สอนเด็กให้ใช้เงินเป็น และรู้จักออม
ทำอย่างไรให้เด็กใช้เงินเป็น รู้จักออม เพื่อที่เด็กจะได้มีวินัยและระเบียบในการใช้เงินที่ดี
เนื่องในวันเด็กแห่งชาติที่ผ่านมา ทำให้ผู้ดูแลคอลัมน์อยากให้ข้อมูลกับผู้ปกครองคนไทยทั้งใน และต่างประเทศ เป็นเทคนิคช่วยสอน ช่วยบุตรหลานซึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต่อไป ได้มีนิสัยและระเบียบการเงินที่ดีในอนาคต
โดยคอลัมน์นี้ได้ดึงเอาข้อมูลเรื่อง "เด็กกับเงิน -7 บทเรียนสำคัญ" ของ ราเชล อินคอลล์ จาก เซฟวิ่ง ดอท คอม มานำเสนอให้ผู้ปกครองคนไทยทั่วโลกได้นำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ และช่วยสร้างนิสัยใช้เงินเป็นหรือรักการออม ให้กับสมาชิกตัวน้อยของครอบครัวนับจากนี้ไป
เงินใช้ซื้อสินค้า/บริการได้ เป็นหลักการและบทเรียนแรก ที่ผู้ใหญ่ควรสอนให้บุตรหลานเข้าใจ เมื่อเด็กๆ โตพอที่จะเข้าใจ ซึ่งอินคอลล์แนะนำว่าเด็กน้อยที่อยู่ในวัย ซึ่งพอจะเข้าใจเรื่องเงินน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3 ขวบ
ดังนั้นครั้งต่อไป เมื่อผู้ปกครองเดินเข้าไปซื้อของตามห้างสรรพสินค้า ไม่ว่าจะซื้อเพียง 1 หรือ 2 ชิ้น ควรลองวางเงินในมือให้เด็กๆ ได้ลองใช้หรือจ่าย ด้วยการช่วยเด็กยื่นเงินในมือให้กับพนักงานคิดเงิน
การลองให้เด็กใช้เงินลักษณะข้างต้น จะช่วยให้เจ้าตัวน้อยซึมซับข้อมูล มีความเข้าใจกับแนวคิดที่ถูกต้อง เกี่ยวกับประโยชน์ของเงินว่า สามารถนำไปใช้แลกเปลี่ยน ให้ได้สิ่งต่างๆ ที่ตัวเองต้องการหรือจำเป็นต้องได้มา
ระวังเรื่องเงิน อินคอลล์ยอมรับว่า ผู้คนแวดล้อมตัวเธอ มีบางคนติดอยู่กับความคิดที่ว่า เหรียญที่มีมูลค่าน้อยกว่า 50 เซนต์ หรือเทียบเงินไทยคงอยู่ที่ประมาณ 1 สลึงหรือ 50 สตางค์นั้น มีค่าน้อยมากหรือไร้ค่าจนไม่น่าเก็บไว้
ยิ่งเวลาทำความสะอาดบ้าน หากพบเหรียญสลึงหรือ 50 สตางค์ตกอยู่ตามซอกต่างๆ ของบ้าน คุณอาจจะโยนเศษเหรียญเหล่านั้นลงถังขยะเอาง่ายๆ พฤติกรรมเช่นนี้จะเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับเด็กๆ ได้ ขอให้เปลี่ยนแปลงเสียใหม่ หันมากระตุ้นเด็กๆ ให้รู้จักเสียดายเงิน แม้มีมูลค่าน้อยนิดก็ตาม
แสดงหรือ ปฏิบัติให้สมาชิกตัวน้อยในครอบครัวรู้ว่า เศษเงินที่ดูแล้วไร้ค่าหรือมีค่าน้อยนิดเหล่านี้ เมื่อเก็บสะสมรวมๆ กันแล้วจะมีคุณค่าทางใจ และให้มูลค่าเพิ่มขึ้นมากเพียงใด โดยผู้ใหญ่ในครอบครัวต้องเริ่มต้นจากการวางกล่องเล็กๆ เพื่อสะสมเศษเหรียญสักกล่องไว้ ให้เด็กๆ ช่วยกันหยอดเศษเหรียญใส่กล่อง ใช้ระยะเวลาช่วงหนึ่งจนกว่าเหรียญจะเต็มกล่อง และเมื่อเหรียญที่สะสมเต็มกล่องแล้ว ผู้ใหญ่ต้องดึงเด็กๆ มาช่วยกันเปิดกล่องนับเงิน เพื่อให้เด็กตระหนักและเข้าใจว่าเศษเหรียญที่หยอดเอาไว้ เมื่อนำมารวมกันจะได้เงินจำนวนไม่น้อย
