Group Blog
 
<<
มีนาคม 2552
 
22 มีนาคม 2552
 
All Blogs
 
เลี้ยงลูกให้เป็น อัจฉริยะ




ผู้ชนะล้านที่ 15 รายการ "อัจฉริยะข้ามคืน"ปริญญาโทเกียรตินิยมด้านวิทยาการทางสมอง
(Neuroscience)ในโปรแกรม Mind, Brain and Education
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอัจฉริยภาพ (เพียงคนเดียวในไทย)
เหล่านี้ คือตัวตนของ “วนิษา เรซ”หรือ “หนูดี” อีกความภูมิใจของแม่อย่าง “ชุมศรี รักษ์วนิชพงศ์”

“ชุมศรี รักษ์วนิชพงศ์” บอกว่า เธอก็เป็นเหมือนแม่คนอื่นๆที่อยากเห็นลูกอยู่ในที่เขาควรจะอยู่
แต่ปลายทางที่มองไว้คือ “มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก” เพราะตัวเธอเองเป็นคนมาตรฐานสูง
...ไม่ได้หมายความว่าต้องฆ่าหากไปไม่ถึง แต่เป็นหน้าที่ของ พ่อ และหรือแม่ ที่ต้องปูทางให้ลูกเดิน
แต่การจะถึงจุดนั้นได้ พ่อ และหรือแม่ ต้องมีความเชื่อและหลงใหล ที่สำคัญต้องเป็น “ต้นแบบ” ให้ลูกเห็น
อย่าสอนในสิ่งที่เชื่อว่าดี ชุมศรี ยืนยันว่า เด็กเป็นที่หลอกยาก รวมถึงต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก
ฉะนั้น ถ้าคุณไม่ได้ทำด้วยความเชื่อสักวันลูกก็ต้องรู้
เธอใช้คำถึงขั้นว่า หากพ่อแม่ไม่หลงใหลและทำอย่างเต็มที่ ได้แต่สวมบทบาทของนักวางแผน
เลือกที่จะไปส่งลูกเรียนว่ายน้ำ แล้วตัวเองนั่งรอหรือไปชอปปิ้งฆ่าเวลาสุดท้ายลูกอาจว่ายน้ำเป็น แต่เด็กจะไม่ซึมซับ
“พ่อ แม่ที่ดีต้องทำเพราะอยากทำ ไม่ใช่ทำเพราะต้องทำ หรือทำตามหน้าที่”

คุณสมบัติที่ พ่อ และทุกคนต้องมีอีกประการ คือ หัวใจที่เป็นเด็กอยู่ตลอดเวลา
ทุกวันนี้ลูกสาว 2 คนของเธอ “หนูดี” และ “หนูหวาน” เติบโตมีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ
แต่ถ้าคนใดคนหนึ่งเอ่ยปาก อยากให้เธอไปเป็นเพื่อนทำกิจกรรมใดๆ
ไม่เคยมีคำว่า “ไม่” หรือ “แม่แก่” เกินไปแล้ว
แม้แต่เต้นอาโรบิค เธอก็เคยไปเรียนมาแล้ว

นอกจากไปเป็นเพื่อนลูกแล้ว ลึกๆ เธอคิดว่า ด้วยตนเองเป็นคนที่เรียนเก่งมาตลอด
อยู่กับหนังสือมาตลอดชีวิตการเรียน สืบเนื่องจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เธอแทบจะไม่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมอื่นใดเลย
ดิฉันจะไม่ยอมตายไป โดยที่ยังว่ายน้ำไม่เป็น รำไทยไม่ได้
และอีกหลากหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ เพราะคนเราสามารถเรียนรู้ได้จนวันสุดท้ายของชีวิต

ความเป็น“แม่” ของเธอจึงทำทุกอย่างที่อยากให้ลูกทำ และจะไม่ทำในสิ่งที่ไม่อยากให้ลูกทำ
ดิฉันเป็นคนอ่านหนังสือมาก ไม่ต้องการที่จะให้ลูกติดอยู่กับทีวี ที่บ้านไม่มีทีวีเลย
จนกระทั่งเมื่อลูกๆ โต สามารถแยกได้ระหว่างเรื่องจริงกับจินตนาการ

