Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2555
 
27 มิถุนายน 2555
 
All Blogs
 

พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ .. ทรงประกาศพรหมจักรท่ามกลางบริษัท

.




ภิกษุ ท. !
ตถาคตเป็นผู้ประกอบด้วยพลญาณ ๑๐ อย่าง และประกอบ ด้วยเวสารัชชญาณ ๔ อย่าง จึง ปฏิญญาตำแหน่งจอมโลก บันลือสีหนาท ประกาศพรหมจักร ในท่ามกลางบริษัททั้งหลาย ว่า :-

"รูป คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิดรูป คืออย่างนี้ๆ, ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งรูป คืออย่างนี้ๆ:" และว่า

"เวทนา คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิดเวทนา คืออย่างนี้ๆ, ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งเวทนา คืออย่างนี้ๆ";" และว่า

"สัญญา คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิดสัญญา คืออย่างนี้ๆ, ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งสัญญา คืออย่างนี้ๆ:" และว่า

"สังขาร ทั้งหลาย คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิดสังขารทั้งหลาย คืออย่างนี้ๆ, ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งสังขารทั้งหลาย คืออย่างนี้ๆ;" และว่า

"วิญญาณ คืออย่างนี้ๆ, เหตุให้เกิดวิญญาณ คืออย่างนี้ๆ, ความไม่ตั้งอยู่ได้แห่งวิญญาณ คืออย่างนี้ๆ;"


(หมายเหตุ จขบ. คือเรื่องเบญจขันธ์)


และว่า "เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี; เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น. เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี; เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ : ข้อนี้ได้แก่ความที่:-

เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย;
เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ;
เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป;
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ;
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ;
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา;
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา;
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน;
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ;
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ;
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย, ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน : ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

เพราะความจางคลายดับไปโดยไม่เหลือแห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว, จึงมีความดับแห่งสังขาร;
เพราะมีความดับแห่งสังขาร จึงมีความดับแห่งวิญญาณ;
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป;
เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ;
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ;
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา;
เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา;
เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน;
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ;
เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ;
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัสอุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น : ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้" ดังนี้ แล.


(หมายเหตุ จขบ. คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท ...
ที่ไม่ใช่เรื่องบุญ ไม่ใช่การสะสมบุญเพื่อการเวียนเกิดเวียนดับในภพภูมิต่อๆไป เพื่อหวังในสถานภาพที่ดี ที่สูง ที่ร่ำรวย เหมือนที่ วัดธรรมกายสอนแต่อย่างใด

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทนไม่ได้ถึงกับทำให้ออกบวชแสวงหาหนทางด้วยพระองค์เอง .. สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ .. สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนตลอด 45 ปีหลังตรัสรู้ .. ล้วนแล้วแต่เรื่องทุกข์ ในจิตของคนเรา ..
.. ทุกข์คืออย่างไร
.. ทุกข์เกิดได้อย่างไร .. หรือ .. อะไรคือเหตุแห่งทุกข์
.. จะดับทุกข์ในจิตได้อย่างไร
.. และการจะดับทุกข์นั้น .. ต้องทำอย่างไร .. ด้วยวิธีไหน

ศัพท์แสงยากๆ หรือ เรื่องที่รู้ด้วยตนเองไม่ได้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ต้องไปกังวลใส่ใจ )

.
.
.
บาลี สูตรที่ ๑ ทสพลวรรค นิทานสํยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๓๓/๖๔.
ตรัสแก่ภิกษุ ท. ที่เชตวัน.
ทรงประกาศพรหมจักร คือ เรื่องเบญจขันธ์และปฏิจจสมุปบาท,
ด้วยเครื่องมือ คือทสพลญาณสิบ และ เวสารัชชญาณสี่ นั่นเอง.




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2555
1 comments
Last Update : 27 มิถุนายน 2555 6:12:12 น.
Counter : 1641 Pageviews.

 

อย่ากล่าวว่าประวัติจากพระโอษฐ์เลย เพราะไม่มีใครเกิดทัน ไม่มีใครรู้ว่า พระพุทธเจ้าพูดจริงหรือเปล่า พิจารณาจากคำสอนดีกว่า

 

โดย: จงจิต IP: 58.9.104.132 27 มิถุนายน 2555 8:06:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.