Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2553
 
7 กุมภาพันธ์ 2553
 
All Blogs
 

ลดน้ำหนัก ใช่ต้องอดอาหาร



8 ปีก่อน แม่บ้านชาวอเมริกันจากเมืองซาคราเมนโต ชื่อแพ็ต เชอร์รี่
มีน้ำหนักตัวถึง 165 ปอนด์ ขณะนั้นเธออายุได้ 37 ปี และกำลังวิตกอย่างยิ่งกับน้ำหนักตัวที่มากเกิน
เมื่อเทียบกับความสูงขนาด 5 ฟุต 3 นิ้ว ของเธอ

2 ปีให้หลัง น้ำหนักของแพ็ตลดฮวบถึง 40 ปอนด์ ลงมาอยู่ที่ 125 ..คุณคงสงสัย เอ๊ะ เธอเป็นโรคหรือเปล่า?
คำตอบคือ ไม่ใช่ แพ็ตยังสมบูรณ์แข็งแรงดีทุกประการ ..ถ้าอย่างนั้น ก็คงคุมน้ำหนักเข้ม อดอาหารสุดชีวิตล่ะสิ?
ไม่ใช่ อีกเหมือนกัน แพ็ตไม่ได้เข้าคอร์สไดเอ็ทของปรมาจารย์สำนักไหนเช่นกัน

แต่รูปร่างผอมเพรียว และไขมันส่วนเกินหายไปได้ ก็เพราะ..
" ฉันนั่งสมาธิวันละ 2 ครั้ง" !!
นั่งสมาธิแล้วน้ำหนักลด??!!
ฟังดูคล้ายกับโฆษณาขายของทางรายการโทรทัศน์รอบดึก เพื่อนแก้เหงาของคนนอนไม่หลับที่ไม่รู้จะทำอะไร

แต่การที่แพ็ตยังคงมีสุขภาพแข็งแรงมาจนถึงทุกวันนี้ แม้เมื่อวัยล่วงเลยมาถึง 45 ปีแล้ว
และยังคงเอวเล็กๆ บนร่างน้อยๆ กับน้ำหนักตัว 125 ปอนด์เอาไว้ได้ คือข้อพิสูจน์ว่า
การนั่งสมาธิหรือการบริหารจิต เป็นทางเลือดใหม่ที่ได้ผลสำรับการลดน้ำหนักจริง!

ปฐมบทแห่งการลดน้ำหนักของแพ็ต เริ่มต้นขึ้นเมื่อเธอเริ่มเข้าเป็นสมาชิกของกลุ่ม "กินให้หายเครียด"
พร้อมกันนั้นก็ได้เข้ารับการแนะนำจากนักบำบัดผู้หนึ่ง
แพ็ตหวนรำลึกถึงความหลังในครั้งนั้นว่า มันทำให้เธอร้องไห้อย่างหนัง
ขณะที่ต้องต่อสู้กับความทรงจำอันเลวร้ายในวัยเด็ก ซึ่งเธอกักเก็บมันไว้ในส่วนลึกของจิตใจมาเนิ่นนาน

สภาพจิตใจของเธอค่อยๆ ดีขึ้น แพ็ตเริ่มเรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้
และเริ่มที่จะหาทางจัดการกับชีวิตของตัวเองได้พร้อมกันนั้น
เธอก็พบว่านั่งสมาธิทุกวันทำให้จิตใจของเธอสงบและผ่อนคลาย เธอจึงเลิกนิสัย "กินดับทุกข์" ตั้งแต่บัดนั้น
และนั่นเองเป็นเหตุผลที่อธิบายว่า ทำไมเราจึงสามารถใช้การนั่งสมาธิ เป็นทางเลือกหนึ่งในการลดน้ำหนักได้
แทนที่จะต้องอด งด หรือจำกัดอาหาร อย่างที่เคยรับรู้และมักจะปฏิบัติกันมา

ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านให้ความเห็นว่า ไดเอ็ทกันหนักขนาดไหนก็ไม่มีประโยชน์หรอก
ถ้าคุณไม่สามารถกำจัดเรื่องรกรุงรังที่อยู่ในใจ และสมองให้ได้เสียก่อน!


