Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
14 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
ช่วยลูกรักให้รักเรียน



ดิเรก รู้สึกหนักใจในเรื่องการเรียนของ ดนัย บุตรชายวัย 15 ปี ของเขามาหลายปีแล้ว
เขาและนิติมา ภรรยา พยายามทุกวิถีทางให้ลูกชายเรียนหนังสือ

แต่ก็ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่ใคร่บังเกิดผลนัก ดนัยดูจะไม่ใส่ใจในการเรียน และเกรดก็ไม่ดีขึ้น
ในที่สุด ทั้งสามีภรรยาก็ตกลงใจเลิกเคี่ยวเข็ญ และส่งดนัยไปเรียนต่อต่างประเทศ
โดยมีความหวังว่า อย่างน้อยถึงเขาจะไม่เรียนหนังสือมากนัก เขาก็คงจะไปได้ภาษากลับมาบ้าน
ดีกว่าอยู่เมืองไทยที่เข้าอะไรไม่ได้ และอาจกลายเป็นเด็กมี "ปัญหา" ไปได้

ปัญหาของครอบครัวดิเรกและนิติมาไม่ใช่เรื่องใหม่
เป็นปัญหาที่พ่อแม่คนไทยหลายคน ได้ประสบและหลายคนก็หาทางเลือกเช่นเดียวกับตัวอย่างข้างบน

จริงๆ แล้ว การช่วยลูกให้รักเรียนนั้น พ่อแม่จะต้องหาทางเลือกที่ "ดีที่สุด" ไม่ใช่ง่ายที่สุด
พ่อแม่หลายคนดูจะ "หมดปัญญา" ที่จะแก้นิสัยลูก
และยอมแพ้ง่ายๆ เมื่อลูกบ่นหรือแสดงกิริยาต่อต้านการเรียนหนังสือ และตามใจลูกในที่สุด

นักจิตวิทยาการเรียนรู้หลายคนมีความเห็นตรงกันว่า มีหลายเรื่องที่พ่อแม่ จะช่วยลูกให้เรียนดีได้
ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงคำแนะนำของเขาย่อๆ ดังนี้


1. พ่อแม่จะต้องสอนให้ลูกมีความรับผิดชอบ

ถ้าคุณไปถามครูทุกคน คุณจะได้คำตอบตรงกันว่า เด็กที่เรียนดีทุกคนเป็นเด็กที่รับผิดชอบในการเรียน
เด็กเหล่านี้จะมาเรียนไม่ค่อยขาด ทำการบ้าน อ่านหนังสือ กล้าพูดกล้าแสดงออก มีความคิดสร้างสรรค์
และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดจากการอบรมบ่มเพาะจากครอบครัวของเขา
พ่อแม่จะให้เขารับผิดชอบในงานบ้านบางอย่าง
เช่น ทำความสะอาดห้องของตัวเอง ช่วยจัดโต๊ะเก้าอี้ หรือกวาดถูบ้าน เป็นต้น

การให้เด็กๆ รับผิดชอบงานบ้านบางประการ
จะช่วยทำให้เขาเริ่มรู้จักกับความรับผิดชอบของชีวิต รวมทั้งการเรียนของเขาเอง
และบ้านของเขา จะเป็นหน่วยแรกที่จะสอน และต้องสอนเรื่องความรับผิดชอบให้กับเขา



2. พ่อแม่จะต้องส่งเสริมและปรารถนาให้เขาไปให้ไกล เรียนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

พ่อแม่ที่มีลูกประสบความสำเร็จทุกคน มักจะมีความคาดหวังบางประการกับลูก
และลูกได้รับรู้ความปรารถนานี้จากพ่อแม่ของเขา
เด็กทุกคนรู้ดีว่าหากพ่อแม่หรือครูคาดหวังบางประการ เขาจะพยายามเป็นไปตามความคาดหวังนั้นเสมอ

อย่างไรก็ตาม ความหวังนี้ควรจะต้องเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ไม่บีบคั้นจนเด็กรู้สึกอึดอัด
แต่ควรเป็นสิ่งที่ส่งเสริมด้วยความปรารถนาดี ไม่ใช่การสั่งการลงมาจากผู้มีอำนาจ

จากการศึกษาพบว่า มีตัวแปรอยู่ 3 ตัว ที่จะทำให้เด็กขาดความกระตือรือร้นในการเรียนหนังสือ
1. การขาดเรียนบ่อยๆ
2. การไม่อ่านหนังสือ หรือที่บ้านไม่ค่อยมีหนังสือดีๆ อ่าน
3. การดูโทรทัศน์มากเกินไป หรือเล่นเกม



ดังนั้น ทางแก้สำหรับพ่อแม่ที่จะช่วยได้ก็คือ

* ดูแลให้เด็กไม่ขาดเรียนและไปให้ตรงเวลาทุกครั้ง

* ช่วยดูแลในเรื่องการบ้าน
แต่ไม่ใช่ทำการบ้านให้ลูก อ่านหนังสือให้ลูกฟัง
หรือให้ลูกอ่านให้ฟัง หลังทำการบ้านเสร็จ วันละประมาณ 10 นาที ทุกวัน
หาหนังสือมีคุณค่าไว้ในบ้าน
การอ่านหนังสือให้ลูกฟัง มีผลงานทางวิจัยพิสูจน์แล้วว่าจะทำให้เด็กฉลาด อยากเรียนรู้


* จำกัดเวลาดูโทรทัศน์ของลูก หรือจัดเวลาทำการบ้านของเด็กให้ห่างจากโทรทัศน์ให้มาก
หรือวันใดที่เด็กไม่มีการบ้าน ก็ให้เขาหาเวลาอ่านหนังสือทดแทน

