Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2555
 
1 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 

พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงค้นลูกโซ่แห่งทุกข์ ก่อนตรัสรู้ (ปฏิจจสมุปบาท)

.




ภิกษุ ท. !
ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่, ได้เกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นว่า "สัตว์โลกนี้หนอ ถึงทั่วแล้วซึ่งความยากเข็ญ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และบังเกิดอีก, ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่องออกไปพ้นจากทุกข์คือชรามรณะแล้ว การออกจากทุกข์ คือชรามรณะนี้จักปรากฏขึ้นได้อย่างไร".

ภิกษุ ท. !
ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า "เมื่ออะไรมีอยู่หนอชรามรณะจึงได้มี : ชรามรณะมีเพราะปัจจัยอะไรหนอ".

ภิกษุ ท. !
ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญา, เพราะการคิดโดยแยบคาย, แก่เราว่า ..

- เพราะ ชาติ นี่เองมีอยู่ ชรามรณะจึงได้มี : ชรามรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย;
- เพราะ ภพ นี่เองมีอยู่ ชาติจึงได้มี : ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย;
- เพราะ อุปาทาน นี่เอง มีอยู่ ภพจึงได้มี : ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย;
- เพราะ ตัณหา นี่เองมีอยู่ อุปาทานจึงได้มี : อุปาทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย;
- เพราะ เวทนา นี่เองมีอยู่ ตัณหาจึงได้มี : ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย;
- เพราะ ผัสสะ นี่เองมีอยู่ เวทนาจึงได้มี : เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย;
- เพราะ สฬายตนะ นี่เองมีอยู่ ผัสสะจึงได้มี : ผัสสะมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย;
- เพราะ นามรูป นี่เองมีอยู่ สฬายตนะจึงได้มี : สฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย;
- เพราะ วิญญาณ นี่เองมีอยู่ นามรูปจึงได้มี : นามรูปมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย;
- เพราะ สังขาร นี่เองมีอยู่ วิญญาณจึงได้มี : วิญญาณมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย;
- เพราะ อวิชชา นี่เองมีอยู่ สังขาร ท. จึงได้มี : สังขาร ท. มีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย;" ดังนี้ :


- เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร ท.;
- เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ;
- เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป ;
- เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดสฬายตนะ;
- เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ;
- เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา;
- เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา;
- เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน;
- เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ;
- เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ;
- เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ท. : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้
.



( หมายเหตุ จขบ ..
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์ นั้น อธิบายความโดยแยกเป็น 3 กาลเวลา คือ ..

- เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกิดสังขาร ท.;
- เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงเกิดวิญญาณ;
- เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป ;
... 3 ส่วนแรก เป็นอดีตชาติ.. โดยเพิ่ม"ปฏิสนธิวิญญาณ" แทรกเข้ามาตรงนี้ .. ที่ไม่ใช่ พระพุทธวจนะ !

- เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดสฬายตนะ;
- เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ;
- เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา;
- เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา;
- เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปาทาน;
- เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ;
- เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ;
... 7 ส่วนตรงกลาง เป้นปัจจุบันชาติ

- เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส
... 2 ส่วนหลังสุดเป็นอนาคตชาติ)

การตีความเช่นนี้เองเป็นที่มาของ "..ชาติก่อน .. ชาตินี้ .. ชาติหน้า .." ที่แพร่หลายอยู่ในหมู่เถรวาท .. อันเป็นการเอา "ไตรเภท-ไตรภูมิ" ของพราหมณ์มาแทรก .. ทั้งๆที่มันขัดแย้งกับหลัก "ไตรลักษณ์" อย่างตรงกันข้าม !





ภิกษุ ท. !
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ..
- ความเกิดขึ้นพร้อม !
- ความเกิดขึ้นพร้อม !
ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

.... .... ....

ภิกษุ ท. !
ความฉงนได้มีแก่เราอีกว่า "เมื่ออะไรไม่มีหนอ ชรามรณะ จึงไม่มี : เพราะอะไรดับไปหนอ ชรามรณะจึงดับไป".

