Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 
19 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
กินแก้ซน



เชื่อหรือไม่ว่าเด็กที่ซนเป็นลิง เด็กที่อยู่ไม่สุข อยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ เด็กดื้อที่ไม่ฟังผู้ใหญ่ เด็กที่เรียนหนังสือไม่เก่ง
หรือกระทั่งเด็กที่ถูกวินิจฉัยว่าสมาธิสั้น ต้องกินยาลดระดับความซุกซนนั้น
สามารถแก้ได้ ...เพียงแค่การปรับเปลี่ยนอาหาร

ไม่นานมานี้ ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวีจัด "ทัวร์เด็ก " ซึ่งเป็นกิจกรรมค่ายสำหรับเด็กที่เชียงใหม่
มีจุดประสงค์คือ หัดให้เด็กกินผัก สอนให้รู้จักอาหารขยะ แล้วเลี่ยงเสีย
สอนให้เด็กใกล้ชิดธรรมชาติ ออกกำลังกายกลางแจ้ง และออกไปสัมผัสชนบท กิจกรรมครั้งนี้
มีเด็กซนพิเศษ และเด็กสมาธิสั้น 2-3 คนไปกับเราด้วย มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อดช.เอ๋ เอ๋ต้องกินยาระงับความอยู่ไม่สุข
โดยกินยาทุกเช้าเพื่อให้อยู่นิ่ง ๆ เพื่อจะได้นั่งอยู่กับที่เรียนหนังสือกับเพื่อน ๆ ได้จนหมดชั่วโมง
วันไหนเอ๋ไม่ได้กินยาวันนั้นเอ๋จะวิ่งทั้งวัน ทำอะไรก็จับจดแบบสมาธิสั้น ซนเป็นลิงว่างั้นเถอะ
แต่ถึงจะกินยาก็ไม่วายออกอาการซนกว่าเด็กคนอื่นเขา

กติกาของทัวร์เด็กมีอยู่ว่า ต้องกินผัก กินข้าวกล้อง ไม่มีขนมขยะกิน ไม่มีน้ำอัดลมดื่ม
อาหารว่างจะเป็นผลไม้สดและขนมพื้นบ้านเช่นขนมกล้วย ขนมตาล (ไม่ใส่สี) กินน้ำผลไม้ ไม่ดื่มนมวัว
แต่กินนมถั่วเหลืองที่ใส่น้ำตาลนิดเดียวแทน

เอ๋อยู่ในค่ายได้เพียงวันเดียว อาการซนก็ลดลง แทนที่จะวิ่งวุ่นก็สามารถนั่งนิ่ง ๆ ทนฟังนิทานได้เป็นชั่วโมง
หมออ้อมที่คุมเด็ก ๆ อยู่ก็เลยทำใจกล้า งดยาของเอ๋เสีย ปรากฏว่าความซนของเอ๋ก็ไม่ได้แตกต่างจากเด็กอื่น

ทีนี้ เผอิญวันหนึ่งทางรีสอร์ตที่เด็กพักอยู่ ทำน้ำส้มให้เด็กกินตอนเช้าแล้วใส่น้ำตาลทรายลงไปด้วย
(ซึ่งนอกเหนือจากที่ทัวร์เด็กต้องการ) เอ๋กลับมาซนมากขึ้นกว่าเดิมอยู่สักครึ่งวัน แล้วก็สงบลงได้โดยไม่ต้องกินยา

ตรงนี้ทำให้เรารู้ว่าเอ๋ไวต่อน้ำตาลที่เราเรียกว่า "พลังงานเปล่า" มากมาก
และทำให้ซนจัดเป็นพิเศษ ทำให้เรียนหนังสือไม่ได้ ทำให้ต้องกินยาลดความซน ฯลฯ

ทำไม น้ำตาลทำให้ซนได้ คำตอบคือ เวลาร่างกายจะใช้น้ำตาล แม้กระทั่งน้ำตาลกลูโคสก็ตาม
ร่างกายจะต้องการวิตามินบีไปช่วยเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงาน ในเมื่อน้ำตาลทรายไม่มีวิตามินบี
ร่างกายจึงต้องไปแย่งเอาวิตามินบีมาจากสมอง ทำให้สมองทำงานไร้ระบบ
ยิ่งกินหวานมากร่างกายก็ยิ่งขาดวิตามินบีมาก ทำให้เอ๋ควบคุมตัวเองไม่ได้ จึงเกิดพฤติกรรมซนสุดสุด
เช่นเดียวกับที่โบราณเอาน้ำตาลทรายป้อนหมาแล้วทำให้มันดุขึ้น ยังไงยังงั้นเลยแหละ

ดังนั้นอาหารที่จะทำให้เด็กหายซนจะต้องเป็นดังนี้คือ

★ 1. อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต จะต้องเป็นอาหารที่ไม่ขัดขาว จะต้องเป็นแบบเชิงซ้อนที่มีวิตามินบีพร้อม
ได้แก่ข้าวกล้องซึ่งต้องเอาแทนข้าวขาว ใช้ความหวานจากผลไม้แทนน้ำตาลทรายและขนมหวาน
ซึ่งสองอย่างหลังนี่ต้องงดเสีย

★ 2. อาหารขยะต้องงดโดยเด็ดขาด เช่นขนมกรุบกรอบทั้งหลาย น้ำอัดลม น้ำหวาน นมที่ใส่น้ำตาลจนหวานจัด
น้ำผลไม้(แบบปลอมๆ)ที่ใส่น้ำตาล ช็อคโกแล็ต ลูกอม ฯลฯ เหล่านี้ต้องงดให้หมด
ถ้าอยากให้เด็กกินของว่าง ผลไม้ไทย ๆ นั่นแหละเหมาะ
หรือน้ำคั้นจากผลไม้สด ไม่ใส่น้ำตาลดีที่สุด ซึ่งอาจจะต้องคั้นเองจึงจะไว้ใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

