วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร
สวัสดีวันจันทร์ค่ะ ช่วงนี้ใกล้ปิดเทอมแล้ว... หมอกสอบวันนี้วันสุดท้ายแล้วปิดเทอมเลย ส่วนเมฆก็สอบเสร็จวันศุกร์นี้แล้วปิดเทอมเหมือนกันค่ะ เราคงจะเหมือนแม่อีกหลายคนที่พอลูกปิดเทอมไม่ได้ไปโรงเรียน เหมือนจะว่าง...แต่รู้สึกว่ายิ่งยุ่งค่ะ ไม่รู้อะไรเยอะัแยะไปหมด ออกตัวก่อนว่า ช่วงนี้อาจจะมีผลุบๆ โผล่ๆ บ้าง หรือแวะทักทายได้ไม่ครบบ้าง ตามแต่เวลาเอื้ออำนวย...แต่จะพยายามมาอัพบล็อกเรื่อยๆ ค่ะ...
วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร...ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางทริปนี้ค่ะ ตอนมามัสยิดเราเดินฝั่งซ้าย คือฝั่งมัสยิด
ขากลับเลยอยากเดินฝั่งขวาบ้าง เลยเจอวัดโดยบังเอิญ...วัดนี้...ไม่ได้ทำการบ้านมาก่อนค่ะ
อ่านจากชื่อ...เห็นว่าเป็นวัดหลวง เลยขอแวะซักหน่อย
อีกมุมหนึ่งของคลองบางกอกใหญ่...
วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร
วัดโมลีโลกยารามเป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด ใครเป็นผู้สร้างในสมัยนั้นเรียกว่า วัดท้ายตลาด เพราะอยู่ต่อจากตลาดเมืองธนบุรี แต่เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ได้ทรงรวมอุปจารวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) และวัดท้ายตลาดเข้าไปในพระราชวัง ซึ่งเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์มาจำพรรษาตลอดรัชกาล
ต่อมาสมัยสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงย้ายเมืองหลวงมาตั้งที่ฝั่งกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นิมนต์พระสงฆ์ มาจำพรรษาทั้งที่วัดแจ้งและวัดท้ายตลาด ทรงตั้งพระมหาศรี วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) เป็นพระเทพโมลี และภายหลังได้สถาปนา เป็นพระพุทธโฆษาจารย์ มาเป็นเจ้าอาวาสวัดท้ายตลาด
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ครั้งเป็นสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และสร้าง พระอุโบสถ และพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดพุทไธศวรรย์" ในสมัยนั้นการศึกษาวิชาการต่างๆ นั้นต้องไปศึกษาตามวัด จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระโอรสไปศึกษาอักษรสมัยเบื้องต้นในสำนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) ซึ่งเป็นพระราชาคณะแห่งวัดนี้ ขณะนั้นดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของเจ้านายในสมัยนั้นมาก และยังเป็นพระราชกรรมวาจาจารย์ ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จออกผนวช
ต่อมา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์วัดใหม่ทั้งพระอาราม ทรงพระราชทานนามใหม่ ว่า "วัดโมลีโลกสุธาราม" ภายหลังได้เรียกกันว่า "วัดโมลีโลกยาราม" ในรัชสมัยนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ถึงแก่มรณภาพ เมื่อ พ.ศ.๒๓๘๖ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้หล่อรูปสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ขุน) ประดิษฐานไว้ในหอที่วัดโมลีโลกยาราม เพื่อสักการะบูชาเวลาเสด็จพระ ราชดำเนินมาพระราชทานผ้าพระกฐิน จึงสืบเนื่องเป็นประเพณีมาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน
เสียดายค่ะ...ไม่น่าเชื่อว่าเป็นวัดหลวง...