ภิกษุ ท. !
เพราะการคิดโดยแยบคาย, ได้เกิดความรู้สึกด้วยปัญญาแก่เราว่า ..
- เพราะ ชาติ นี่เองไม่มี ชรามรณะจึงไม่มี : ชรามรณะดับ เพราะชาติดับ ;
- เพราะ ภพ นี่เองไม่มี ชาติจึงไม่มี : ชาติดับเพราะภพดับ;
- เพราะ อุปาทาน นี่เองไม่มี ภพจึงไม่มี : ภพดับเพราะอุปาทานดับ;
- เพราะ ตัณหา นี่เองไม่มี อุปาทานจึงไม่มี : อุปาทานดับ เพราะตัณหาดับ;
- เพราะ เวทนา นี่เองไม่มี ตัณหาจึงไม่มี : ตัณหาดับเพราะเวทนาดับ;
- เพราะ ผัสสะ นี่เองไม่มี เวทนาจึงไม่มี : เวทนาดับเพราะผัสสะดับ;
- เพราะ สฬายตนะ นี่เองไม่มี ผัสสะจึงไม่มี : ผัสสะดับ เพราะสฬายตนะดับ;
- เพราะ นามรูป นี่เองไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี : สฬายตนะดับ เพราะนามรูปดับ;
- เพราะ วิญญาณ นี่เองไม่มี นามรูปจึงไม่มี : นามรูปดับ เพราะวิญญาณดับ;
- เพราะ สังขาร นี่เองไม่มี วิญญาณจึงไม่มี : วิญญาณดับ เพราะสังขารดับ;
- เพราะ อวิชชา นี่เองไม่มี สังขาร ท. จึงไม่มี : สังขารดับเพราะอวิชชาดับ;" ดังนี้ :

- เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ;
- เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ;
- เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ;
- เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ;
- เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ;
- เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ;
- เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ;
- เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ;
- เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ;
- เพราะภพดับ ชาติจึงดับ;
- เพราะชาติดับ ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ท. จึงดับ : ความดับไม่เหลือแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น ย่อมมีได้ด้วยอาการอย่างนี้.



( หมายเหตุ .. จขบ
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ เมื่อพระชนมายุ 35 .. แปลว่า .. อวิชชาดับ ..จริงไหม ? .. เพราะเกิด การรู้แจ้งในจิต คือเกิดวิชชา ขึ้น

- เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ;
- เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ;
- เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ

หากแปล "นามรูป" ว่า การเกิดแห่งชาติปัจจุบันตามแบบ"วิสุทธิมรรค" แล้ว
คำถามย่อมมีว่า .. เมื่อ อวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ นามรูปดับ .. แล้วเหตุใด พระพุทธองค์ถึงไม่ปรินิพพานคาโคนต้นโพธิ์ ? .. กลับยังสามารถสั่งสอนธรรมแก่คนทั้งปวงต่อมาอีกตั้ง 45 ปี จนพระชนมายุถึง 80 ได้ ?

นี้ย่อมแสดงว่า .. ลูกโซ่แห่งทุกข์นี้ .. เป็นอาการที่เกิดต่อเนื่องรวดเดียวจากอวิชชาจนถึงทุกข์ โดยไม่มีการแบ่งแยก อย่างที่ วิสุทธิมรรค ตีความแต่อย่างใด

ดังนั้น .. จึงไม่มีชาติก่อน ชาติหน้า ใดๆทั้งสิ้น .. มีแต่ชาติปัจจุบันเท่านั้น .. ในการพิจารณาการเกิดแห่งทุกข์ในจิต ..

จึงจักเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ รับรู้ได้ด้วยตนเอง ในทันทีที่ความโง่ครอบงำจิต หลังเกิดการสัมผัสทางทวารทั้ง 6 ! .. )




ภิกษุ ท. !
ดวงตา ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ในสิ่งที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความดับไม่เหลือ! ความดับไม่เหลือ! ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
.
.
.
ทสมสูตร พุทธวรรค อภิสมยสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๑๑/๒๖..





 

Create Date : 01 มิถุนายน 2555
0 comments
Last Update : 1 มิถุนายน 2555 17:00:39 น.
Counter : 1331 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.