ปากกับใจ…ตรงกันจริงหรือ ?
เรามักจะเชื่อกันอยู่ว่า ความเครียดเป็นภัยมหันต์ต่อทั้งสุขภาพกายและจิต นั่นคือ
ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะสั่นคลอนทางจิตใจ มักกินไม่ค่อยจะได้ นอนก็ไม่ค่อยจะหลับ…
นั่นก็อาจจะจริงสำหรับคนกลุ่มหนึ่ง

แต่ยังมีคนอีกกลุ่ม ซึ่งหาทางระบายความเครียดด้วย "การกิน" และคำว่า กิน ในที่นี้
ไม่ได้หมายความเพียงการรับประทานพอให้อิ่ม เพื่อให้ร่างกายมีพลังงานสะสมเอาไว้สู้ชีวิตต่อ
แต่พวกเขาใช้อาหารเป็นเครื่องมือปลดเปลื้องภาวะทุกข์ทางจิตใจ นั่นก็หมายความว่า
ถ้าเครียดน้อย…ก็อาจจะกินแค่นิดหน่อย แต่ถ้าเครียดจัด…จะลงเอยด้วยการกินมากกว่าปกติ!

แอนเน็ตต์ คอร์นบลุม นักข่าวโต๊ะสุขภาพจาก ivillage.com รายงานไว้ในบทความเชื่อ Eat Fat, Be Happy ว่า
วันหนึ่งเธอกับเพื่อนสาวไปรับประทานมื้อเย็นกัน ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใกล้ บ้าน
เบื้องหน้าของทั้งคู่มีพาสต้าพร้อมมอสซาเรลลา และสลัดมะเขือเทศแถมด้วยขนมปัง
และเครื่องจิ้มที่มีน้ำมันมะกอกเป็นส่วนประกอบสำคัญ หลักๆ แล้ว
อาหารที่วางเรียงรายรอให้ตักเข้าปากบนโต๊ะของแอนเน็ตต์ และเพื่อนในวันนั้น
มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูงลิบ

แอนเน็ตต์เรียกมันว่า "comfort foods" หรือ อาหารบรรเทาจิต…ยาแก้เครียดที่ได้ผลชะงัด
เพื่อนของแอนเน็ตต์บอกกับเธอว่า " เวลาเซ็งจัด หรือรู้สึกหดหู่สิ้นหวังมากๆ ฉันจะยิ่งกินอาหารที่มีไขมันเยอะๆ
เพราะมันช่วยให้ฉันรู้สึกดีขึ้น แถมยังอร่อยอีกต่างหาก
แต่พอกินเสร็จแล้วกลับรู้สึกแย่กว่าเก่า เพราะสำนึกว่า ไม่น่ากินเข้าไปเลย"

มีการวิจัยกันว่า สถานการณ์ที่ตึงเครียดจะเป็นตัวเร่งเร้าให้คนอยากรับประทานมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกที่เราแต่ละคนเคยนิยมกินกัน เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น
เช่น มักกะโรนีกับชีส ไอศกรีม หรือช็อคโกแลต

หลังเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่ตึกเวิลด์เทรด กรุงนิวยอร์ค ในวันที่ 11 กันยายน ปีที่ผ่านมา
ซึ่งสั่นคลอนความมั่นคงทางจิตใจของชาวอเมริกันอย่างหนัก สำนักวิจัย เอซี นีลสัน สำรวจพบว่า
ยอดจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและของกินเล่นตามร้านค้าต่างๆ ในอเมริกา เพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 12

นายแพทย์สตีเฟน พี. กัลโล ผู้เชี่ยวชาญด้านลดน้ำหนักจากนิวยอร์ค และผู้เขียนหนังสือชื่อ Thin Better
เรียกคนกลุ่มที่ใช้อาหารเป็นยาระบายความเครียดนี้ว่า food therapists หรือ นักรับประทานบำบัด

ส่วนแพทย์หญิงดอรี่ วินเชล นักจิตวิทยาซึ่งศึกษาด้านการบริโภคอันผิดสุขลักษณะ จากแคลิฟอร์เนีย
ให้ความเห็นว่า ความคิดที่ว่า การกินเป็นทางออกเวลาที่มีปัญหายุ่งยากมากระทบจิตใจนั้น
ได้บ่มเพาะในตัวมนุษย์มาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เช่น เมื่อเด็กเกิดอาการโยเยหรือหัวเสีย
ผู้ใหญ่ก็มักจะกำนัลด้วยคุ้กกี้หรือขนมสักชิ้น และนั่นทำให้เกิดผลที่ตามมาคือ
จิตใต้สำนึกจะเกิดความเชื่อมโยง ระหว่างการหาอาหารใส่ปากกับภาวะทางจิตที่แปรปรวน

เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ การรับประทานขนมหวานจึงทำให้หวนกลับไปรำลึกถึงความทรงจำอันแสนสุข
และให้ความรู้สึกอันอบอุ่น มั่นคงและปลอดภัย
เราจึงเห็นว่าการรับประทานเป็นทางออกที่จะทำให้จิตใจบรรเทา จากเรื่องยุ่งยากทั้งหลายทั้งปวงได้

นอกจากนั้น อาหารยังส่งผลให้สมองอยู่ในภาวะที่ผ่อนคลายมากขึ้น
และการเคี้ยวยังเป็นการเพิ่มฮอร์โมนเอนโดฟินส์ ซึ่งจะลดอาการเจ็บปวดได้อีกด้วย

ความเห็นของแพทย์หญิงวินเชลสอดคล้องกับ คอนนี่ ดีคแมน ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมอาหาร
และโฆษกประจำสมาคมการควบคุมอาหารแห่งอเมริกา (American Dietetic Association หรือ ADA)
ซึ่งให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า " อาหารบางประเภทจะส่งผลกระทบต่อเซโรโทนิน (serotonin) ในสมอง
ทำให้จิตใจเข้าสู่ภาวะที่สงบมากขึ้น และการปรับระดับน้ำตาลในร่างกาย โดยไม่ปล่อยให้ตัวเองเกิดความหิว
ก็จะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายได้"

ส่วนหนึ่งของผลการวิจัย ซึ่งมหาวิทยาลัยคอลเลจ กรุงลอนดอนศึกษาถึงพฤติกรรมการบริโภคของชายและหญิง
มีการแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม
พวกแรกจะต้องเจอกับเหตุการณ์เครียดอีกพวกจะอยู่ในสถานการณ์แบบสบายๆ

กลุ่มเครียดได้รับคำสั่งว่าจะต้องกล่าวสุนทรพจน์หลังอาหารกลางวัน
และพวกเขามีเวลาเตรียมตัวสำหรับการณ์นี้เพียง 10 นาที
ส่วนกลุ่มไม่เครียดเพียงต้องนั่งฟังการบรรยายทั่วๆ ไปก่อนถึงมื้อกลางวัน โดยไม่ได้รับคำสั่งให้ทำอะไรทั้งสิ้น

เมื่อเวลาพักกลางวันเดินทางมาถึง ผู้วิจัยก็พบว่า สมาชิกในกลุ่มเครียดเลือกรับประทานของหวาน
และอาหารที่มีไขมันและให้พลังงานกับร่างกายมากๆ เช่น ขนมเค้กหรือคุ้กกี้ มากกว่าสมาชิกในกลุ่มไม่เครียด

แพทย์หญิงพาเมลา เอ็ม. พีค ผู้ช่วยศาสตราจารย์ จากคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์
และเป็นผู้แต่งหนังสือชื่อ Fight Fat after Forty อธิบายเพิ่มเติมว่า
นอกจากความเครียดจะทำให้รู้สึกหิวแล้ว ยังส่งผลให้ร่างกายสร้างไขมันมากขึ้น
ความเครียดเรื้อรังซึ่งอาจเป็นผลจากงาน หรือเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต ที่จิตใจไม่สามารถกำจัด
หรือทำใจให้ยอมรับได้ จะทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนตัวหนึ่งชื่อ คอร์ติโซล มากขึ้น
และฮอร์โมนชนิดนี้มีผลต่อการกักเก็บไขมันในร่างกายอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันบริเวณหน้าท้อง

นอกจากนั้น ร่างกายก็จะสูบฉีดฮอร์โมนอดรีนาลินเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น
ทำให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินมากขึ้น และนั่นเองเป็นตัวการทำให้เกิดความหิว