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ได้ทรงปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ ทรงสร้างกุฏิตึกเจ้าอาวาส หอสวดมนต์ และหอกลาง ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงปฏิสังขรณ์หอพระไตรปิฎกซึ่งเป็นโบราณสถานของวัด ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินในปีพุทธศักราช ๒๔๑๘
ต่อมาเมื่อสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี เสด็จออกไปประทับกับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชโอรสพระองค์น้อยที่พระราชวังเดิมฝั่งธนบุรี พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้รื้อพระตำหนักแดง* ที่เคยประทับในพระบรมมหาราชวังไปสร้างถวายที่พระราชวังเดิมทั้งหมู่ ครั้นสมเด็จ พระศรีสุริเยนทราบรมราชินีเสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระตำหนักแดงไปสร้างถวายเป็น กุฏิเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงจัดลำดับพระอารามหลวงให้วัดโมลีโลกยารามเป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรวิหาร และได้เสด็จพระราชดำเนินทอดถวายผ้าพระกฐินในปีพุทธศักราช ๒๔๕๘
วัดโมลีโลกยารามเป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์กรุงธนบุรี และกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นวัดเก่าแก่สมควรที่จะได้รับการดูแลรักษาบูรณปฏิสังขรณ์ให้คงอยู่คู่พระราชวังเดิมแห่งกรุงธนบุรี เป็นการอนุรักษ์สืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่สืบไป
ปัจจุบันวัดโมลีโลกยาราม มีจำนวนพระภิกษุสามเณรที่เข้าจำพรรษาทั้งสิ้น ๑๒๖ รูป เป็นพระภิกษุ ๖๙ รูป สามเณร ๕๗ รูป มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมเปิดสอนแผนกบาลีตั้งแต่ชั้นประโยค ๑-๒ ถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค และนักธรรมชั้นตรีถึงชั้นเอกพระภิกษุ สามเณรทุกรูป ต่างได้ปฏิบัติศาสนกิจและศึกษาเล่าเรียน และบอกสอนพระธรรมวินัยตามความสามารถ
พระอุโบสถ ลักษณะทรงไทยยุคต้นรัตนโกสินทร์ ขนาดกว้าง ๙.๕๐ เมตร ยาว ๒๕ เมตร หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ช่อฟ้าใบระกาไม้สักลงรักปิด กระจกภายในผนังและเพดานเขียนภาพทรงข้าวบิณฑ์ ประตูและหน้าต่างแกะสลักลายกนกลงรักปิดทองงดงาม หน้าบันมีตราไอยราพรตรัชกาลที่ ๔ ตามหลักฐานน่าจะสร้างในรัชกาลที่ ๑ ที่โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่๒) รับเป็นธุระสร้างขึ้น และได้รับการ ปฏิสังขรณ์ใหม่ในรัชกาลที่ ๔ จึงมีตราประจำรัชกาลประดิษฐานที่หน้าบัน
พระวิหาร ลักษณะทรงไทยผสมจีน ขนาดกว้าง ๘.๗๕ เมตร ยาว ๑๙.๗๕ เมตร หลังคามุงกระเบื้องเคลือบดินเผา ช่อฟ้าใบระกาปั้นด้วยปูน ด้านในกั้นเป็น ๒ ห้อง ด้านหลังเป็นห้องเล็กมีพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่ และพระอัครสาวกประทับผินพระพักตร์ไปทางพระอุโบสถผนังและเพดานเขียนลวดลายงดงาม ด้านหน้าเป็นห้องใหญ่ตรงกลางมีแท่นชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่าง ๆ ประมาณ ๒๐ องค์ ผนังฉาบปูน ประตูและหน้าต่างทุกช่อง เขียนลายรดน้ำงดงามแต่ชำรุด เพดานเขียนลวดลายเป็นกลุ่มดาว สร้างเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน เพียงเล่าสืบกันมาว่า สมัยกรุงธนบุรีโปรดให้ใช้เป็น ฉางเกลือ จนมีผู้เรียกว่า "พระวิหารฉางเกลือ" มาจนถึงทุกวันนี้