วิธีเลี้ยงลูกของ ชุมศรี ส่วนใหญ่จึงอยู่กับธรรมชาติ หนังสือและการค้นคว้าร่วมไปลูก เพื่อให้ได้ซึ่งคำตอบที่ลูกสงสัย

เมื่อเธอเห็นความตื่นเต้นของธรรมชาติ ลูกๆ ก็จะตื่นเต้นไปกับธรรมชาติด้วย
และการเรียนรู้ของคนเรา โดยเฉพาะในช่วงวัยเด็ก
ความเปลี่ยนของธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวเป็นการกระตุ้นการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านร่างกายได้ดีที่สุด
อย่าลืมว่าพ่อ แม่ ต้องสนุกและลงไปเล่น เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับลูก

เธอจึงเลือกที่จะลงไปเดินสะพานไม้ข้ามคลองกับลูก ที่นอกจากจะได้ความสนุก ความสุข ได้เรียนรู้ธรรมชาติ
ยังเป็นการฝึกการทรงตัวโดยใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ให้กับลูกด้วย

เลือกที่จะลงไปเล่นกองฟาง เล่นกองทราย หรือแม้แต่แวะดูดอกบัวหลวงที่กำลังบานอยู่ข้างทาง พร้อมๆ กับลูก
แทนการนั่งรออยู่ในรถ หรือรีบที่จะขับรถมุ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด
ทั้งๆ ที่ยังมีเวลาเหลือพอที่จะกระตุ้นการเรียนรู้ให้กับลูก
ยิ่งถ้าจุดหมายของการเดินทางในครั้งเป็นเพื่อการท่องเที่ยวด้วยแล้ว
เธอพร้อมที่แวะไหน เพื่อให้ลูกได้ดูต้นไม้แตกใบใหม่ เก็บดอกบัว เก็บฝักบัว ดูผีเสื้อ

หากมีคำถามจากลูกที่เธอไม่สามารถตอบได้ เธอก็จะบอกลูกตรงๆ ว่า “ไม่รู้”
จากนั้นก็จะชวนกันไปค้นหาคำตอบ ค้นด้วยความอยากรู้ และตื่นเต้น โดยไม่ได้ปล่อยให้ทุกอย่างจบลงแค่นั้น
เช่นเดียวกับคำถามที่ถึงจะตอบได้ เธอก็จะพยายามค้นหาความรู้มาเสริม เพื่อให้เกิดการต่อยอด

แม้จะเป็นแค่ศัพท์ภาษาอังกฤษพื้นที่ เธอก็จะชวนลูกไปค้นหาคำศัพท์จากธิซอรัส
เพื่อหาคำที่มีความหมายเหมือนๆ กัน แล้วให้ลูกเลือกดูว่าสถานการณ์ไหนควรใช้ศัพท์คำใด
จากนั้นจะอธิบายถึงวิธีการนำศัพท์แต่ละคำไปใช้
ดิฉันเชื่อว่าต้องลงมือปฏิบัติ และฝึกฝนอย่างจริงจัง ถึงจะเกิดการเรียนรู้และเก่งได้
แต่ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของพ่อ และหรือแม่ที่ต้องคัดกรอง เพื่อให้เหมาะกับลูกด้วย

ในความชิว ชิว ของการเลี้ยงลูกนั้น ชุมศรี บอกว่า
สำคัญต้องสอนให้เขารู้จักให้เกียรติตนเอง ให้เกียรติผู้อื่น และให้เกียรติสังคม
เธอไม่เคยดุว่าลูกโดยเฉพาะต่อหน้าคนอื่น และเคารพในการตัดสินใจของลูกเสมอ
หากมีอะไรที่คิดไม่ตรงกัน ก็จะพูดคุยและใช้วิธีเตือนมากกว่า