ปัญหาทั้งหมดจึงคล้ายกับเป็นวงจรอันไม่สิ้นสุด เพราะเมื่อเครียด คุณจะกิน และเมื่อกินเสร็จ ก็จะเครียดต่อ
เพราะกลัวอ้วน ยิ่งกลัวอ้วน…ยิ่งเครียด…ก็ยิ่งกินอีก วนเวียนซ้ำซากกันไปมาอยู่อย่างนี้
จนบางที อาจถึงเวลาที่น่าจะนั่งลงจับเข่าคุยกับตัวเองอย่างจริงจังเสียที


ระงับความหิวอย่างถูกจุด
บางครั้ง ร่างกายโหยหาอาหาร ก็เพราะคุณต้องการมันเพื่อสร้างพลังงานและหล่อเลี้ยงชีวิตจริงๆ
แต่หลายครั้ง คุณต้องการอาหาร เพียงเพราะมันเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจคุณได้
ซึ่งหมายความว่า แท้จริงแล้ว อาหารไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการอย่างแท้จริงหรอก
แต่คุณอาจเพียงอยากทำอะไรแก้เหงาหรือลดความเศร้า ความเครียด ความขมขื่น

จงท่องเอาไว้ว่า อาหารไม่ใช่เพื่อนใจเพียงคนเดียวที่คุณมีอยู่!
แพทย์หญิงคาเรน โจนส์ (นามสมมติ) จากร็อควิลล์ เคยหลงผิดไปอย่างนั้นเหมือนกัน แต่หลังจากไหวตัวทัน
เธอก็กำจัดน้ำหนักส่วนเกินออกไปได้ถึง 70 ปอนด์ จากเดิมที่ร่างกายเคยแบกน้ำหนักไว้ถึง 210 ปอนด์

หมอโจนส์พบว่า นิสัยช่างกินของตัวเองเป็นผลสืบเนื่องจากความเหงา ความหงุดหงิด ความเบื่อหน่าย
ที่ประสบพบพานในชีวิต เธอพยายามลดน้ำหนักอยู่นับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ล้มเหลวทุกทีไป
แต่เมื่อวันหนึ่งที่เธอเริ่มหันมาทำความเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง และพบสาเหตุหลักที่ทำให้เธอก็ไม่ยั้ง
หมอโจนส์ก็เริ่มแก้ปัญหาได้ถูกจุด และนั่นเอง คือจุดเริ่มต้นของน้ำหนักตัวที่หายไปของเธอ


ต่อไปนี้คือ เพื่อนใจบางส่วนที่ได้รับการแนะนำจากบรรดาแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ

★ ลองเล่นเป็นนักสืบ
วิธีง่ายๆ โดยการแนะนำจาก แพทย์หญิงโจแอน คริสเลอร์ อาจารย์ด้านจิตวิทยา จากวิทยาลัยคอนเน็คติกัต
ทุกครั้งที่คุณรู้สึกอยากกิน ให้คุณหากระดาษมาแผ่นหนึ่งพร้อมปากกา แล้วจดลงไปว่าคุณกินอะไรลงไป
และตอนนั้นคุณรู้สึกอย่างไร เบื่อ? หงุดหงิด? มีความสุข?
" ทำอย่างนี้ไปสักระยะหนึ่ง แล้วลองนั่งตรวจสอบสถิติส่วนตัวย้อนหลังดู
คุณก็จะพบว่าวงจรของความอยากกินมันเกิดขึ้นได้อย่างไร"

★ ช็อปปิ้ง
คำแนะนำอีกอย่างจากหมอคริสเลอร์ ก็คือ ถ้าทุกทีที่คุณหงุดหงิดหรือเศร้า คุณเป็นต้องลงเอยด้วยการกิน
ก็ให้ลองหาอะไรอย่างอื่นทำดู การช็อปปิ้งน่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง
แต่แน่นอนว่าคุณต้องเลือกซื้อของที่ไม่แพงนัก และสร้างสรรค์หน่อย อาทิ เทป เพลง หนังสือ ดีวีดี หรือวิดีโอ
ก็น่าจะเป็นรายการสินค้าที่น่าสนใจไม่หยอก เลือกเรื่องที่สร้างความรื่นรมย์จรรโลงใจกับชีวิต
เพื่อที่ว่าเมื่อไรก็ตามที่คุณรู้สึกว่าสภาพจิตใจล้มเหลวขึ้นมาอีก
หนังสือ เพลง หรือหนังเหล่านั้น จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้ จะได้ไม่ต้องกลับไปเปิดตู้เย็นหรือเดินเข้าครัวอีก