* ใส่ใจในการเรียนของลูก
อย่าปล่อยปละละเลยการเรียนของลูก หมั่นถามไถ่และสนใจในผลการเรียนของเด็กอยู่เสมอ
และรู้จักครูของเด็ก หาเวลาไปพบพูดคุยเพื่อทราบถึงการเล่าเรียนของเด็กเนืองๆ
หรือหากทางโรงเรียนมีกิจกรรมอะไรเกี่ยวกับการเรียน หรือวันพบผู้ปกครองก็ควรหาเวลาไปเสมอ

* การได้คะแนนดีๆ ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
ถึงแม้คุณจะต้องการให้ลูกเรียนดีก็ตาม
แต่การเรียนเก่งเพียงอย่างเดียว ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดของการประสบความสำเร็จ
เด็กๆ ควรได้รับการสนับสนุนให้เล่นกีฬา เข้าค่ายหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมพิเศษต่างๆ ที่โรงเรียนจัด

การเข้าไปมีส่วนในการทำกิจกรรม จะช่วยเสริมสร้างทักษะที่จำเป็นของชีวิตในอนาคต
เช่น ความสามารถในการเป็นผู้นำ การรู้จักแก้ปัญหาการตัดสินใจ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ จะช่วยทำให้เด็กได้พัฒนาบุคลิกภาพของเขาในอนาคตได้เป็นอย่างดี

* สร้างทัศนคติให้ถูกว่า การเรียนไม่ใช่จะเป็นเรื่องง่ายๆ สนุกๆ
เด็กหลายคนมีความต้องการที่อยากได้อะไรมาง่ายๆ สบายๆ รวมทั้งเรื่องของการเรียน
เด็กๆ อาจจะคิดว่าเรียนๆ พอให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรให้มากนักก็น่าจะได้

แต่ในความเป็นจริง ไม่มีทางลัดที่นำไปสู่ความสำเร็จเลย
พ่อแม่ ครู อาจารย์ทุกคน ควรให้ความเข้าใจอย่างถูกต้องแก่เด็ก หรือนักเรียนว่า
ความสำเร็จเป็นสิ่งที่ต้องพยายามให้ได้มาด้วยความยากลำบาก ไม่มีสูตรสำเร็จ สำหรับชีวิตการเรียนหรือชีวิตจริง
ความวิริยะอุตสาหะเท่านั้นที่จะทำให้เขาก้าวขึ้นไปสู่ แท่นแห่งชัยชนะได้


ดังนั้น ในเรื่องของการเรียน หลายครั้งที่เราเห็นเด็กที่ฉลาดแต่เอาตัวไม่รอด
สู้เด็กที่ปกติแต่มีความพยายาม ก็อาจจะประสบความสำเร็จได้มากกว่าทั้งเรื่องการเรียน และในชีวิตจริง

* หาเวลาเพื่อการเล่นหรือพักผ่อนให้เด็ก
ผู้เขียนเคยเห็นเด็กเล็กๆ ที่คุณพ่อคุณแม่
จัดตารางสอนหลังเวลาเลิกเรียน เสียจนแน่นไปด้วยการเรียนพิเศษวิชาต่างๆ ตั้งแต่บ่ายจนเย็นค่ำ
เรียกได้ว่าเด็กแทบจะไม่มีโอกาสเงยหน้าจากสมุดเรียนเลย

การยัดเยียดวิชาการต่างๆ ให้เด็กมากเกินไป นอกจากทำให้เด็กเครียดโดยไม่จำเป็นแล้ว
ยังทำลายชีวิตในวัยเด็ก ซึ่งควรจะเป็นวัยที่สดชื่นและแจ่มใสอย่างน่าเสียดาย

คุณพ่อคุณแม่อาจจะบอกว่าหวังดี กลัวเด็กเรียนไม่ทันเพื่อน ซึ่งก็อาจจริงอยู่บ้าง
แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าลูกของคุณกลายเป็นเด็กเครียด มีปัญหาทางสุขภาพกาย สุขภาพจิต
โปรดถามตัวคุณเองว่า คุณอยากให้ลูกคุณเก่งกว่าคนอื่นๆ หรืออยากให้ลูกมีความสุข

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกเรียนดี คงจะต้องพยายามหาจุดลงตัวให้ได้ในเรื่องการเรียนของลูก
การเป็นพ่อแม่ที่ใส่ใจในการเรียนของลูกเป็นสิ่งจำเป็น
ถ้าคุณต้องการเห็นลูกทุ่มเทให้การเรียน อย่าปล่อยปละละเลยลูก
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็ต้องไม่ตึงเกินไป จนกลายเป็นการสร้างความเบื่อระอาในการเรียนให้ลูก

ถ้าคุณพ่อคุณแม่หาความพอดีเจอ
คุณก็จะสามารถนอนใจได้ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ลูกของคุณจะใส่ใจในการเรียน
และเมื่อความสำเร็จมาถึง ทั้งคุณและเขาก็จะมีความสุขไม่ต่างกันเลย


ข้อมูลจาก หนังสือก่อนจะถึงวันนั้น โดย รศ.ดร.นวลศิริ เปาโรหิตย์
ที่มา : //www.elib-online.com
ภาพจาก : //holyjump.mugday.com


สารบัญแม่และเด็ก



Create Date : 14 กรกฎาคม 2553
Last Update : 14 กรกฎาคม 2553 21:09:55 น. 0 comments
Counter : 1291 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.