนั่นเอง (สติ สัมปชัญญะ ย่อมตั้งอยู่บนร่างกาย .. ตายแล้วไม่มี ) .. เป็นตัวที่จะดับไปพร้อมกับร่างกาย เมื่อตายไป ..
วิญญาณตัวแรกนี้ แม้พระอรหันต์ที่ถอนอาสวะได้หมดสิ้นแล้วจากจิต ก็ยังต้องมี .. เพราะยังต้องมีการรับรู้ทางอายตนะ เพียงแต่ท่านไม่ปรุงแต่งเป็นความทุกข์อีกต่อไป
ทีนี้ประโยคต่อมาที่ตรัสว่า .. "เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป" .. วิญญาณ ตัวหลังนี้ คือวิญญาณที่เกิดจากการปรุงแต่งจากสังขารที่มีกำลังส่งมาจากอวิชชาอีกต่อหนึ่ง .. เป็นวิญญาณแห่งความเขลา .. เป็นตัวที่ทำให้เกิดทุกข์ .. เป็นตัวที่ต้องถูกจำกัด ควบคุม .. ดู .. ห่วงโซ่แห่งทุกข์ อวิชชา -> สังขาร -> วิญญาณ -> นามรูป -> สฬายตนะ(อายตนะนอก/ใน) -> ผัสสะ -> เวทนา -> ตัณหา -> อุปาทาน -> ภพ -> ชาติ -> ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมมัส อุปายาส
" .. วิญญาณนี้ ย่อมเวียนกลับจากนามรูป : ย่อมไม่เลยไปอื่น; ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง : ข้อนี้ได้แก่การที่ .. - เพราะมีนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; - เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป; - เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
ตรงนี้หากใช้คำว่า "รูปนาม" ที่ตัวแรกเสีย อาจจะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น - เพราะมี"รูปนาม" เป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ; - เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมี"นามรูป"; - เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ)
................................รูปนาม (ร่างกาย) ....................................V อวิชชา -> สังขาร -> วิญญาณ -> นามรูป -> สฬายตนะ(อายตนะนอก/ใน) -> ผัสสะ -> เวทนา -> ตัณหา -> อุปาทาน -> ภพ -> ชาติ -> ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมมัส อุปายาส
ภิกษุ ท. ! ดวงตา เกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อนว่า "ความเกิดขึ้นพร้อม (สมุทัย) ! ความเกิดขึ้นพร้อม (สมุทัย)!" ดังนี้.
... ... ...
ภิกษุ ท. ! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราต่อไปว่า "เมื่อไรไม่มีหนอชรามรณะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งอะไร จึงมีความดับแห่งชรามรณะ" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า ..
... เพราะ ชาติ นั่นแล ไม่มี ชรามรณะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งชาติ จึงมีความดับแห่งชรามรณะ" ดังนี้.
... เพราะ ภพ นั่นแล ไม่มี ชาติ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งภพจึงมีความดับแห่งชาติ" ดังนี้.
... เพราะ อุปาทาน นั่นแล ไม่มี ภพ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ" ดังนี้.
... เพราะ ตัณหา นั่นแล ไม่มี อุปาทาน จึงไม่มี: เพราะความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน" ดังนี้.
... เพราะ เวทนา นั่นแล ไม่มี ตัณหา จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา" ดังนี้.
... เพราะ ผัสสะ นั่นแล ไม่มี เวทนา จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา" ดังนี้.
... เพราะ สฬายตะ นั่นแล ไม่มี ผัสสะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ" ดังนี้.
... เพราะ นามรูป นั่นแล ไม่มี สฬายตนะ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ" ดังนี้.
... เพราะ วิญญาณ นั่นแล ไม่มี นามรูป จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่อไรไม่มีหนอ วิญญาณ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งอะไร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดยแยบคายได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เพราะ นามรูป นั่นแล ไม่มี วิญญาณ จึงไม่มี : เพราะความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ" ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "หนทางเพื่อการตรัสรู้นี้ อันเราได้ถึงทับแล้วแล : ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ .. - เพราะความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ; - เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป; - เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ; - เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะจึงมีความดับแห่งผัสสะ; - เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา; - เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา; - เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน; - เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ; - เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ; - เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแลชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้."
ภิกษุ ท. ! ดวงตาเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อนว่า "ความดับไม่เหลือ (นิโรธ) ! ความดับไม่เหลือ (นิโรธ) !" ดังนี้. . . . สูตรที่ ๕ มหาวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐. ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตวัน. ----------------------------------------------------- * ข้อความตามที่ละ... ไว้นั้น หมายความว่า ได้มีความฉงนเกิดขึ้นทุกๆตอน แล้วทรงทำในใจโดยแยบคาย จนความรู้แจ้งเกิดขึ้นทุกๆ ตอน เป็นลำดับไปจนถึงที่สุด ทั้งฝ่าย สมุทยวารและนิโรธวาร; ในที่นี้ละไว้โดยนัยที่ผู้อ่านอาจจะเข้าใจเอาเองได้; คือเป็นการตัดความรำคาญในการอ่าน.
Create Date : 02 มิถุนายน 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 2 มิถุนายน 2555 20:58:56 น. |
Counter : 1263 Pageviews. |
|
|
|