★ พบปะผู้คนบ้าง
นายแพทย์เอ็ดเวิร์ด เอ็ม. ฮัลโลเวลล์ ที่ปรึกษาด้านจิตวิทยาประจำโรงเรียนการแพทย์ฮาร์วาร์ด
และคอลัมนิสต์จากนิตยสาร Prevention กล่าวว่า " สำหรับบางคนแล้ว อาหารก็คือความรัก"

นั่นหมายความว่า เวลาที่คุณหิว มันไม่ใช่ร่างกายหรอกที่ต้องการอาหาร แต่เป็นหัวใจต่างหาก
คุณโหยหาความรู้สึกบางอย่าง คุณต้องการความใกล้ชิด และคุณอาจกำลังไขว่คว้าเพื่อนรู้ใจสักคน
" เพราะฉะนั้น ทำไมไม่ออกไปเจอผู้คนบ้างเล่า? ลองยกโทรศัพท์หาเพื่อนซี้ของคุณดูสิ"
แน่นอนว่า ข้อควรระวังหากคุณคิดจะเลือกทางนี้ก็คือ ให้หาคนที่คุณมั่นใจว่าจะทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น
เพราะถ้าคุณเดินเข้าไปหาคนผิด คุณอาจลงเอยด้วยการกินคุ้กกี้ทั้งกล่อง แล้วคราวนี้จะยุ่งกันใหญ่

★ สร้างนิสัยใหม่ๆ ให้กับตัวเอง
แพทย์หญิงซานดรา ฮาเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริโภคอันผิดสุขลักษณะ
และอาจารย์พิเศษแห่งสถาบันเดอร์เนอร์ มหาวิทยาลัยอเดลฟี กรุงนิวยอร์ค ตั้งข้อสังเกตว่า
หลายคนกินเพราะเป็นนิสัยคือ ต้องกินทุกครั้งที่ตัวเองว่าง
เช่น ถ้ากำลังดูโทรทัศน์อยู่ พอถึงช่วงพักโฆษณาเมื่อไหร่ เป็นต้องเดินตรงรี่ไปที่ตู้เย็น

หากคุณกินไม่หยุดเพราะเหตุนี้ หมอฮาเบอร์แนะนำว่า ทำไมไม่เตรียมกิจกรรมอื่นสำรองไว้บ้างเล่า
เช่น เอากล่องข้าวของเครื่องใช้กระจุกกระจิกมาหยิบๆ จับๆ จัดให้มันเข้าที่เข้าทาง หรือนั่งจัดอัลบั๊มรูปถ่าย
หรือปักคอร์สสติทช์ก็เข้าท่าดี หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้น ก็หางานอดิเรกใหม่ๆ ทำไปเลย
เพราะ ณ ช่วงเวลาที่คุณกำลังง่วนอยู่กับอะไรบางอย่างที่คุณรักมากๆ คุณจะไม่มีใจมาคิดถึงเรื่องกินอีก
วิธีนี้ง่ายมากถ้าคุณเป็นคนแอ็คทีฟอยู่แล้ว ลองหากิจกรรมกลางแจ้งทำดู เช่น
ที่คุณหมอคาเรน โจนส์ ตกหลุมรักการขี่จักรยานหัวปักหัวปำ จนน้ำหนักลดไปตั้ง 70 ปอนด์นั่นไง

★ เคยฝันอะไรไว้…ถึงเวลาวิ่งไล่มันแล้ว
การที่คุณกินอย่างไม่บันยะบันยังนั้น สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะความเบื่อหน่ายกำลังรุมเร้าคุณอย่างหนัก
ซึ่งหมายความว่า คุณอาจต้องการความเปลี่ยนแปลงระลอกใหญ่ในชีวิตก็เป็นได้ เช่น
คุณอาจอยากหางานใหม่ที่คุณมีความสุข เมื่อได้ทำมากกว่านี้
หรือคุณอาจอยากกลับไปเข้าคอร์สหาอะไรใหม่ๆ เรียน
หรือไม่…คุณอาจจะอยากทำความรู้จักกับกลุ่มเพื่อนใหม่ๆ ดูก็เป็นได้