★ 3. ควรเลิกผงชูรสเสียด้วย เพราะผงชูรสคือเกลือโซเดียมดี ๆ นี่เอง
ถ้าเด็กตัวเล็กนิดเดียวกินเข้าไป เกลือมันจะอุ้มน้ำทำให้น้ำคั่งในร่างกาย
เป็นผลเสียต่อการทำงานของอวัยวะทั้งระบบของร่างกาย เผอิญผงชูรสเป็นเกลือที่ไม่เค็ม มันออกหวานมากกว่า
จึงทำให้คนกินเข้าไปไม่รู้สึกว่ากินเกลือ อนึ่งอาหารขยะที่เด็กชอบกินล้วนใส่ผงชูรสทั้งนั้น
ยิ่งกินมากยิ่งไม่ระวังก็จะยิ่งได้ผงชูรสเข้าไปล้นเกิน ทำให้ร่างกายเสียสมดุลและ เด็กจะซนมากกว่าเดิม

ข้อเสียของผงชูรสอีกอย่างหนึ่งคือ ทำให้เด็กไม่กินผักเพราะรสชาติตามธรรมชาติของผักมันจืดกว่า
ถ้าปลายประสาทในปากของเด็กชินกับการถูกกระตุ้นด้วยสารเคมีแบบผงชูรส เด็กมักจะไม่ยอมกินผักและผลไม้

★ 4. ควรควบคุมปริมาณไขมันที่เด็กบริโภคด้วย อย่าให้กินตามใจปาก อะไรที่ทั้งหวานทั้งมันยิ่งแย่ใหญ่
อาหารที่เด็ก ๆ นิยม เช่นพิซซ่า ขนมเค้ก ช็อคโกแล็ต นมหวาน ๆ อาหารและขนมที่ทำจากกะทิต้องงด
เพราะเวลากินเข้าไปจะเป็นไขมันประเภทไตรกลีเซอไรด์ ที่ไม่สามารถเข้ากันกับน้ำเลือด
การที่เลือดมีไตรกลีเซอไรด์สูง ๆ จะทำให้เลือดหนืดไหลลำบาก เลือดก็จะไปเลี้ยงสมองได้ลำบาก
เป็นอุปสรรคในการเรียนรู้ของเด็ก

มีงานวิจัยจากนครนิวยอร์กที่พยายามลดอาหารขยะในอาหารกลางวันของเด็ก 803 โรงเรียน
โดยเอาอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเข้าไปแทนที่ ปรากฏว่าเด็กมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
กล่าวคือในปีแรกที่งดอาหารขยะ 1 อย่าง จากผลการเรียนก่อนปรับเปลี่ยนอาหารของเด็กที่ได้เพียง 39 %
เพิ่มเป็น 47 % เมื่อเอาอาหารขยะออกอีก 1 อย่างผลการเรียนของเด็กก็เพิ่มขึ้นอีกเป็น 51 % ปี
ต่อจากนั้นทางโรงเรียนไม่ได้เอาอาหารขยะออกอีก ปรากฏว่าเด็กไม่ได้เรียนดีขึ้นแต่ก็ไม่ได้เรียนตกลงไป
แต่ก็น่าแปลกใจที่ปีถัดมา เมื่อเอาอาหารขยะออกไปอีก 1 อย่าง
ปรากฏว่าผลการเรียนของเด็กเพิ่มขึ้นอีกเป็น 55%

แสดงว่า ยิ่งเด็กกินอาหารขยะน้อยลงเท่าใด และกินอาหารที่มีคุณค่ามากเท่าใด
ผลการเรียนของเด็กก็ยิ่งดีขึ้นตามลำดับ

สำหรับเด็กไทยผลการเรียนคงไม่ดีนักหรอก
เพราะไอคิวเฉลี่ยของเด็กบ้านเรา ตามตัวเลขของกระทรวงสาธารณสุขเท่ากับ 88.8 เท่านั้น
นี่น่าจะเป็นเพราะคนไทยบริโภคน้ำตาลกันมาก ถึงวันละ 83 กรัม หรือเกือบขีดหนึ่งแน่ะ

ตอน นี้โรงเรียนก็เปิดเทอมแล้ว ถ้าผู้ปกครองคนไหนอยากให้ลูกหลานของตัวเองเรียนดีขึ้น
ก็เพียงแต่ปรับเปลี่ยน อาหารดังที่กล่าวมาข้างต้นเท่านั้นเอง แล้วต้องคอยสู้กับเด็กสักหน่อย
ตะล่อมให้เขาค่อย ๆ กินอาหารที่มีประโยชน์มากกว่าการกินตามใจปาก หรือตามโฆษณาในโทรทัศน์
เด็กก็จะหายซน เด็กจะมีสมาธิดีขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น พูดกันรู้เรื่องมากขึ้น
และแน่นอนผลการเรียนของเขาก็จะดีขึ้นด้วย


โดย พญ.ลลิตา ธีระสิริ
ที่มา : //www.balavi.com/content_th/nanasara/Con00161.asp



สารบัญ เรื่อง แม่และเด็ก
คลิกดู ที่นี่ค่ะ



Create Date : 19 ธันวาคม 2552
Last Update : 19 ธันวาคม 2552 11:19:25 น. 0 comments
Counter : 845 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.