จากนั้นผู้ใหญ่อาจให้เด็กๆ แสดงความเห็น ช่วยกันกำหนดว่า จะใช้เงินที่ช่วยกันสะสมมานั้น ไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง ซึ่งผู้ใหญ่อาจให้คำแนะนำช่วยเด็กๆ วางแผนการท่องเที่ยว อาจเป็นการไปเที่ยวสถานที่ใกล้ๆ บ้าน และฉลองความสำเร็จในการออม ด้วยการแวะร้านอาหารหรือซื้อไอศกรีมอร่อยๆ กินกันระหว่างเดินทาง
ต้องทำงานหาเงิน ความคิดนี้ผู้ใหญ่ต้องปลูกฝังนิสัย ช่วยให้เด็กรู้และเข้าใจที่มาของเงิน เพราะทุกวันนี้มีผู้คนมากมาย ยังไม่เข้าใจหรือไม่พยายามที่จะเรียนรู้ว่า คนเราต้องทำงานจึงจะได้เงิน โดยพวกเขาเอาแต่นั่งเฉยอยู่กับบ้าน และคาดหวังมีคนช่วยให้พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ได้
ผู้ใหญ่บางคนคิดผิดมาก เข้าใจว่าการหันเหชีวิตไปเป็นอาชญากร จะช่วยให้พวกเขาได้เงินอย่างง่ายๆ มาเลี้ยงชีพตัวเอง ดังนั้นให้ระวังกับความพยายามบ่มเพาะนิสัยเรียนรู้ให้เด็กว่า เงินที่หามาเลี้ยงชีพตนเองต้องได้จากการทำงานอาชีพสุจริตเท่านั้น
เมื่อใดก็ตามที่เด็กๆ ร้องขอเงินไปซื้อขนมหรือของเล่น ผู้ใหญ่ไม่ควรให้โดยไม่มีเหตุผลสมควร หรือไม่ควรให้โดยไม่คาดหวังให้เด็กทำอะไรเลย แต่เพื่อเป็นการสั่งสมนิสัยกับการเรียนรู้
โดยผู้ใหญ่ต้องเริ่มหัด หรือจำเป็นก็ต้องบังคับเด็กให้ทำงานบ้านในส่วนที่ทำได้ ให้พวกเขารู้ว่าเงินไม่ใช่ได้มาโดยง่าย แต่ต้องใช้แรงกายแรงใจทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งให้เสร็จลุล่วงก่อน
จัดสรรเงินเป็น กระตุ้นหรือเป็นแบบอย่างให้เด็ก รู้ถึงสัดส่วนและวิธีจัดสรรเงินที่มีอยู่ โดยทั่วไปแล้วผู้ใหญ่มักหัดให้เด็กแบ่งเงินเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกเป็นเงินออม ส่วนที่สองเพื่อซื้อของขวัญของฝากผู้อื่น และส่วนที่สามเก็บไว้เป็นค่าใช้จ่ายตัวเอง
อย่างไรก็ตามสัดส่วนและการจัดสรรเงิน ของเด็กๆ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้ปกครองแต่ละครอบครัวที่จะตัดสินใจ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคิดและความจำเป็นของเด็ก
แต่เพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จกับการแบ่งจัดสรรเงินเป็น ผู้ใหญ่ควรช่วยเด็กด้วยการหากล่องหรือที่จัดเก็บเงิน 3 ส่วนไว้ ทั้งเงินต้องใช้จ่ายประจำวัน เงินเพื่อการออม และเงินเพื่อการกุศลหรือใช้ซื้อของขวัญของฝาก