ผิด หรือ ถูก เป็นเกณฑ์ของแต่ละคน ความคิดและการแสดงออกของเด็กเป็นไปตามวัย
เธอย้ำว่าการที่ไม่อยากให้ลูกทำ ไม่ได้หมายความว่าเหตุผลของเราจะดีกว่าเสมอไป
การทำโทษเสร็จทุกอย่างก็จะจบไป เด็กไม่ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
“เดี๋ยวนี้ชุมศรีชักจะเก่งใหญ่แล้ว”
“ที่สุดชุมน้อยๆ ก็โตเป็นผู้ใหญ่”
หรือ “ที่แม่บอกหนูว่าไม่ใช่ ไม่เชื่อเปิดหนังสือเล่มนี้ดูได้เลย”
คำพูดทำนองจึงมีได้ในครอบครัวนี้

วิธีหนึ่งที่เธอใช้สอนลูกให้ลูกจักเคารพตนเองและให้เกียรติผู้อื่น คือ ครอบครัวนี้ไม่จ่ายเงินค่าขนมลูกเป็นรายเดือน
แต่ทุกคนในบ้านจะมีสิทธิ์ใช้เงินที่มีอยู่เท่าๆ กัน ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละคน
มีเงินเท่าไหร่ ลูกมีสิทธิ์ใช้เท่านั้น พร้อมกันนี้ยังให้สิทธิลูกเลือก และตัดสินใจด้วยตนเอง

เธอเล่าว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง เธอและ “หนูดี” จะไปเที่ยวฮ่องกง และต้องการให้ “หนูหวาน” ไปด้วยมากๆๆๆ
แต่ “หนูหวาน” เลือกที่จะอยู่บ้าน เธอก็เคารพการตัดสินและไปฮ่องกงโดยไม่มี “หนูหวาน”
แต่เมื่อเธอและ “หนูดี” กลับมาบ้าน ด้วยความสุข สนุก และของฝากน่ารักๆ
“หนูหวาน” ก็มีความคิดที่อยากจะไปเที่ยวฮ่องกงบ้าง
เธอก็กลับไปฮ่องกงอีกครั้งพร้อมกับ “หนูหวาน” โดยที่ไม่ได้มีการกล่าวโทษในการตัดสินใจของลูกในครั้งแรก

หรือมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ “หนูดี” สอบตกวิชาเคมี ทุกคนในบ้านก็มาคุยกันแล้วก็มองว่าเป็นเรื่องตลก
เพราะโดยส่วนตัวของ “หนูดี” ไม่ชอบวิชานี้อยู่แล้ว
ขณะที่ถนนสายการศึกษาประเทศไทยเป็น “one way”
เด็กเก่งก็ต้องเรียนสายวิทย์ ถ้าใครไปเรียนสายศิลป์ คนนั้นจะกลายเป็นเรียนไม่เก่งได้

ดิฉันว่า พ่อแม่ต้องตั้งหลักให้ได้ก่อนว่าค่านิยมของสังคมวันนี้จริงหรือเป็นแค่สถานการณ์จำลอง
การเลี้ยงดูลูกของ ชุมศรี แม้จะดูเหมือนทุกอย่างเพื่อ “ลูก” และ “ลูก”
แต่เธอบอกว่า สำหรับด้านการเรียนแล้ว เธอเลี้ยงลูกแบบไม่มีรางวัล เพราะรางวัลคือ การลงโทษชนิดหนึ่ง

ถ้าสอบได้คะแนนนั่นคือรางวัลอยู่แล้ว การที่มาตั้งว่าถ้าลูกเรียนดีแล้วจะให้รถ ให้หุ่นยนต์
ถือเป็นการฝึกไม่ให้เด็กพยายามอย่างแท้จริง เป็นเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งของรางวัลเท่านั้น

เธอยังย้ำอีกว่า วันนี้ มีอัจฉริยะสร้างได้หรือไม่ ก็ภูมิใจ
ถ้าลูกตัดสินใจไปเป็นแม่บ้าน แม่ก็เคารพในการตัดสินใจและภูมิใจ

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ


Create Date : 22 มีนาคม 2552
Last Update : 22 มีนาคม 2552 10:30:00 น. 1 comments
Counter : 1210 Pageviews.

 
ชวนไปเที่ยว
เติมพลังชีวิต
ห้องใหม่....
ห้องโน้ตอุดม


โดย: พลังชีวิต วันที่: 23 มีนาคม 2552 เวลา:22:16:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.