คำแนะนำก็คือ ลองทบทวนดูให้ถี่ถ้วน ว่าคุณเคยฝันและกำลังฝันอะไรเอาไว้
นี่คือโอกาสอันดีที่จะตั้งต้นวิ่งไล่ตามความฝัน และทำมันให้เป็นความจริงแล้ว
คุณหมอพาเมลา พีค เคยมีประสบการณ์ว่า คนไข้คนหนึ่งของเธอ ลดน้ำหนักลงได้ถึง 60 ปอนด์
หลังจากที่ลาออกจากงานเดิม ซึ่งแม้จะมั่นคง แต่ไม่ตรงกับใจรักเท่าไหร่
แล้วมุ่งหน้าทำในสิ่งที่ตนเองเคยนึกเคยฝันไว้

★ หารางวัลใหม่ให้ตัวเอง
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มักจะให้รางวัลกับตัวเอง ด้วยอาหารชั้นเลิศสักมื้อ
ก็อาจถึงเวลาหาวิธีตบรางวัลใหม่ๆ ให้กับตัวเองได้แล้ว เช่น เสื้อผ้า รองเท้า ต่างหู หรือตั๋วดูหนัง ละคร
หรือคอนเสิร์ต หรืออะไรก็ได้ที่ราคาไม่สูงจนเกินไปนัก และแน่นอนว่า…ต้องไม่ใช่อาหาร!


กำจัดทุกข์ให้หมดสิ้น
งานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า อดีตในวัยเด็ก มีผลอย่างยิ่งต่อนิสัยการบริโภคเมื่อบุคคลนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ดังนั้น เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจ และภาวะการกินดังที่กล่าวไว้ข้างต้น
จึงน่าจะสรุปได้ว่า ความทรงจำในทางเลวร้าย จะส่งผลให้เกิดอุปนิสัยการรับประทานในทางแย่ไปด้วย

ดังนั้น เราน่าจะทำความเข้าใจสักหน่อยว่า อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว และคุณไม่สามารถแก้ไขมันได้
เพราะฉะนั้น กังวลไปก็เปล่าประโยชน์ ปัจจุบันต่างหากที่คุณควรใส่ใจ
และถ้าโรคกินไม่หยุดกำลังคุกคามชีวิตอยู่ คุณยังจะคิดว่าไม่ถึงเวลาปลดเปลื้องความยุ่งยากแต่หนหลังอีกหรือ

ต่อไปนี้คือ วิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้คุณเป็นอิสระจากความเจ็บปวดในอดีต และพัฒนาปัจจุบัน

★ เผชิญหน้ากับปัจจุบัน
คุณหมอพาเมลา พีค กล่าวว่า
" ถ้าการหมกมุ่นอยู่กับอดีตอันเลวร้าย เป็นการเผาผลาญพลังงานแคลอรี่แล้วล่ะก็… โลกนี้คงไม่มีคนอ้วนแน่ๆ"
พร้อมทั้งแนะนำว่า อดีตมีไว้เพียงให้เรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อจดจำและเจ็บปวดจนทำให้ปัจจุบันและอนาคตพังยับไปด้วย
และเมื่อใดก็ตามที่เกิดปัญหาที่แก้ไม่ตก ก็อย่าเก็บงำไว้แต่เพียงลำพังให้เสียสุขภาพจิต
แต่จงเดินเข้าไปหาคำปรึกษาจากใครก็ได้ที่คุณไว้ใจ เหมือนในกรณีของแพ็ต เชอร์รี่ ที่ทำสำเร็จมาแล้ว

★ รู้สึกอย่างไร…พูดมันออกมาบ้าง
หลายคนเห็นว่า การปิดปากเงียบเพื่อเลี่ยงการนำเสนอความคิดเห็นที่ขัดแย้ง เป็นวิธีสร้างสันติแก่หมู่คณะ
แต่สันติในจิตใจของตัวเอง ก็เป็นสิ่งที่คุณควรให้ความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
อย่ามัวแต่นั่งเงียบและคิดแต่เพียงว่า "ฉันไม่เห็นด้วย" เพราะสุดท้ายคุณจะลงเอยด้วยความเครียดขนาดหนัก
จนอดจะหาอะไรใส่ปากเพื่อดับเครียดได้ คุณควรพูดให้สาธารณะชนรับรู้บ้างว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร
เพราะความกล้าแสดงออกและแสดงความคิดเห็น เป็นพลังอย่างหนึ่ง ที่จะช่วยให้คุณจัดการกับชีวิต
และภาวะการบริโภคได้