ปลูกฝังนิสัยห่างไกลหนี้ อินคอลล์ยอมรับว่า เมื่อมีหนี้และต้องใช้คืนหนี้ที่ยืมมานั้น ทำได้ยากกว่าการออม ดังนั้นทุกเวลาที่มีโอกาสให้ผู้ใหญ่แนะนำและอธิบายกับเด็กๆ โดยยึดหลักคิดสำคัญที่ว่า ความไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ อย่าลืมหรือละเลย ที่จะให้ความรู้กับเด็กๆ ถึงหนี้แต่ละประเภทว่า คนเราสามารถก่อหนี้อะไรได้บ้าง
อินคอลล์ยกตัวอย่างว่า เมื่อพูดถึงหนี้บางอย่าง อย่างเช่น เงินกู้ซื้อบ้าน ขอให้ย้ำกับเด็กๆ เลยว่า เป็นหนี้ควรหลีกเลี่ยงหรืออยู่ให้ห่างไกลที่สุด และให้ยึดกฎเคร่งครัดว่า หากไม่มีเงินสดที่จะซื้ออย่าได้คิดที่จะซื้อเด็ดขาด
อย่าให้เงินกำหนดชีวิต ให้ปลูกฝังความคิดเด็กไว้เสมอว่า เงินไม่ใช่เพื่อนดีที่สุดในชีวิต ดังนั้นอย่าปล่อยให้เงินควบคุมชีวิตพวกเขา อินคอลล์ให้ผู้ใหญ่คิดว่าเทคนิคข้อนี้ทำได้ไม่ยาก พยายามสอนเด็กๆ ไม่ให้ผูกมัดตัวเองกับเงินจนมากเกินไป
อย่าจุดความคิดเด็กๆ ให้กดดันตัวเอง ต้องทำงาน 60-70 ช.ม.ต่อสัปดาห์ เพื่อหาเงินมาปรนเปรอชีวิตด้วยสิ่งหรูหรา เกินความสามารถที่จะซื้อหามาได้ หากปล่อยให้เด็กๆ คิดเช่นนั้น หมายความว่าผู้ใหญ่กำลังปล่อยให้เงินควบคุมชีวิตเด็กๆ อยู่
เพียงแต่สอนเด็กเสมอว่า ชีวิตของพวกเขาไม่จำเป็นต้องกู้เงิน เพื่อให้ได้รถสวยๆ ไว้ขับ หรือไม่จำเป็นต้องกู้เงินเพื่อจะไปเที่ยวต่างประเทศ แม้ว่าความคิดที่จะขับรถหรือจะเที่ยวต่างประเทศดูดี แต่ก็ทำได้ต่อเมื่อในอนาคตเด็กๆ สามารถหาเงินได้เพียงพอ หรือมากมายเหลือเฟือที่จะซื้อหามาได้เท่านั้น
จัดงบ+วางแผนชีวิตเป็น เทคนิคสุดท้ายนี้อินคอลล์ถือว่าเป็นทักษะสำคัญที่สุด ซึ่งผู้ใหญ่มากมาย หลายคนปัจจุบันยังไม่เคยเรียนรู้ถึงทักษะสำคัญของการทำงบ ใช้จ่ายให้เป็น และทักษะนี้เด็กๆ จำเป็นต้องเรียนรู้และฝึกทำ
อินคอลล์ให้ข้อมูลอ้างอิงจากผลสำรวจ เมื่อเร็วๆ นี้ว่า มีผู้คนมากมายใช้จ่ายเงินเกินกว่าที่พวกเขาหามาได้ 10%-20% ทั้งๆ ที่เงินที่พวกเขาหามาได้นั้นก็เพียงพอต่อการดำรงชีวิต เพียงแต่ผู้ใหญ่ที่ขาดการเรียนรู้ กลับไม่สามารถวางงบใช้จ่ายของตัวเองอย่างง่ายๆ ได้ ทำให้แต่ละสัปดาห์ต้องสูญเงินไปกับการใช้จ่ายเกินตัวแต่ละสัปดาห์
ที่มา: //www.pattanakit.net
เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง สอนวิธีใช้เงินแก่เด็ก สอนลูกให้รับผิดชอบ เคล็ดลับ…สร้างเจ้าสัวน้อย
สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก คลิกดู ที่นี่ค่ะ
Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2553 20:46:39 น. |
Counter : 780 Pageviews. |
|
|
|