วันที่เราไป...ปิดหมด ไม่เห็นภายในทั้งพระอุโบสถ และวิหาร
หอสมเด็จ หอนี้แบ่งเป็น ๒ ชั้น คือชั้นฐานและชั้นตัวหอ ชั้นฐาน กว้าง ๖.๒๐ เมตร ยาว ๒๑.๕๐ เมตร เป็นฐานรับหอสมเด็จและ พระเจดีย์ มีบันได้ขึ้นลง ๒ ทางแบ่งเป็นช่อง ๆ แต่ละช่องมีรูปปั้นทหารแบกฐานไว้แต่ชำรุด ชั้นตัวหอ ประกอบด้วยหอสมเด็จและองค์พระเจดีย์ทรงลังกาประจำอยู่มุมละ ๑ องค์ นัยว่าเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระเมาฬีของรัชกาลที่ ๓ และรัชกาลที่ ๔ ด้านหน้าเป็นอุโมงค์บรรจุรอยพระพุทธบาทจำลอง เฉพาะตัวหอสมเด็จ กว้าง ๔.๐๐ เมตร ยาว ๘.๖๐ เป็นตึกทรงไทย ภายในประดิษฐานรูปหล่อสมเด็จพระพุทธ โฆษาจารย์ (ขุน) หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ประตูและหน้าต่างเขียนภาพลายรดน้ำงดงาม นับเป็นสิ่งที่หาชมได้ยากยิ่ง
หอพระไตรปิฎก เรียกทั่วไปว่า หอไตร เป็นอาคารไม้ ทรงไทยพื้นสูง ขนาดกว้าง ๗.๕๐ เมตร ยาว ๑๑.๕๐ เมตร หลังคามุงกระเบื้อง เคลือบใช้ปูนปั้นรูปเจดีย์แทนช่อฟ้า ประตู หน้าต่าง และผนังด้านในเขียนภาพลายรดน้ำสวยงาม คงสร้างในรัชกาลที่ ๓ และปฏิสังขรณ์ในรัชกาลที่ ๕ แต่พระรัตนมุนี เจ้าอาวาสรูปที่ ๑๑ ให้ก่ออิฐเสริมชั้นล่างทำเป็นห้อง จึงเสียรูปทรงเดิมไป ขณะนี้ชำรุดทรุดโทรมมากทั้งตัวอาคารและลายรดน้ำ
ศาลาการเปรียญ สร้างด้วยไม้ล้วน ยาว ๑๕ วา กว้าง ๕ วา หลังคามุขลด ๒ ชั้น มุงกระเบื้องไทย นอกจากปูชนียวัตถุและถาวรวัตถุแล้ว สิ่งสำคัญที่เป็นสังหาริมทรัพย์วัตถุซึ่งได้รับพระราชทานไว้สำหรับวัดคือ
๑. พระไตรปิฏกฉบับพิมพ์ในรัชกาลที่ ๕ พร้อมตู้บรรจุ จำนวน ๑ จบ ๒. พระไตรปิฏกสยามรัฐ ซึ่งเป็นฉบับพิมพ์ในรัชกาลปัจจุบัน จำนวน ๑ จบ ๓. พระบรมรูปหล่อพระบามสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเครื่องยศจอมพลทหารบก ๔. ธรรมาสน์ลายทอง ซึ่งเป็นเครื่องสังเค็ด* ในคราวงานถวายพระราชทานเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๕. คัมภีร์ภิกขุปาฏิโมกข์พร้อมทั้งตู้และธรรมาสน์สำหรับนั่งสวด ซึ่งเป็นเครื่องสังเค็ดในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร์
แผนที่การเดินทาง...
หมายเหตุ
อย่างที่บอกไว้ค่ะ...เราไปวัดนี้ แบบไม่ได้เตรียมตัวหาข้อมูลมาก่อน ถ่ายรูปกลับมาแล้ว มาค้นข้อมูลเพิ่มเติม...ถึงได้รู้ว่า...วัดโมลีโลกยาราม วัดหลวงแห่งนี้ มีความสำคัญมากมาย... ถ้าใส่รูปไม่ตรงกับหัวข้อเรื่อง ขออภัยด้วยค่ะ
กลับจริงๆ แล้วค่ะ เดินผ่านสะพานอนุทินสวัสดิ์เหมือนเดิมแต่คนละฝั่ง
เดินฝั่งนี้ เลยเห็นป้ายคลองบางกอกใหญ่ด้วย
อีกมุมของคลองบางกอกใหญ่ หรือคลองบางหลวง
ไม่รู้ยังใช้การได้มั้ย เห็นจอดอยู่เลยถ่ายมา...
ขอบคุณข้อมูล : //www.watmoli.org/
ขอบคุณเฮดบล็อก และบีจี คุณญามี่
ทริปนี้เราเดินทางแบบนี้ค่ะ...วัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร --> โบสถ์ซางตาครู้ส --> ชุมชนกุฎีจีน -->
มัสยิดบางหลวง --> มัสยิดต้นสน ---> วัดโมลีโลกยาราม ราชวรวิหาร
ทริปนี้...อัพหมดแล้วค่ะ
บล็อกหน้า...คั่นบล็อกวัดก่อนเนาะ...พระปฐมราชานุสรณ์ค่ะ
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2554 |
|
35 comments |
Last Update : 17 กรกฎาคม 2555 20:07:46 น. |
Counter : 11862 Pageviews. |
|
|
|
วัดนี้อย่างอื่นบูรณะจนดูใหม่หมด ยกเว้นอย่างเดียวคือรูปปั้นที่ยังดูเก่าอยู่ แต่ผมชอบเก่าๆ แบบนี้นะครับ ดูโบราณ น่าสนใจดี ถ้าทาสีใหม่คงจะไม่น่าสนใจเท่านี้ .....