★ บันทึกความหลัง
หมอวินเชลล์แนะนำว่า แทนที่จะใช้เวลาจมจ่อมกับความเศร้าในอดีตไปพลาง หาของขบเคี้ยวใส่ปากไปพลาง
เราน่าจะลองใช้วิธีระบายมันออกมาด้วยการเขียนจะดีกว่า
หากมีเวลาว่าง ลองหากระดาษสักแผ่น ปากกาสักด้าม แล้วเขียนถึงความรู้สึกทั้งหลายทั้งปวงของตัวเอง
เขียนออกมาให้หมดว่าตอนนั้นตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตคุณ และคุณรู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์เหล่านั้นบ้าง
การเขียนหนังสือจะทำให้จิตใจของคุณจดจ่อกับตัวหนังสือตรงหน้า
แทนที่จะย่างสามขุมเข้าหาครัวหรือตู้เย็นอย่างเดียว

อีกอย่างที่หมอวินเชลล์แนะนำก็คือ เรื่องผิดพลาดทั้งหมดเป็นบทเรียนอันจะนำไปสู่ความเข้าใจในชีวิต
และจะทำให้เราระมัดระวัง พร้อมหาทางแก้ไขมันได้
และแน่นอนว่า เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเจอแต่เรื่องร้ายๆ มาทั้งชีวิต มันต้องมีอะไรดีๆ บ้าง
เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่ชีวิตเสียศูนย์ ขอให้คุณลองขุดความทรงจำดีๆ ขึ้นมารำลึกถึงบ้าง
แล้วคุณจะพบว่าสถานการณ์ไม่ได้มืดหม่นอย่างที่คุณคิดสักนิด

★ คิดดีกับตัวเองบ้าง
ลองบันทึกทัศนคติต่อตัวเองที่แวบเข้ามาในสมองในแต่ละวัน หลังจากนั้นก็ลองอ่านดู
หากพบว่าคุณคิดถึงตัวเองในแง่ลบมากกว่าในแง่ดี ก็แปลว่าถึงเวลาปรับทัศนคติแล้ว
การคิดว่า " ฉันอ้วน ฉันขี้เกียจ" จะทำให้จิตใต้สำนึกคุณเกิดความรู้สึกไม่ดีต่อตัวคุณเอง
ซึ่งส่งผลสืบเนื่องทำให้คุณเครียด และคุณอาจลงเอยด้วยการกินดับเครียด

ดังนั้น คุณควรแสดงความชื่นชมตัวเอง แม้ตอนแรกอาจดูขัดเขินไปบ้าง แต่ไม่เป็นไร ให้เวลากับมันสักหน่อย
และทัศนคติในทางบวกที่คุณมีต่อตัวเอง จะทำให้สภาพจิตใจคุณดีขึ้นเอง

★ ให้อาหารแก่จิตใจบ้าง
ลอเรน เมลลิน ผู้เขียนหนังสือชื่อ The Solution และเป็นอีกหนึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนัก
เคยทำการสำรวจพบว่า ร้อยละ 73 ของผู้ที่มาเข้าคอร์สลดน้ำหนัก และใช้เวลาบำบัดทางจิต
โดยหาความสงบให้กับตนเองไปพร้อมๆ กันด้วย
จะมีโอกาสลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่เอาแต่จำกัดอาหาร เพียงอย่างเดียวถึง 7 เท่า

เมลลินเห็นว่า การไปโบสถ์หรือหันหน้าเข้าหาศาสนา เป็นทางหนึ่งที่คุณจะให้อาหารแก่จิตใจได้
รวมถึงการเป็นอาสาสมัครให้กับโครงการสังคมสงเคราะห์ต่างๆ ก็เป็นทางเลือกที่ดีเหมือนกัน
เพราะเมื่อคุณพบว่า ตัวเองสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ ก็จะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่ามากขึ้น
มีความเชื่อมั่นและรักตัวเองมากขึ้น

★ เดินหน้าเข้าหาความสำเร็จ
ผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว หลายคนมักจะฝังใจกับการที่ตัวเองถูกล้อตั้งแต่เด็กๆ
หมอพีคแนะนำว่าอย่าปล่อยให้อดีตตามหลอกหลอนคุณจนทำให้คุณท้อแท้ แต่ขอให้บอกกับตัวเองว่า
" เอาล่ะ ฉันมีปัญหาเรื่องน้ำหนัก แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าฉันไม่ดีตรงไหน อะไรนี่"
หากิจกรรมสักอย่างที่คุณถนัดที่จะทำ และทำได้ดี แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำมันเข้าไป
สักวันคุณจะประสบความสำเร็จ และนั่นคือที่มาของการเห็นคุณค่าในตัวเอง
คุณจะพบว่า น้ำหนักตัวไม่ได้เป็นอุปสรรคขัดขวางความสำเร็จในชีวิตเลยแม้แต่น้อย


บทสรุป : จงเรียนรู้ที่จะผ่อนคลาย
เพื่อเอาชนะอาการ "กินดับเครียด" ให้ได้ คุณจำเป็นต้องพิฆาตความเครียดให้ได้ก่อน
เพราะมันคือต้นเหตุของความอยากอาหาร ทั้งที่แท้จริงแล้ว ร่างกายไม่ได้ต้องการมันแม้แต่น้อย

ทางเลือกที่ได้ผลดีที่สุดจึงเป็นการทำใจให้สงบ ซึ่งการนั่งสมาธิและการฝึกโยคะ ล้วนต้องการการฝึกหายใจ
และการเพ่งความสนใจไปยังร่างกายและจิตของตนเอง นอกจากนั้นการสูดลมหายใจเข้าและออกลึกๆ ยังส่งผลดี
คือจะช่วยลดความดันโลหิต และทำให้หัวใจเต้นช้าลง นอกจากนั้นยังช่วยทำให้คุณเลิกหมกมุ่นกับปัญหาส่วนตัว
ที่เป็นตัวเร้าความเครียด และส่งผลให้คุณอยากอาหารมากเกินปกติอีกด้วย

การนั่งสมาธิมีหลายวิธี บางวิธีต้องการการแนะนำโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่บางวิธีก็ง่ายมาก
อย่างเช่นวิธีของ จิม มัลลอย ผู้ให้คำปรึกษาด้านการนั่งสมาธิ จากฟลอริดา
ได้เสนอเทคนิคการนั่งสมาธิอย่างง่ายๆ โดยใช้เวลาเพียง 5 นาทีในแต่ละวันเท่านั้น

เริ่มต้นด้วยการหาสถานที่ที่เงียบสงบและสะดวกสบาย เพื่อที่จิตของคุณจะไม่วอกแวกไปคิดถึงสิ่งอื่นๆ รอบข้าง
จากนั้นให้นั่งหลังตรง วางมือในท่าที่คุณรู้สึกสบายที่สุด
วางสายตาไปข้างหน้าอย่างสบายๆ โดยไม่ต้องเพ่งมองอะไรโดยเฉพาะ
หายใจลึกๆ เข้าและออกอย่างเป็นจังหวะ
ถ้ารู้สึกว่าตากำลังล้า คุณอาจใช้วิธีหลับตาก็ได้
อย่ากังวลว่าคุณกำลังทำถูกวิธีหรือไม่ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของการทำสมาธิในครั้งนี้คือ
การทำใจให้ปลอดโปร่งและผ่อนคลาย
วิธีนี้ใช้ได้ผลกว่า หากคุณให้เวลากับมัน 20 นาที และทำวันละ 2 ครั้ง


ข้อมูลจาก ใกล้หมอ
ที่มา : //www.elib-online.com


สารบัญ ไดเอท ลดน้ำหนัก
คลิกดู ที่นี่ค่ะ




 

Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2553
2 comments
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2553 15:24:02 น.
Counter : 816 Pageviews.

 

 

โดย: mentalk 7 กุมภาพันธ์ 2553 19:12:12 น.  

 

ขอบคุณสาระดีๆ คะ ตรงจริงๆ

 

โดย: Elizabethan 7 กุมภาพันธ์ 2553 20:19:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.